ตอนที่ 592 เซียนจากโลกอื่น
ลู่เจียวพยักหน้า พอใจคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างมาก แต่ไม่นานนางก็คิดถึงห้วงอากาศในร่างนาง ก็พลันเงยหน้ามองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งปิดบังเจ้า”
นางกล่าวจบ ก็ไม่ได้เล่าเรื่องห้วงอากาศทันที แต่ยกมือขึ้น ในมือมีหนังสือเพิ่มมาหนึ่งเล่ม ไม่นานก็มีอีกหนึ่งเล่ม แล้วก็อีกหนึ่งเล่ม หนังสือเหล่านี้คล้ายคว้าออกมาจากอากาศ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตกใจจนพูดไม่ออก ตกตะลึงจ้องมองมือลู่เจียว หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาคิดว่าลู่เจียวพกหนังสือหย่าติดตัว ตอนนี้เขาแน่ใจได้ว่าลู่เจียวไม่ได้พกหนังสือหย่าติดตัว แต่วางไว้ในที่ใดสักแห่งในตัว
“เจ้าทำได้อย่างไร”
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ในร่างข้ามีห้วงอากาศ ในห้วงอากาศมีบ่อน้ำหนึ่ง ในบ่อน้ำมีน้ำพุจิตวิญญาณ แน่นอนว่านอกจากน้ำพุจิตวิญญาณแล้ว ยังมีแปลงสมุนไพรและบ้านไม้ไผ่อีกสามห้อง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าตนเองได้ยินสารจากสวรรค์ นี่มันเรื่องอันใดกันนี่
ลู่เจียวกล่าวต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้ร่างกายเจ้าได้รับบาดเจ็บแล้วหายเร็ว ก็เพราะข้าป้อนน้ำพุจิตวิญญาณให้เจ้าดื่ม น้ำพุจิตวิญญาณมีประสิทธิภาพเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และยังช่วยเสริมสร้างเส้นประสาท สรุปคือประโยชน์ของมันมีมากมาย เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เติบโตสูงใหญ่และความจำดีกว่าคนทั่วไป ก็เพราะข้าให้พวกเขาดื่มน้ำพุจิตวิญญาณ หากไม่มีน้ำพุจิตวิญญาณ พวกเขาก็คงไม่อาจเติบโตสูงใหญ่ได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ และยังมีความสามารถผ่านตาไม่ลืม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงว่าเรื่องต่างๆ เมื่อก่อน ในที่สุดก็เข้าใจ มิน่าหลังจากเขาได้รับบาดเจ็บ ร่างกายฟื้นตัวเร็วกว่าผู้อื่น คนอื่นกระดูกหักต้องใช้เวลาร้อยกว่าวัน แต่เขาเพียงแค่เดือนกว่าเท่านั้นก็ลงพื้นมาเดินได้แล้ว และเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดิมร่างผอมแคระแกร็นคล้ายเด็กสองสามขวบ ปรากฏว่าปีกว่าเท่านั้นก็สูงขึ้นอย่างมาก ตอนนี้เติบโตเท่ากับเด็กในวัยเดียวกันแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงความฝัน ร่างทั้งสี่ผอมแห้งอ่อนแอราวกับเด็กผู้หญิง เพราะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตัวเตี้ยและผอมแห้งราวสตรี เดินออกไปที่ใดมักถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกต่ำต้อย และก็เพราะเรื่องพวกนี้ทำให้พวกเขาอยากให้มีคนดีกับพวกเขา หลินหรูเยว่แสดงท่าทีดีต่อพวกเขา พวกเขาจึงจับเอาไว้มั่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ลู่เจียวราวกับผู้มีพระคุณชุบชีวิตเกิดใหม่
ลู่เจียวไม่รู้ความคิดในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวต่อว่า “ครั้งก่อนเอ้อร์เป่าถูกคนสี่ตระกูลใหญ่จับตัวไป ตอนพวกเราไปช่วย ตกลงไปในช่องทางลับ ตอนนั้นพวกเขาวางยาพิษในช่องทางลับ ข้าทำให้เจ้าสลบ แล้วก็พาเจ้าเข้าห้วงอากาศจึงหลบเคราะห์ครั้งนั้นมาได้”
