ตอนที่ 677 คนชั่ว
พวกเขาปลุกกำลังใจจู้เป่าจูด้วยจิตใจที่เจ็บปวด จู้เป่าจูฟื้นขึ้นมาแล้ว
พี่ชายจู้เป่าจูตะโกนออกไปด้านนอกอย่างดีใจ “ฮูหยินเซี่ย เป่าจูฟื้นแล้ว”
ลู่เจียวได้ยินเสียงเรียกในห้องก็ดีใจมาก พาคนก้าวเข้าไปทันที
จู้เป่าจูลืมตาขึ้นพร้อมกับหลั่งน้ำตาเงียบๆ มองบิดาและพี่ชาย มองลู่เจียว รู้สึกเพียงแค่ราวกับอยู่กันคนละโลก ร้องไห้ได้ครู่หนึ่ง นางก็สะอื้นไห้เอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ข้าไม่กลับไปตระกูลเจิ้งอีกแล้ว ข้าไม่กลับไปตระกูลเจิ้งอีกแล้ว”
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูรับรองแข็งขัน “ได้ พวกเราไม่ไปตระกูลเจิ้งแล้ว ไม่ไปตระกูลเจิ้งอีกแล้ว เจิ้งจื้อซิ่งเจ้าเดรัจฉาน พวกเราไม่เสียดาย ล้วนเป็นความผิดบิดาและพี่ชาย ที่ให้เจ้าแต่งกับคนเช่นนี้”
จู้เป่าจูได้ยินคำบิดากับพี่ชายก็โล่งอก ในใจที่ตื่นกลัวก็สงบลงทันที
พอสงบลงแล้ว บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูก็ปลอบนางว่า “เจ้าป่วย ให้ฮูหยินเซี่ยรักษาให้เจ้า”
จู้เป่าจูรับคำเบาๆ เสียงหนึ่ง ลู่เจียวเดินเข้าไปตรวจนางอย่างละเอียด ไข้ลดลงแล้ว แต่เพราะความร้อนทำให้ปอดอักเสบ ดังนั้นจึงค่อนข้างยุ่งยาก
“ไข้เริ่มลดแล้ว เพียงแต่ความร้อนทำให้ปอดอักเสบ ยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร ข้าจ่ายยาแก้อักเสบให้นางชุดหนึ่ง ไว้พวกท่านนำกลับไปให้นางดื่มสักครึ่งเดือนก็หายแล้ว อีกอย่างวันหน้าต้องบำรุงร่างกายนางให้ดีๆ ร่างกายนางแย่มาก”
สิ่งที่ลู่เจียวกล่าว บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูรีบรับคำทันที
จู้เป่าจูน้ำตาคลอมองลู่เจียวเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณ พี่ลู่ ขอบคุณ”
นางรู้ว่านางออกมาได้ต้องเป็นฝีมือพี่ลู่ ผู้อื่นไม่มีทางนำนางออกจากรังร้ายเช่นตระกูลเจิ้งมาได้อย่างแน่นอน
ลู่เจียวยื่นมือไปลูบศีรษะนางถอนหายใจกล่าวว่า “วันหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี คนไม่ดีกับเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดเจ้าต้องไปตายด้วย เช่นนี้ไม่ใช่ว่าสมดังใจพวกเขาหรือ ดังนั้นเจ้าต้องมีชีวิตต่อไปให้ดี คอยดูคนไร้ศีลธรรมพวกนั้นว่าสุดท้ายต้องพบกับจุดจบเช่นใด”
จู้เป่าจูรับคำ
ลู่เจียวลุกขึ้นจะออกไปเขียนเทียบยายาให้จู้เป่าจู
นอกประตู ติงเซียงเดินเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน พ่อบ้านเซียวให้คนมารายงานว่า ใต้เท้าเจิ้งนายอำเภอชิงเหอนำคนมา”
สีหน้าลู่เจียวเย็นเยียบ
จู้เป่าจูยื่นมือออกไปกระชากแขนเสื้อบิดาตนเองอย่างหวาดกลัว “ข้าไม่เอา ข้าไม่อยากกลับไป”
