Skip to content

พลิกปฐพี 109-3

ตอนที่ 109-3

ฟ่งอวี๋กุยแย่แล้ว!

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มเย็น ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา จึงพูดตรงๆ ว่า “โอสถในมือขององค์ชายสามได้มาจากจูลี่ใช่หรือไม่”

นางยังคงจำได้ว่า ในตอนที่อยู่ ณ เมืองฮ่วน จูลี่เกือบจะหลุดปากพูด แต่กลับถูกฟ่งอวี๋กุยห้ามเอาไว้ และในขณะนั้นเองก็เป็นครั้งแรกที่นางและพี่น้องตระกูลเว่ยได้ยินชื่อโอสถชุบชีวิตเป็นครั้งแรก เปลี่ยนชื่อโอสถเก้าชีวิตหวนคืน โอสถนี่ก็กลายเป็นยาที่เขาปรุงขึ้นเองไปแล้ว มันจะง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ ในตอนแรก มู่ชิงเกอหาได้คิดที่จะเปิดโปงไม่ เพราะโอสถเม็ดนั้นได้ถูกประมูลไปแล้ว ส่วนเจ้าของจะจัดการอย่างไร ล้วนไม่ข้องเกี่ยวกับนางอีก นางยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ที่มีจรรยาบรรณในการทำการค้าคนหนึ่ง หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนกันแล้ว นางก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก

ใครจะคิดว่าองค์ชายสามแห่งแคว้นลี่ท่านนี้ กลับกลายเป็นดั่งสุนัขที่กัดไม่ยอมปล่อย หากถ้านางไม่ขู่เขาเสียหน่อย เขาคงคิดว่านางเป็นแมวน้อย!

“เอามาจากจูลี่อะไรกัน! ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!” คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้สีหน้าของฟ่งอวี๋กุยเปลี่ยนไป และรีบปฏิเสธในทันที

เขานึกออกแล้ว จูลี่ราวกับจะเคยบอกว่าโอสถที่อยู่ในมือเขานี้ได้มาจากไอ้หมอนี่ตอนประมูล

ถ้าเช่นนั้น โอสถที่พลิกฟ้าเช่นนี้ จะเป็นฝีมือของคนที่อายุเพียงเท่านี้จริงๆ รึ

อีกอย่าง หากเขาเป็นคนปรุงเองกับมือ แล้วอย่างไร เขาสามารถยืนยันได้หรือว่าโอสถนี้เป็นของเขา

รีบคิดทบทวนครู่หนึ่ง ในใจของฟ่งอวี๋กุยที่ตื่นตระหนก ก็ได้สงบลงอีกครั้ง เขามองมู่ชิงเกออย่างใจเย็น พลางพูดด้วยนํ้าเสียงเบิกบานว่า “เจ้าหยุดสร้างความ สับสนให้แก่ทุกคนเช่นนี้ได้แล้ว”

เมื่อเรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง คิ้วของเว่ยหลินหลางก็ขมวดขึ้นอีกหนเพียงแต่ว่า เขายังคงรักษาความสงบ ผู้คนในจวนตระกูลเว่ยเองก็เงียบ ทำได้เพียง ยืนดูสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ห่างๆ ด้วยความสงบ พี่น้องตระกูลเว่ยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เมื่อเห็นอง์ชายสามมุ่งประเด็นมาที่มู่ชิงเกอ และได้ยินคำพูดที่ชี้เป้าของมู่ชิงเกอ ทั้งสองที่ถือว่าเป็นพยานสำคัญของเรื่องนี้จึงได้สติขึ้นมาในทันที “อ๋อ! ข้าจำได้แล้ว ตอนที่อยู่เมืองจื้อ จูลี่ได้ใช้สมบัติทั้งหมดของตนเองในการประมูลโอสถเม็ดนี้ของมู่เกอ” เว่ยฉีแสร้งทำเป็นเพิ่งนึกออก คำพูดนี้ของเว่ยฉี ทำให้จิตใจที่สงบลงของฟ่งอวี๋กุยตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง

แต่ว่า เขาจะไม่ยอมรับเป็นอันขาด เพราะอย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้เขาได้พูดว่า โอสถเม็ดนี้เขาปรุงขึ้นด้วยตนเอง

“นั้นมันเรื่องของจูลี่ ข้าจะทราบได้อย่างไร” ฟ่งอวี๋กุย อุทานอย่างเย็นเยียบ

เว่ยกว่านกว่านเอามือไพล่หลัง แล้วเดินเข้ามาอย่างเนิบช้า เพื่อมาอยู่ข้างๆ ท่านพ่อ และพูดกับฟ่งอวี๋กุยอย่างเหยียดหยามว่า “จะเกี่ยวหรือไม่ เอาโอสถนั้นออกมา ก็รู้”

ฟ่งอวี๋กุยหรี่ตาลง ในร่องตาแฝงไอสังหารที่คมกริบ

ในวินาทีนี้ เขาอยากจะเดินเชิดหน้าออกจากจวนตระกูลเว่ย แต่ว่า หากเขาจากไปเช่นนี้ วันรุ่งขึ้นก็คงจะมีข่าวแพร่ออกไปว่าเขาต้องพบเจออะไรบ้างในจวนตระกูลเว่ย ซึ่งเขาไม่อาจจะขายหน้าได้

เมื่อนึกย้อนไปถึงรูปร่างของโอสถที่อยู่ในกำมือก็ไม่ได้ต่างจากโอสถระดับสูงอื่นๆ เขาไม่เชื่อว่ามันจะสามารถดูออกได้

เมื่อมั่นใจแล้ว ฟ่งอวี๋กุยจึงเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา พลันเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ก็ดี โอสถชุบชีวิตเม็ดนี้ เป็นโอสถที่ข้าปรุงขึ้นด้วยตนเองโดยแท้ ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะมีสิ่งใดมายืนยันว่าข้าได้โอสถนี้มาจากจูลี่”

พูดจบ ฟ่งอวี๋กุยก็แบมืออกอีกครั้ง เผยให้เห็นโอสถที่กลิ้งไปมาอยู่บนฝ่ามือ

กลิ่นหอมของโอสถอันรุนแรง ได้เข้าปกคลุมห้องโถงไว้อีกครั้ง

การปรากฏของโอสถระดับสูงนี้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้ต่างก็กลืนนํ้าลายโดยไม่อาจจะห้ามใจได้

หากไม่ใช่เพราะพวกเขายังมีสติ คงจะไม่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้พุ่งออกไปแย่งได้!

“เจ้า พูดให้ชัดเจนนะ โอสถนี่จูลี่ได้ซื้อมาจากเจ้าอย่างนั้นหรือ” ฟ่งอวี๋กุยเชิดหน้าใส่มู่ชิงเกอ ท่าทางเย็นชา ราวกับว่า หากมู่ชิงเกอไม่มีหลักฐาน ก็จะสังหารนางทิ้ง เสียตรงนี้!

และแน่นอนว่า ในขณะที่มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็ยิ้มอย่างเย็นเยียบอีกครั้ง “หากเจ้าไม่มีหลักฐาน โทษทัณฑ์จากการดูหมิ่นองค์ชายนั้น เจ้าไม่อาจจะรอดพ้น ได้เป็นแน่! ด้วยกฎของแคว้นลี่ คนธรรมดาริบังอาจหมิ่นหยามองค์ชาย ต้องถูกนหั่นออกเป็นสองท่อน! และประหารสามชั่วโคตร!”