“ห้วงอากาศข้า นอกจากข้า ผู้อื่นที่ยังมีชีวิตอยู่จะเข้าไปไม่ได้ ข้าได้แต่ทำให้เจ้าสลบ จึงพาเจ้าเข้าไปได้ เจ้ารอดมาได้เพราะเหตุนี้”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รู้แล้วว่าเหตุใดครั้งก่อนตนเองจึงไม่ตาย
เขายื่นมือไปกุมมือลู่เจียวมาจ้องมองนาง กล่าวว่า “เจียวเจียว ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าเป็นเซียนที่มาจากโลกอื่นในบันทึกท่องเที่ยวพวกนั้น”
เรื่องที่ลู่เจียวเล่าเหนือขอบเขตการรับรู้ของเขาไปมาก ดังนั้นเขารู้สึกว่าอาจเป็นไปได้มากว่าลู่เจียวเป็นเซียนมาจากโลกอื่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำเอาลู่เจียวขำไม่หยุด นางยิ้มตาหยีมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ไม่แน่ข้าอาจเป็นเซียนจากโลกอื่นจริงก็ได้ ดังนั้นเจ้าต้องดีต่อข้าให้มากๆ อย่าทำให้ข้าไม่พอใจ หากวันใดข้าไม่พอใจก็จะกลับไป”
ลู่เจียวเดิมคิดเย้าแหย่เซี่ยอวิ๋นจิ่น ปรากฏเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับเป็นกังวล ยื่นมือออกมากอดนางไว้แน่น “ข้าจะดีกับเจ้า ดีกับเจ้าตลอดไป ดังนั้นเจ้าอย่าจากข้ากับลูกๆ ไป”
ลู่เจียวซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา รู้สึกถึงความเคร่งเครียดของเขาก็อดปลอบใจไม่ได้ว่า “ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ไปจากเจ้าและลูกๆ”
“อืม”
ในห้อง ทั้งสองคนตระกองกอดกันอยู่เงียบๆ จนกระทั่งท้องของทั้งสองคนประสานเสียงพร้อมกัน จึงได้ปล่อยกันและกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปยังลู่เจียวกล่าวว่า “ลุกขึ้นไปกินอาหารเช้ากันเถอะ”
“ได้”
ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินออกจากห้อง สีหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายอ่อนโยนหวานละมุน คนที่มีสายตาแหลมคมย่อมมองความรักหวานล้ำของพวกเขาสองคนออก ทุกอย่างที่ไม่ดีก่อนหน้านี้คล้ายว่ามลายหายไปสิ้นแล้ว
เฝิงจือ หร่วนไค หร่วนจู๋ จ้าวเหิง ถงอี้ ต่างยิ้มให้กันอย่างดีใจ
“คุณชายหายดีแล้วหรือ”
“คุณชายไม่เป็นไรแล้วหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มแย้มเบิกบาน พยักหน้าแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่เป็นอันใดแล้ว
ลู่เจียวกลับรู้สึกเก้อเขินไม่น้อย แอบคาดเดาว่าคนเหล่านี้จะรู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนนางร่วมเตียงกับเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวเขินอายก็ยื่นมือออกไปกุมมือนางไว้ กล่าวว่า “พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย พลันคิดถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขึ้นมา อดกล่าวอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดินทางมาไม่เป็นอันใดกระมัง”
“พ่อบ้านเซียวนำโจวเส้ากงกับหลี่หนานเทียนคอยอารักขา ไม่เป็นอันใดหรอก”
แม้ว่ากล่าวเช่นนี้ แต่ยังคงรู้สึกไม่ค่อยวางใจ ก่อนหน้านี้สนใจแต่จะเร่งรีบกลับมาพบเจียวเจียว ลืมเป็นห่วงบุตรชายไป ตอนนี้จิตใจสงบลงแล้วอย่างไรก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“จ้าวเหิง เจ้าพาถงอี้กับหร่วนไคไปรับพวกเขา”