จู้เป่าจูหวาดกลัว เจิ้งเมี่ยวบุตรสาวนางหวาดกลัวยิ่งกว่า นางโผเข้าหามารดาตนเอง สองแม่ลูกกอดกันตัวสั่นเทา
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูเห็นสภาพทั้งสองคนเช่นนี้ ในใจก็โกรธแค้นยิ่ง
พี่ชายจู้เป่าจูจะพุ่งออกไปทันที คิดจะไปจัดการเจิ้งจื้อซิ่งสักที แต่ถูกลู่เจียวยื่นมือไปขวางไว้ “ชาวบ้านไม่อาจลงมือกับขุนนางได้ เจ้าไปจัดการเขา คนที่เสียเปรียบก็คือเจ้า ในเมื่อพวกเจ้าไปฟ้องร้องที่ศาลแล้ว อีกสักครู่ใต้เท้าหูที่ศาลก็จะตัดสินคดีให้พวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้ใจร้อน”
เพราะลู่เจียวช่วยจู้เป่าจูไว้ พี่ชายจู้เป่าจูจึงเชื่อฟังคำพูดนางมาก พอได้ฟังคำพูดนางก็พยายามอดกลั้นเอาไว้
ลู่เจียวหันไปมองจู้เป่าจู กล่าวว่า “อย่าได้เป็นห่วง ในเมื่อเจ้าออกมาจากกองไฟเช่นตระกูลเจิ้งได้แล้ว ก็ไม่ต้องกลับไปอีก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวเขาอีก”
ลู่เจียวน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายลมวสันต์ คำพูดนางปลอบใจคนได้ดีมาก ความหวาดกลัวในใจจู้เป่าจูสงบลงมาก คิดถึงว่าตอนนี้ข้างกายตนเองมีบิดาและพี่ชาย ยังมีลู่เจียวปกป้องนาง นางไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน
จู้เป่าจูผ่อนคลายอารมณ์ลง พยักหน้าเต็มแรง “ข้ารู้แล้ว”
ลู่เจียวมองบิดาและพี่ชายจู้เป่าจูแล้วก็กล่าวว่า “ในเมื่อเจิ้งจื้อซิ่งมาถึงตระกูลเซี่ย คิดว่าเขาย่อมรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้เป่าจูยังเป็นอนุเขา หากต้องการนางกลับไป พวกเราก็ขวางไว้ไม่ได้ ดังนั้นรีบพาเป่าจูไปที่ทำการศาลก่อน ให้ใต้เท้าหูตัดสินคดี หากทางการตัดสินให้เป่าจูกลับคืนสู่ตระกูลจู้ พวกเจ้าก็จะพานางไปได้ วันหน้านางก็ตัดขาดกับตระกูลเจิ้งอย่างสิ้นเชิง”
บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูพยักหน้าเต็มแรง “พวกเราจะรีบพาเป่าจูไปที่ทำการศาล”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย เรียกจ้าวเหิงด้านนอกเข้ามา “พาพวกเขาไปที่ทำการศาล”
“ขอรับ”
จ้าวเหิงรับคำพาบิดาและพี่ชายจู้เป่าจูพร้อมจู้เป่าจูสองแม่ลูกออกไป
ลู่เจียวตามหลังพวกเขาออกจากประตูจวนตระกูลเซี่ยไปด้วย
นอกประตูจวนตระกูลเซี่ย เจิ้งจื้อซิ่งมีสีหน้าเอาเรื่องดุดัน อีกสองสามวันจู้เป่าจูก็จะหมดลมหายใจแล้ว คิดไม่ถึงว่ามีคนมาพานางออกไป สองพ่อลูกตระกูลจู้ยังไปฟ้องร้องเขา
เจิ้งจื้อซิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ร้อนใจ ดังนั้นพอได้ข่าวก็รีบไล่ตามมาทันที
เขาไม่อาจปล่อยให้จู้เป่าจูทำลายชื่อเสียงของเขา
