ตอนที่ 688 วางอุบายกันและกันก็แล้วกัน
แม้ว่าสองเฒ่าตระกูลซูเสียใจกับการตายของบุตรชาย แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะได้แก้แค้นให้บุตรชาย พวกเขาก็นับว่าไม่ผิดต่อบุตรชายในปรภพแล้ว หากไม่อาจแก้แค้นได้ มีแต่จะรู้สึกผิดต่อบุตรชาย
เจิ้งจื้อซิ่งถูกเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำเอาพูดไม่ออก เงียบไปเป็นนาน
จ้าวเหิงกับเจ้าหน้าที่ที่ทำการอำเภอชิงเหอจับกุมตัวคนที่ลงมือกับบุตรชายตระกูลซูมาไม่ได้ เขาหนีไปแล้ว
แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อคดีนี้ ตอนนั้นหลายคนอยู่ในที่เกิดเหตุ คนเหล่านี้เป็นพยานได้ว่าเซี่ยต้าเฉียงไม่ได้สั่งการให้สังหารคนบ้านตระกูลซู เป็นเพราะคนผู้นั้นวู่วามฆ่าคนเอง ความผิดเซี่ยต้าเฉียงไม่ถึงตาย โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นไม่อาจละเว้น บุตรชายบ้านตระกูลซูตายไปเพราะเซี่ยต้าเฉียงต้องตาที่นาพวกเขา คิดยึดครองที่นาพวกเขา ดังนั้นเซี่ยต้าเฉียงถูกปรับสองร้อยตำลึง โบยยี่สิบไม้ เนรเทศไปทำงานที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือยี่สิบปี
แม้ว่าไม่โดนโทษประหาร แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก
คนบ้านตระกูลซูต่างไม่เอาเรื่องเขาต่อ
อีกอย่าง คนที่ตอนนั้นไปบ้านตระกูลซูกับเซี่ยต้าเฉียงต่างถูกปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึง โบยคนละยี่สิบไม้
ส่วนคนที่หนีไปได้ เดิมก็มีความผิด ปรากฏว่ายังหนี จึงตัดสินโทษประหาร เจิ้งจื้อซิ่งสั่งการเจ้าหน้าที่ไปจับกุมตัว เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดาว่าคงจับตัวคนผู้นี้ไม่ได้
แต่เขาก็ไม่คิดสนใจเรื่องราวจากนี้อีก
เห็นว่ามืดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเตรียมกลับเมืองหนิงโจว
เจิ้งจื้อซิ่งเห็นเขาจะไปก็รีบเข้าไปรั้งไว้
“พี่อวิ๋นจิ่น ระหว่างพวกเราไม่มีทางอยู่ร่วมกันปรองดองได้อีกแล้วหรือ คิดถึงเมื่อหลายปีก่อนตอนเป็นสหายร่วมชั้นเรียน พวกเรานั่งลงคุยกันดีๆ ได้หรือไม่ สลัดบุญคุณความแค้นแต่หนหลังทิ้งไปให้หมดสิ้น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังเจิ้งจื้อซิ่ง ก็มีสีหน้าเย็นเยียบอย่างไม่อาจบรรยาย มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะ
เขาไม่เชื่อว่าคนเช่นเจิ้งจื้อซิ่งจะกลายเป็นคนดีได้ ทันทีที่ชั่ว จะมาเปลี่ยนเป็นดีได้อย่างไร ได้แต่ยิ่งชั่วขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
เจิ้งจื้อซิ่งทำเช่นนี้คิดว่าน่าจะมีแผนการอันใดวางอุบายเขา
แต่พอดีเขาเองก็จะวางอุบายอีกฝ่ายเช่นกัน ในเมื่อทุกคนต่างคิดเช่นนี้ ต่างคนต่างวางอุบายก็แล้วกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็หันไปมองเจิ้งจื้อซิ่ง เจิ้งจื้อซิ่งยื่นมือไปดึงเขาไว้ “เอาละ เอาละ เมื่อก่อนข้าใจแคบไปหน่อย ใต้เท้าใจคอกว้างขวางให้อภัยน้องชายผู้โง่เขลาด้วย ได้หรือไม่ วันนี้ข้าเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นการขอขมาเจ้า”