“ขอรับ”
จ้าวเหิงรับคำอย่างดีใจ หันหลังพาหร่วนไคกับถงอี้ไปรับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นจูงมือลู่เจียวไปกินอาหาร เพราะไม่ได้พาฮวาเสิ่นมาด้วย หลิ่วอันเป็นคนเตรียมอาหารเช้าครั้งนี้ รสชาติถึงกับไม่เลวอย่างมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคีบอาหารให้ลู่เจียวไม่หยุด “เจ้ากินให้เยอะๆ หน่อย ขุนให้อ้วนอีกนิด”
นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเจียวเจียวคิดถึงพวกเขา ดังนั้นจึงได้ผ่ายผอมเช่นนี้ วันหน้าพวกเขาจะไม่แยกจากกันอีก
ลู่เจียวกินไปพยักหน้าไป พร้อมกับคีบอาหารให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้าเองก็กินให้เยอะๆ หน่อย ใบหน้าไม่มีเนื้อหนังแล้ว สีหน้าก็ไม่ดี”
ทั้งสองคนกินไปก็ดูแลอีกฝ่ายไป ภาพนี้ทำเอาเฝิงจือกับหร่วนจู๋มองแล้วอดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้
ยามนี้นับได้ว่าฟ้าหลังฝน ดีมากๆ เลยจริงๆ
สองสาวใช้ยิ้มถอยออกไป เจ้านายทั้งสองดีต่อกันเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางดูแล
ในห้องอาหาร เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นพวกสาวใช้ออกไปแล้วก็คิดถึงว่าห้วงอากาศของลู่เจียว เขาหรี่เสียงให้เบาลงกล่าวกับลู่เจียวว่า “เจียวเจียว เรื่องห้วงอากาศเจ้า นอกจากข้า อย่าได้บอกกับผู้อื่น ดีหรือไม่”
ลู่เจียวพยักหน้าเต็มแรงแสดงท่าทีว่ารู้แล้ว
ชาวบ้านไร้ความผิด แต่เพราะครอบครองหยกงามจึงโดนโยนผิด หลักการนี้นางเข้าใจดี
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางพยักหน้าก็วางใจ
สองสามีภรรยากินข้าวเช้าเสร็จ ก็จูงมือกันไปเดินเล่นในลาน แม้ว่าทั้งสองคนผอมลงไม่น้อย แต่เพราะรูปโฉมงดงาม เดินด้วยกันก็ให้ภาพอบอุ่นอ่อนโยนราวกับม้วนภาพวาด
พวกเฝิงจือกับหร่วนจู๋เห็นแล้วก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “คุณชายกับเหนียงจื่อรูปโฉมงดงามมากจริงๆ ทั้งสองคนไม่ควรแยกจากกัน”
จนถึงตอนนี้ พวกนางก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดเหนียงจื่อจึงได้จากมาและขอหย่า แต่ตอนนี้ดูท่าน่าจะไม่คิดจากไปและหย่าขาดอีกแล้ว
ในลาน ลู่เจียวถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้าเร่งร้อนใจออกจากเมืองหลวงมาเช่นนี้ แล้วเรื่องตำแหน่งนอกเมืองหลวงนั่นจะทำเช่นไร”
จิ้นซื่อปกติทั่วไปล้วนรอเบื้องบนจัดสรรกันอยู่ในเมืองหลวง เซี่ยอวิ๋นจิ่นจากเมืองหลวงมาเช่นนี้ หากเบื้องบนรู้เข้า ไม่แน่อาจเอาเรื่องนี้มาจัดการเขา หาว่าเขาเหิมเกริมโอหัง ถึงตอนนั้นตำแหน่งนอกเมืองหลวงเกรงว่าคงได้รับผลกระทบไปด้วย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ข้าส่งจดหมายถึงอ๋องเยียนฉบับหนึ่งแล้ว บอกเขาเรื่องไปจากเมืองหลวง อ๋องเยียนน่าจะจัดการได้ แม้จัดการไม่ได้ ข้าเองก็ไม่สนใจ การได้อยู่กับเจ้าและลูกๆ ข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้เพียงพอแล้ว!”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงเรื่องราวในความฝัน แล้วมาคิดถึงชีวิตในตอนนี้ รู้สึกว่าหนึ่งคือนรก หนึ่งคือสวรรค์