เจิ้งจื้อซิ่งครุ่นคิดจ้องมองประตูใหญ่ตระกูลเซี่ย แทบจะจ้องผ่านร่องประตูตระกูลเซี่ยเข้าไป หากไม่เหนือความคาดหมาย จู้เป่าจูถูกนำมาที่นี่ บิดาและพี่ชายจู้เป่าจูฟ้องเขา ล้วนเป็นฝีมือเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว
ไม่เช่นนั้น ด้วยความสามารถบิดาและพี่ชายจู้เป่าจู พวกเขาไม่มีทางคิดออกว่ามาจะมาฟ้องร้องเขา
เจิ้งจื้อซิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ แววตาราวกับอสรพิษร้าย
ยามนี้ประตูใหญ่ตระกูลเซี่ยเปิดออกพอดี ทุกคนเดินออกจากประตูมา คนที่นำมาก็คือลู่เจียวในชุดกระโปรงยาวปักไหมดิ้นทองส่องประกายแสบตา งดงามอ่อนหวานดุจบุปผางาม น่าเสียดายหญิงผู้นี้อุบายแยบยลลึกซึ้ง
เจิ้งจื้อซิ่งคิดไปพลางมองไปยังบิดาและพี่ชายจู้เป่าจูด้านหลังลู่เจียว มองผ่านไปยังจู้เป่าจูด้านหลังพวกเขา
สีหน้าเจิ้งจื้อซิ่งเย็นเยียบเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที เขาเดินไปหน้าพ่อลูกตระกูลจู้ มองจู้เป่าจูพลางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“เป่าจู เจ้ามีเรื่องอันใดก็บอกกับข้าได้ เหตุใดทำให้ท่านพ่อตากับพี่ใหญ่ตกใจด้วย”
เพราะมีบิดาและพี่ชายอยู่ข้างกาย จู้เป่าจูก็มีความมั่นใจ นางเงยหน้ามองเจิ้งจื้อซิ่งด้วยแววตารังเกียจคล้ายมองกองอุจจาระสุนัข
“เจิ้งจื้อซิ่ง เจ้าคนชั่วลดสถานะภรรยาเอกข้าไปเป็นอนุ เจ้าเสแสร้งอันใด คิดว่าเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็เชื่อเจ้าหรือ ไสหัวไป”
เจิ้งจื้อซิ่งได้ฟังจู้เป่าจูแววตาก็เปล่งประกายดุดันรุนแรง
แต่ก็กลับคืนสู่สีหน้าปกติรวดเร็ว สีหน้าอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพ่อตา พี่ใหญ่ ความจริงมีเรื่องหนึ่ง ข้าไม่ได้บอกพวกท่านมาตลอด เป่าจูป่วยมานานแล้ว นางเป็นโรคจิตไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเอง มักจะทำร้ายตนเอง จากนั้นก็จะทำร้ายข้า ข้าไม่มีหนทางอื่น ได้แต่ลดนางเป็นอนุ คิดว่าไม่ว่านางจะเป็นเช่นไรก็เป็นภรรยาข้า ข้าเลี้ยงดูนางได้”
เจิ้งจื้อซิ่งกล่าวจบ หันหน้าไปเรียกตัวหมอท่านหนึ่งที่ไว้เคราแพะออกมา เขาประสานมือมองไปยังบิดาและพี่ชายจู้เป่าจูกล่าวว่า “อนุจู้ป่วย ข้ารักษาให้นางมาตลอด นางมีอาการป่วยโรคจิตไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเองได้จริง มักจะกำเริบและขว้างปาสิ่งของ อาละวาดด่าทอผู้อื่น สาวใช้ข้างกายล้วนถูกนางทุบตี”
หมอกล่าวจบ คนมามุงดูหน้าประตูจวนตระกูลเซี่ยต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
สีหน้าสองพ่อลูกตระกูลจูย่ำแย่อย่างยิ่ง อ้าปากคิดด่า แต่ลู่เจียวรั้งไว้ พวกเขาอย่าได้มีเรื่องกัน หากทำร้ายคนบาดเจ็บ ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา