ตอนที่ 676 ความมุ่งมั่นในชีวิต
บิดามารดาและพี่ชายพี่สะใภ้จู้เป่าจูถูกจ้าวเหิงรั้งไว้ ไปขอให้คนเขียนคำร้องในคืนนี้ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ส่งไปถึงมือหูทงพั่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเช้ามาก็บอกกับหูทงพั่นให้รับคดีนี้ไว้
เดิมเขาเตรียมส่งคนไปอำเภอชิงเหอช่วยจู้เป่าจูออกมา แต่สุดท้ายถูกเซี่ยอวิ๋นจิ่นรั้งไว้
ก่อนหน้านี้หลินจือฝู่นำคนมาที่ตระกูลเซี่ยหาเรื่องเขา ทำให้เขาคิดได้ว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่และมือปราบในที่ทำการเมืองหนิงโจวฟังคำสั่งหลินจือฝู่ คนพวกนั้นไม่ฟังคำสั่งพวกเขา พวกเขาทำงานยากมาก ดังนั้นต้องให้พวกเจ้าหน้าที่และมือปราบในที่ทำการฟังคำสั่งพวกเขาก่อนจึงจะได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็หันไปมองจ้าวเหิงกล่าวว่า “ท่านอาจ้าว ท่านไปประจำหน่วยรักษาความสงบที่ว่าการเมืองหนิงโจวได้หรือไม่”
จากนั้นหาทางไล่มือปราบเดิมออก ให้จ้าวเหิงได้เป็นมือปราบที่ว่าการเมืองหนิงโจว เช่นนั้นพวกเขาก็จะทำงานสะดวกมากขึ้น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งจะกล่าวจบ จ้าวเหิงก็รีบประสานมือรับคำสั่ง “ข้าน้อยฟังคำสั่งใต้เท้า”
“ได้ เช่นนั้นท่านอาจ้าวไปอยู่หน่วยรักษาความสงบที่ว่าการเมืองหนิงโจวชั่วคราว วันหน้าค่อยวางแผนกันต่อ”
จ้าวเหิงเข้าใจความคิดเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาวางแผนให้เขาเป็นมือปราบประจำที่ว่าการเมืองหนิงโจว นี่เป็นงานเดิมของเขา จะมีอันใดให้ไม่ยอมรับ
มือปราบกับทหารในที่ทำการตามหลักก็อยู่ใต้อำนาจขุนนางทงพั่น ดังนั้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นบอกกับใต้เท้าหูคำเดียว ใต้เท้าหูก็บรรจุรายชื่อเข้าไปได้
จ้าวเหิงไปรับเสื้อผ้ามือปราบมาชุดหนึ่ง จากนั้นก็นำคนตรงไปอำเภอชิงเหอช่วยจู้เป่าจู ตระกูลจู้พ่อลูกตามพวกเขาไปด้วย
ลู่เจียวไม่เข้าใจรายละเอียดเรื่องนี้ กินอาหารเช้าเสร็จ ก็เริ่มตรวจสอบการเรียนของเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ พบว่าเด็กๆ พัฒนาไปเร็วมาก ไม่เพียงแต่อ่านสี่ตำราห้าคัมภีร์คล่อง แต่ยังเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เสริมได้อีกด้วย
ดูท่าอาจารย์หลิวทุ่มเทอบรมอย่างดี ลู่เจียวรู้สึกดีใจมาก
“ไม่เลว พวกเจ้าพัฒนาได้ระดับนี้ อีกไม่กี่ปีก็เข้าร่วมการสอบเซี่ยนซื่อระดับอำเภอกับฝู่ซื่อระดับเมืองได้แล้ว”
เอ้อร์เป่ารีบกล่าวว่า “ท่านแม่เคยบอกว่าหากพวกเราสอบซิ่วไฉผ่าน ก็จะไม่บังคับพวกเราไปเรียนหนังสือแล้ว”
ลู่เจียวนึกขำมองเอ้อร์เป่า เจ้าลูกคนนี้ฝันแต่จะเป็นแม่ทัพ
“ได้ รอให้เจ้าสอบซิ่วไฉผ่าน แม่ก็จะเชิญคนมาสอนเจ้าขี่ม้ายิงธนู พิชัยสงครามและการวางค่ายกลรบ”