เว่ยหลินหลางแสดงความกลัวออกมาเล็กน้อย และมองมู่ชิงเกอด้วยความเป็นห่วง

เขาไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถด้านการปรุงยา และไม่เคยเห็นโอสถที่จูลี่ซื้อจากมู่ชิงเกอ จึงไม่สามารถแยกแยะได้

เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านเคยเห็น ทำให้เว่ยหลินหลางมองลูกทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่รู้ตัว

แต่ทว่า เว่ยกว่านกว่านจะสามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างไร

ในสายตาของนาง โอสถทุกเม็ดในใต้หล้านี้ล้วนมีลักษณะเช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะเคยบอกว่าจะไปเรียนการปรุงยาที่โรงโอสถ แต่ก็เพียงตามมู่ชิงเกอไปก็เท่านั้น นางไม่ได้สังเกตสายตาของท่านพ่อที่จับจ้องอยู่ เพียงแค่มองโอสถนั้นแวบหนึ่ง แล้วจึงเคลื่อนสายตาออกไปมองมู่ชิงเกอด้วยความเป็นกังวล นางเป็นห่วงว่ามู่ชิงเกอจะไม่มีหลักฐานในการยืนยันที่มาของโอสถ แล้วก็ต้องโทษดูหมิ่นองค์ชาย

แต่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้เว่ยหลินหลางเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป ทำให้เขาคิดว่าโอสถที่อยู่ในมือของฟ่งอวี๋กุยนั้นไม่ใช่โอสถเม็ดที่ที่มู่ชิงเกอเอาไปประมูล

ทันใดนั้น ในใจของเขาก็เกิดความหวาดกลัว และเริ่มหาวิธีที่จะช่วยให้มู่ชิงเกอสามารถพ้นจากอันตรายในครั้งนี้

ท่าทางของพ่อลูกตระกูลเว่ย ทำให้พ่งอวี๋กุยผ่อนคลายลง เขามองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่แฝงรอยยิ้มได้ใจ “เป็นอย่างไรล่ะ เจ้าจะยืนยันว่าโอสถเม็ดนี้เป็นของเจ้า ได้อย่างไร”

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม และแก้ไขว่า “องค์ชายสามเข้าใจผิดแล้ว โอสถนี้ไม่ใช่ของข้า”

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้ว!” ฟ่งอวี๋กุยตาเป็นประกาย พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่เว่ยหลินหลางและพี่น้องตระกูลเว่ยกลับรู้สึกตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น

มู่ชิงเกอกลับพูดต่ออีกว่า “ผิด” นางกวาดสายตามองโอสถเม็ดนั้น พลันผุดรอยยิ้มและพูดอย่างเย็นชาว่า “โอสถเม็ดนี้ข้าได้ขายให้กับจูลี่ไปแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ ใช่ของข้าอีกต่อไป”

“หึ! ข้าว่าแล้วเชียว นี้คือโอสถที่จูลี่ประมูลมาจากหอสรรพสิ่งเมืองจื้อ” เว่ยกว่านกว่านปรบมือด้วยความตื่นเต้นในทันที

ในขณะนี้ เว่ยหลินหลางเองก็โล่งใจเช่นกัน

ในตอนนี้เว่ยฉีได้เดินมายืนอยู่ข้างๆ ท่านพ่อ มองโอสถที่อยู่ในมือของฟ่งอวี๋กุย แล้วพูดกับเว่ยหลินหลางว่า “ท่านพ่อ วันนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมีไม่มาก โอสถนี่ยังเป็นโอสถที่ท่านผู้เฒ่าตานแห่งหอสรรพสิ่งทำการแลกเปลี่ยนด้วยตนเอง คนอื่นอาจจะไม่รู้จัก แต่ท่านผู้เฒ่าตานต้องรู้จักเป็นแน่”

คำพูดของเขา ทำให้สายตาของฟ่งอวี๋กุยแฝงไอสังหาร

ท่ามกลางรอยยิ้มของเขา มีความโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ พลันกัดฟันและพูดว่า “โอสถนี่ถูกตัดสินเพียงลมปากของเจ้าอย่างนั้นหรือ ท่านผู้เฒ่าตานอะไรกัน อาจจะเป็นพวกเดียวกับพวกเจ้าตั้งแต่แรก ได้ยินมาว่า คุณชายมู่ท่านนี้สนิทสนมกับประมุขหอสรรพสิ่งเป็นอย่างมากนี่!

ฟ่งอวี๋กุยยังคงดิ้นรน ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงเกอยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version