ตอนที่ 569 นี่ส่งคนมาจับตาดูพวกเขาแล้วหรือ
วาจาเซี่ยอวิ๋นจิ่นนี้ก็นับว่าได้ตัดสินใจไปขึ้นเรือลำเดียวกับอ๋องเยียนแล้ว ประการแรก อ๋องเยียนเป็นบิดาซื่อเป่า ประการที่สอง อ๋องเยียนกับอ๋องจิ้นไม่ถูกกัน อ๋องจิ้นมีท่าทีกับเขาเช่นนั้น เขาไปอาศัยบารมีอ๋องเยียน วันหน้าจะได้ช่วยอ๋องเยียนออกอุบายรับมืออ๋องจิ้น
ลู่เจียวเห็นว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นตัดสินใจแล้วก็ไม่ได้กล่าวอันใดมาก เดิมอ๋องเยียนก็คือฮ่องเต้แคว้นต้าโจว เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคนที่เขาส่งเสริมจนขึ้นเป็นโส่วฝู่แคว้นต้าโจว ความสัมพันธ์นายบ่าวของพวกเขาทั้งสองคนย่อมไม่เลว ดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง
“ได้ เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ตอนเที่ยงพวกเราก็ไม่รอเจ้ากินข้าวแล้ว”
“อืม พวกเจ้ากินกันเถอะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ ก็พาคนไปหอปาซ่าน
หอปาซ่านหน้าประตูมีองครักษ์มารออยู่แล้ว คนผู้นี้เป็นคนที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาถึง องครักษ์ผู้นั้นก็เดินเข้ามากล่าวว่า “เซี่ยจ้วงหยวน เชิญตามข้ามา ท่านอ๋องรออยู่ด้านในแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรับคำเสียงหนึ่ง พาหร่วนไคกับถงอี้สองคนเดินตามขึ้นไป
หอปาซ่านเป็นร้านอาหารมีชื่อเสียงในเมืองหลวง อาหารโต๊ะหนึ่งก็ต้องใช้เงินถึงหลายสิบตำลึงถึงหนึ่งร้อยตำลึง ดังนั้นคนปกติธรรมดาจึงไม่กล้ามากินข้าวกันที่นี่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินตามองครักษ์เข้าไป พบว่าชั้นหนึ่งไม่ได้จัดเตรียมที่นั่ง ห้องโถงกลางจัดบรรยากาศทิวทัศน์ สถานที่กินข้าวอยู่ชั้นสอง และยังอยู่ในห้องรับรอง สรุปคือว่าสถานที่นี้ลึกลับอย่างมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินตามองครักษ์ขึ้นไปชั้นสอง เดินถึงหน้าประตูห้องรับรอง ก็เปิดประตูออก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปก็เห็นอ๋องเยียนเซียวอวี้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ พร้อมกับมือที่กำลังหมุนจอกสุรา พอเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นเข้ามา เขาก็ยังคงหมุนอยู่ พยักหน้าให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเล็กน้อย “นั่ง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ยังคงดำรงตนตามธรรมเนียมมารยาท คำนับท่าทางนิ่งสุขุม “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
อ๋องเยียนเซียวอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “นิสัยเดิมเจ้ามิได้ดำรงตนตามธรรมเนียมมารยาทเช่นนี้ ตอนนี้กลับดำรงตนตามธรรมเนียมมารยาทแล้วหรือ”
เขายังจำที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเขาต่อยเขาก่อนหน้านี้ได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วลงนั่งกล่าวว่า “ท่านอ๋องคิดบัญชีเก่าหรือ”
เซียวอวี้หยุดมือ วางจอกสุราลง ยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวว่า “นี่สิถึงเป็นเจ้า พวกเราส่วนตัวไม่ต้องดำรงธรรมเนียมจอมปลอมมากนัก”
เซียวอวี้สืบจนรู้แล้วว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นสนิทกับเฉินอิงมาก ตอนเฉินอิงยังอยู่ นางดูแลเขาดังน้องชาย
อาจเพราะรักผู้ใดก็รักในที่สิ่งที่คนผู้นั้นรักกระมัง เขาเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มักรู้สึกว่าไม่ได้เหินห่างเหมือนคนทั่วไป บางครั้งยังรู้สึกสนิทสนมอย่างมาก
เซียวอวี้คิดไปก็เลิกคิ้วมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นไป “เจ้าสอบจ้วงหยวนได้ วันหน้าวางแผนเข้ารับตำแหน่งในสำนักศึกษาฮั่นหลินหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบส่ายหน้า “ข้าไม่คิดอยู่เมืองหลวงต่อ ขอท่านอ๋องหาตำแหน่งนอกเมืองหลวงให้ข้าสักตำแหน่ง”
เซียวอวี้มองเขาอย่างตกใจ “หลายคนคิดอยากอยู่เป็นขุนนางในเมืองหลวง เหตุใดเจ้ากลับคิดออกไป ขุนนางท้องถิ่นไม่ได้เป็นกันง่ายๆ มีคนไม่น้อยถึงกับจบสิ้นไปบนตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น”
ขุนนางท้องถิ่นเป็นยาก โดยเฉพาะพื้นที่รกร้างยากจน มักจะมีราษฎรนักเลง ขุนนางถูกทำร้ายได้ง่ายมาก
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเคยคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ผู้อื่นหวาดกลัว แต่เขาไม่กลัว ข้างกายเขามีลูกน้องเป็นวิชายุทธ์ไม่น้อย ยังมีลู่เจียวเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ ดังนั้นไม่ว่าไปที่ใด เขาก็ไม่กลัว นับประสาอันใดกับการได้เป็นขุนนางท้องถิ่นจึงจะได้ทำงานแท้จริง
“ประการแรก ขุนนางท้องถิ่นได้ทำงานแท้จริง ข้าคิดทำงาน ไม่คิดอดทนอยู่ในสำนักศึกษาฮั่นหลิน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวถึงตรงนี้ เซียวอวี้ก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอยู่เมืองหลวง ข้ายังช่วยเหลือเจ้าได้”