เอ้อร์เป่าครางฮืออย่างตื่นเต้นก่อนวิ่งเข้ากอดลู่เจียว “ท่านแม่บอกแล้วนะ ห้ามลืมนะ”
ต้าเป่าดึงเอ้อร์เป่าออกมา ส่งสายตาเคร่งขรึมจ้องใส่เขา “เจ้าลืมแล้วหรือว่าท่านแม่ตั้งครรภ์ อย่าพุ่งชนท่านแม่”
เอ้อร์เป่าลูบศีรษะเก้อเขิน “ข้ารู้แล้ว”
ซานเป่ากับซื่อเป่าเองก็หันขวับไปมองลู่เจียว “ท่านแม่ ไว้ข้าสอบซิ่วไฉได้ ก็จะตั้งใจเรียนหมอกับท่านแม่”
“ตกลง”
ซื่อเป่าดึงมือลู่เจียวมากล่าวว่า “ท่านแม่ข้าคิดทำการค้าหาเงิน ท่านแม่เปิดร้านให้ข้าได้หรือไม่”
ลู่เจียวนึกขำเขาขึ้นมาทันที ยื่นมือไปบีบแก้มซื่อเป่า “เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ ยังรู้จักจะเปิดร้านด้วย”
“ทำการค้าไม่ต้องเปิดร้านหรือ ท่านแม่เปิดร้านให้ข้า ข้าจะได้เรียนรู้การทำการค้า”
ลู่เจียวนึกขำ จากนั้นก็คิดถึงสถานะซื่อเป่า ในใจก็แอบเฝื่อนขม วันหน้าซื่อเป่าอย่างไรก็ต้องกลับจวนอ๋องเยียนกระมัง
“ได้ ขอเพียงเจ้าอยากได้ แม่ก็จะเปิดร้านให้เจ้าเรียนรู้การทำการค้า”
กล่อมเขาไปก่อนก็แล้วกัน
แม่ลูกกำลังสนทนากันอย่างครึกครื้น นอกประตู เฝิงจือก็รีบเข้ามารายงานว่า “เหนียงจื่อ ท่านอาจ้าวนำตัวจู้เหนียงจื่อมาแล้ว สภาพนางตอนนี้ไม่ดีอย่างมาก”
สีหน้าลู่เจียวพลันแปรเปลี่ยน ยกมือบอกให้เฝิงจือนำคนเข้ามา
พี่ชายจู้เป่าจูอุ้มจู้เป่าจูเดินเข้ามา ด้านหลังเขายังมีร่างผอมตัวน้อยตามมาด้วย เด็กน้อยผู้นี้ก็คือเจิ้งเมี่ยว บุตรสาวตระกูลเจิ้ง
ก่อนหน้านี้เจิ้งเมี่ยวเคยมาอยู่เรียนกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่สนิทกับนางมาก
ตอนนั้นเจิ้งเมี่ยวที่เคยเป็นเด็กหญิงน่ารักน่าชัง วันๆ เอาแต่ร้องเรียกพี่ชายอย่างนั้นพี่ชายอย่างนี้ ตอนนี้พบกันอีกครั้งกลับเป็นเด็กร่างผอมขี้ขลาด ยามเห็นคนก็ยังมีท่าทางหวาดกลัว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตกใจอย่างมาก สงสัยว่าผู้นี้ใช่เมี่ยวเมี่ยวที่พวกตนเคยพบก่อนหน้านี้หรือไม่
ตอนลู่เจียวเห็นจู้เป่าจู ก็คิดด่าเจิ้งจื้อซิ่งว่าเดรัจฉาน
จู้เป่าจูตรงหน้าไม่ได้มีสภาพดังเช่นเมื่อก่อน ทั้งตัวนางตอนนี้ไร้เนื้อหนัง เหลือแค่กระดูก ยามนี้ลมหายใจก็รวยรินจนแทบไม่มี
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูสีหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อ แต่ละคนแทบจะอยากจะไปสู้ให้ตาย
นี่คือเด็กน้อยงดงามน่ารักที่พวกเขาเลี้ยงดูมา ปรากฏถูกคนทรมานจนเป็นเช่นนี้
เจ้าเดรัจฉานเจิ้งจื้อซิ่งควรตกนรกขุมสิบแปด เจ้าสุนัข พวกเขาไม่ปล่อยเขาไปแน่
ในใจคนตระกูลจู้ด่าทอเจิ้งจื้อซิ่งเสียยกใหญ่ เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาเป็นห่วงจู้เป่าจู เห็นสภาพนางคล้ายว่าเหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย นางยังจะรอดชีวิตได้อีกหรือ