เขากล่าวจบก็ดึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะเดินออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นชักมือออก เลิกคิ้วกล่าวว่า “นำทางเถิด”
เจิ้งจื้อซิ่งได้ฟังเขาก็อดดีใจขึ้นมาไม่ได้ ในแววตามีแต่เล่ห์อุบายร้าย
ทุกคนไปยังตระกูลเจิ้ง ฟางซื่อได้ยินเจิ้งจื้อซิ่งกลับมาก็ดีใจมาก นำคนมาต้อนรับ ปรากฏเห็นเจิ้งจื้อซิ่งพาเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมา
ฟางซื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มองอย่างไม่อาจละสายตาจากไปได้ ตอนจ้วงหยวนคนใหม่ขี่ม้ารอบเมือง นางก็ไปชม ตอนนั้นก็มองจนไม่อาจละสายตา
น่าเสียดายจ้วงหยวนคนใหม่มีภรรยาแล้ว นางไร้หนทาง สุดท้ายได้แต่แต่งกับเจิ้งจื้อซิ่ง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้มาได้เห็นจ้วงหยวนคนใหม่ที่นี่ ฟางซื่อมองจนหัวใจเต้นกระหน่ำ
นางหันไปมองเจิ้งจื้อซิ่งกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นในชุดขุนนาง พอยืนคู่กันแล้ว ถูกคนเขากลบรัศมีลงดินไปหมด
เดิมนางยังรู้สึกว่าสามีตนเองหน้าตาไม่เลว ตอนนี้ในใจรู้สึกสลดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ฟางซื่อยังรู้ว่าควรดำรงท่าทีตามธรรมเนียม เข้ามาเอ่ยวาจาต้อนรับอ่อนโยน “ท่านพี่ เหตุใดเพิ่งกลับมา”
เจิ้งจื้อซิ่งยิ้มกล่าวว่า “ที่ว่าการอำเภอมีเรื่องนิดหน่อย ข้าพาพี่เซี่ยกลับมากินข้าว เจ้าไปสั่งการให้คนทำอาหารออกมาสองสามอย่าง”
“เจ้าค่ะท่านพี่”
ฟางซื่อรับคำเดินออกไป พยายามไม่หันมาเหลียวมองด้านหลัง เกรงว่าจะทำให้เจิ้งจื้อซิ่งพบได้
นางเพียงแค่ยืดตัวตรง ก้าวย่างออกไปอย่างนวยนาดด้วยท่วงท่าอรชรอย่างบอกไม่ถูก
น่าเสียดายเจิ้งจื้อซิ่งยุ่งกับการต้อนรับเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ทันได้เห็น “พี่อวิ๋นจิ่น เชิญ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินตามหลังเจิ้งจื้อซิ่งไปห้องโถงกลางในเรือนด้านหน้าตระกูลเจิ้งด้วยสีหน้าเป็นปกติ
สองคนลงนั่งแล้ว เจิ้งจื้อซิ่งก็เอ่ยกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรื่องจู้เป่าจู
“ข้ารู้ว่าพี่อวิ๋นจิ่นดูแคลนข้าเพราะเรื่องเป่าจู แต่ข้าเองก็ไร้หนทาง เป่าจูเติบโตจากบ้านนอก อันใดล้วนไม่เป็น บางครั้งข้าบอกกับนาง นางก็เหมือนไม่เข้าใจ ดังนั้นข้าทนไม่ไหวจึงโมโห บางครั้งก็คุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ลงมือกับนาง แต่นางป่วยจริง พออาการกำเริบก็จะเอาหัวโขกกำแพง เอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ขว้างปาข้าวของ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเจิ้งจื้อซิ่งด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่กล่าวอันใด
เจิ้งจื้อซิ่งพูดจนสุดท้ายตนเองรู้สึกเก้อกระดากเสียเอง จึงไม่พูดต่อ
โชคดีที่ฟางซื่อสั่งให้คนเตรียมอาหารมาโต๊ะหนึ่งพอดี เจิ้งจื้อซิ่งรีบลุกขึ้นเอ่ยเชื้อเชิญเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปเรือนด้านข้างกินข้าวกัน