เขาจะไม่เหมือนกับผู้อื่นที่ต้องอดทนสั่งสมประสบการณ์ยากลำบากเช่นนั้น
ความจริงเซียวอวี้อยากให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่เมืองหลวง สมองคนผู้นี้มีความคิดมากมาย อยู่เมืองหลวงก็จะได้ช่วยงานเขาได้อีกแรง”
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับไม่คิดอยู่เมืองหลวง เขามองเซียวอวี้กล่าวว่า “นอกจากอยากทำงานจริงแล้ว ข้ายังไม่อยากอยู่เมืองหลวงต่อ เพราะไม่อยากให้ภรรยาข้าถูกคนรังแก เมืองหลวงเป็นเมืองที่มีชนชั้นสูงศักดิ์อยู่กันมากมาย คนเช่นพวกเราไม่มีสถานะ วันๆ ต้องคอยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว”
“ท่านอ๋องควรรู้นิสัยข้า ข้าไม่ได้เป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวอะไร ภรรยาข้าเองก็ไม่”
วาจาเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำให้เซียวอวี้นึกถึงลู่เจียว หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมเจียมตัวจริง
“พวกเจ้าสองคนไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองหลวงจริง”
“ข้าไปเป็นขุนนางท้องถิ่นก็จะได้ทำงานจริงจังสักหน่อย หากสร้างผลงานสำเร็จกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง สถานะก็สูงขึ้นหน่อย ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกคนรังแก”
เซียวอวี้ได้ยินเหตุผลเป็นข้อๆ ของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็รู้ว่าเขาตัดสินใจแล้ว ตนเองกล่าวมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงไม่กล่าวอันใดอีก
“เจ้ามีที่ที่อยากไปหรือไม่”
ความคิดแรกของเซียวอวี้ก็คือส่งเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปหลิวหยาง หลิวหยางเป็นพื้นที่ปกครองของเขา ยากจนอย่างมาก หากส่งคนผู้นี้ไปหลิวหยางย่อมต้องนำพาให้ราษฎรหลิ่วหยางร่ำรวยขึ้นได้
หากเขาส่งเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปที่หลิวหยาง เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็จะกลายเป็นหมากเปิดเผยของเขา เช่นนี้ไม่คุ้มค่า เซียวอวี้คิดแล้วก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่สนใจว่าจะได้ไปที่ใด “ขอเพียงส่งข้าออกไปจากเมืองหลวงก็พอ ข้าไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใดเป็นพิเศษ”
เซียวอวี้พยักหน้า ”ได้”
เขากล่าวจบก็รินสุราส่งไปตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก่อนจะรินให้ตนเองจอกหนึ่ง “เช่นนั้นข้าก็ขออวยพรให้เซี่ยจ้วงหยวนสร้างผลงานสำเร็จยิ่งใหญ่”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
ทั้งสองคนดื่มไปจอกหนึ่ง เซียวอวี้ก็ลุกขึ้นยืน เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นหมากลับของเขา เขาไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่คิดอยู่นาน ก่อนจะไปยังถามอีกคำว่า “เจ้าแน่ใจว่าต้องการออกไปประจำตำแหน่งนอกเมืองหลวง อย่าได้ถึงตอนนั้นมานึกเสียใจภายหลัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้ม “ท่านอ๋องวางใจ ข้าตัดสินใจไว้นานแล้ว”
“ตกลง”
เซียวอวี้พยักหน้าโบกมือ “เจ้าค่อยๆ ลิ้มรสอาหาร ข้าไปก่อน”
เขากล่าวจบก็เปิดประตูเดินออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองตามไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด แอบคิดว่าอ๋องเยียนไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา ดังนั้นเขาจะต้องไม่ออกทางประตูหน้า ร้านอาหารแห่งนี้ย่อมต้องมีประตูเล็ก ไม่แน่ว่าร้านอาหารนี้อาจเป็นกิจการของอ๋องเยียน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดได้ครู่หนึ่งก็ไม่คิดมากต่อ เริ่มกินอาหารไปอย่างสบายใจ
อาหารที่หอปาซ่านอร่อยจริงๆ มิน่าจึงได้แพงเช่นนี้
เพียงแต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกินไปได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องรับรองพลันถูกคนผลักออกและบุกเข้ามา
คนที่บุกเข้ามาเป็นหลินหรูเยว่
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเย็นเยียบ แววตาเย็นยะเยือกมองไปยังหลินหรูเยว่ หากหญิงผู้นี้แต่งกับเขาไม่ได้ก็จะไม่ยอมเลิกราใช่หรือไม่ อีกอย่างนางรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่หอปาซ่าน นางส่งคนมาจับตาดูเขาอย่างนั้นหรือ
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นโมโหคุกรุ่น คิดตวาดไล่หลินหรูเยว่ให้ไสหัวไป
แต่ชั่วพริบตา พอเขาคิดถึงเรื่องที่เกิดในเรือนฉยงฮวาเมื่อวาน เขารู้สึกว่าตนเองปวดใจและหน้ามืด แต่เจียวเจียวกลับตรวจไม่พออาการอันใด เซี่ยอวิ๋นจิ่นสงสัยว่าเรื่องที่เกิดเมื่อวานเกี่ยวข้องกับหลินหรูเยว่ หลินหรูเยว่ทำอะไรกับร่างกายเขากัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงเรื่องนี้ คำว่าไสหัวไปก็กลืนลงท้องไป
“คุณหนูหลินมีธุระหรือ”