เดิมบิดาและพี่ชายจู้เป่าจูคิดส่งจู้เป่าจูไปโรงหมอ สุดท้ายจ้าวเหิงบอกให้พาจู้เป่าจูมาพบลู่เจียว ไม่แน่ลู่เจียวอาจรักษานางได้
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูรู้จักลู่เจียว รู้ว่าวิชาการแพทย์นางร้ายกาจมาก
หากเป่าจูถึงมือนาง ไม่แน่อาจจะรอดชีวิต ดังนั้นพวกเขารีบเร่งพาจู้เป่าจูกลับมา
ลู่เจียวบอกให้คนตระกูลจู้วางจู้เป่าจูลง นางจะตรวจดูอาการจู้เป่าจูสักหน่อย
พอตรวจก็พบว่าจู้เป่าจูไม่เพียงแต่มีไข้สูง แต่ยังขาดสารอาหาร ทั้งตัวมีแต่บาดแผลหลายแห่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่เหลือความตั้งมั่นในการมีชีวิตอยู่ต่อ
สีหน้าลู่เจียวย่ำแย่ ด่าว่า “เจิ้งจื้อซิ่ง เดรัจฉาน”
นางด่าจบก็หันไปมองพ่อลูกตระกูลจู้ กล่าวว่า “นางมีไข้สูงไม่ยอมลด ทำให้ปอดอักเสบ นี่ไม่เท่าไร ที่สำคัญก็คือนางถูกทุบตีมานาน ดังนั้นจึงสูญสิ้นความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ตอนนี้นางไม่อยากอยู่ต่อ ดังนั้นอาการนางจึงวิกฤตอย่างมาก”
ลู่เจียวกล่าวจบ พ่อลูกตระกูลจู้ก็ด่าทอยกใหญ่ พี่ชายใหญ่จู้หันหน้าวิ่งตะโกนจะออกไป “ข้าจะไปฆ่าเจ้าเดรัจฉานเจิ้ง”
จ้าวเหิงรีบรั้งเขาไว้ ตวาดว่า “เจ้าคิดทำร้ายตนเองหรือ สภาพน้องสาวจ้าตอนนี้จะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ เจ้าพาตัวเองไปติดกับอีก เพื่อคนเช่นนั้นคนเดียว คุ้มค่าหรือ”
พี่ใหญ่จู้ถูกจ้าวเหิงรั้งไว้ ในใจอัดอั้นแทบระเบิด ตะโกนคำรามดังในลานด้านหน้าราวกับสัตว์ป่าถูกจองจำ
บิดาจู้เป่าจูนิ่งกว่าบุตรชายมาก ขอบตาเขาแดงก่ำมองลู่เจียวเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ฮูหยินเซี่ย ท่านถช่วยชีวิตบุตรสาวข้าได้หรือไม่”
“อาการป่วยข้ารักษาได้ แต่ปลุกกำลังใจให้นางคิดมีชีวิตอยู่ต่อไป คงต้องเป็นพวกท่านจึงจะทำได้”
บิดาจู้เป่าจูน้ำตาไหลพราก “รบกวนฮูหยินเซี่ยช่วยรักษาอาการนางก่อน ส่วนเรื่องปลุกกำลังใจให้นางคิดมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเราตระกูลจู้จัดการเอง”
“ตกลง”
ลู่เจียวรีบฉีดยาลดไข้ให้จู้เป่าจู แล้วก็ป้อนน้ำพุจิตวิญญาณให้นางดื่มเล็กน้อย
พอรักษาขั้นตอนเหล่านี้เสร็จ นางก็ถอยออกไปปล่อยให้พ่อลูกตระกูลจู้เข้ามาแทนที่
บิดาจู้เป่าจูกับสองพี่ชายตระกูลจู้ก็เข้ามาในห้องโถงคุยกับจู้เป่าจู คุยเรื่องนางตอนเด็ก บอกว่านางตอนเด็กน่ารักเพียงใด มีคนรักนางมากมายเพียงใด พวกเขารักนางเพียงใด
พูดจนสุดท้าย บิดาจู้เป่าจูร้องไห้กล่าวว่า “เป่าจูเอ๊ย เจ้ายังมีท่านพ่อกับท่านแม่ เจ้าไม่ต้องการท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่ต้องการบุตรสาวตนเองแล้วหรือ เป่าจู เป็นความผิดท่านพ่อเอง ท่านพ่อนึกเสียใจภายหลังแล้ว เหตุใดตอนนั้นจึงเลือกคนเช่นนี้ให้แต่งกับเจ้า เป่าจู หากเจ้าเป็นอันใดไป ท่านพ่อกับท่านแม่จะอยู่ต่อไปอย่างไร”