“พี่อวิ๋นจิ่น เชิญ น้องชายโง่เขลารู้ว่าที่ตนเองทำลงไปทำให้พี่อวิ๋นจิ่นโมโหมาก วันนี้น้องชายลงโทษตนเองดื่มสามจอกขอขมาต่อพี่อวิ๋นจิ่น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบว่า “ก็ไม่จำเป็น พี่เจิ้งมีหลักการทำงานของตนเอง ข้าทนดูไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าต้องบังคับให้พี่เจิ้งทำตามความประสงค์ข้า เพียงแต่อวิ๋นจิ่นขอกล่าวสักคำ เกิดเป็นคนควรมีหลักการไว้สักหน่อยจะดีกว่า”
สีหน้าเจิ้งจื้อซิ่งแข็งค้างไปเป็นนาน ไม่รู้ว่าจะตอบรับวาจานี้เยี่ยงไร
ทุกคนไปเรือนด้านข้าง เจิ้งจื้อซิ่งลงโทษตนเองดื่มสามจอกรอดเร็ว จากนั้นก็รินสุราให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแอบสังเกตที่จอกสุรา พบว่าสุราในจอกคล้ายมีกลิ่นบางอย่าง และกลิ่นนี้ก็ไม่ดีอย่างมาก แน่นอนว่ากลิ่นนี้เบาบางมาก หากไม่ทันสังเกตก็ย่อมดมไม่ออก
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นแต่งภรรยาที่เชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ ปกติก็เล่าเรื่องกลวิธีให้เขาฟัง ดังนั้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นแน่ใจว่าเจิ้งจื้อซิ่งวางยาในสุราของเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเงียบๆ แอบครุ่นคิดว่าเจิ้งจื้อซิ่งจะวางยาอันใดเขา คงไม่ใช่ยาพิษให้ถึงแก่ชีวิต เขาเป็นถงจือเมืองหนิงโจว คงไม่กล้าวางยาพิษเขาตายอย่างเปิดเผยเป็นแน่ หรือว่าเป็นพิษที่ค่อยๆ กำเริบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ เจิ้งจื้อซิ่งรู้ว่าภรรยาเขามีวิชาการแพทย์ร้ายกาจ วางยาพิษกำเริบช้ากับเขาไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นเป็นไปได้มากว่ายาที่เขาวางเป็นยาปลุกกำหนัด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดได้แล้วแววตาก็เย็นเยียบ เขาควักยาขวดหนึ่งออกมาเงียบๆ กำไว้ในมือ ฉวยโอกาสที่เจิ้งจื้อซิ่งวางกาสุราอีกทาง ก็หย่อนยาเม็ดลงในจอกสุราเจิ้งจื้อซิ่ง
เจิ้งจื้อซิ่งวางยาปลุกกำหนัดเขา เช่นนั้นเขาก็วางยาปลุกกำหนัดเจิ้งจื้อซิ่งคืนก็แล้วกัน ทว่ายาของเขาไม่ได้ฤทธิ์อ่อนเหมือนของเจิ้งจื้อซิ่ง ยาของเขาฤทธิ์แรงมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปพลางมองไปยังเจิ้งจื้อซิ่ง เจิ้งจื้อซิ่งยกจอกสุราขึ้นชนกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น “พี่อวิ๋นจิ่น พวกเราดื่มกันสักจอก เรื่องที่ไม่เบิกบานใจเมื่อก่อนก็ให้ลืมมันไป เป็นอย่างไร”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นนิ่งเฉย เอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามีเรื่องไม่เบิกบานใจต่อกันด้วยหรือ”
เจิ้งจื้อซิ่งหัวเราะขึ้นทันที “ใช่ พวกเราไม่มีเรื่องไม่เบิกบานใจต่อกัน พวกเราเป็นสหายร่วมชั้นเรียน เรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การถือสา”
เขากล่าวจบก็เงยหน้าดื่มหมดจอก เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็เงยหน้าดื่มสุรา แต่แอบเขาเทลงในผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อ