Skip to content

พลิกปฐพี 174-4

ตอนที่ 174-4

หากไม่ได้เอาคืนข้าก็คงต้องอัดอั้นจนตาย!

เมื่อครู่เขาก็รีบร้อนคิดจะสังหารมู่ชิงเกอเกินไป จนเกือบจะลืมไปว่าผู้อาวุโสคนสำคัญสองคนในสำนักของตนก็ล้วนแต่ตกตายด้วยนํ้ามือของมู่ชิงเกอ และสาขาย่อยก็เป็นเขาที่ทำลายมันจนราบคาบ

ถ้าหากมู่ชิงเกอมีพลังในระดับสีม่วงขั้นกลางอยู่จริงๆ เช่นนั้นพรสวรรค์ของเขาจะต้องน่าเกรงกลัวจนผู้คนตกตะลึง

“ถ้าหากไม่รีบกำจัดเขา เกรงว่าหลังจากนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสแล้ว” โหลวเสวียนเถี่ยกล่าวเสียงขรึม

คำกล่าวประโยคนี้เฮยมู่ก็นับว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางได้พบเจอกับความน่ากลัวของมู่ชิงเกอได้เท่าเขาอีก ถ้าหากยังปล่อยให้เขาพัฒนาตัวเองต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานก็จะกลายเป็นคนที่พวกเขาไม่อาจต่อกรได้อีก

แต่ว่าถ้าหากลงมือในงานเลี้ยง พวกเขาเหล่าอาวุโสก็ไม่อาจลงมือได้ แล้วพวกรุ่นเยาว์จะมีใครเป็นคู่มือกับมู่ชิงเกอได้กัน?

ทันใดนั้นเอง โหลวเสวียนเถี่ยก็มองไปยังที่นั่งของแคว้นระดับสอง ก่อนจะยิ้มเหี้ยมเกรียมขึ้นมา “ดูท่าคงไม่ต้องให้พวกเราลงมือ”

“เจ้าสำนักโหลวนี่หมายความว่าอย่างไร?” ไท่สื่อเกาถามพลางขมวดคิ้วขึ้น

โหลวเสวียนเถี่ยหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า “ดูท่าจะมีคนอยากให้มู่ชิงเกออับอาย”

เฮยมู่กับไท่สื่อเกามองไปยังทิศที่โหลวเสวียนเถี่ยมองไป ก่อนจะพบว่าตรงที่นั่งของแคว้นระดับสอง สีหน้าตัวแทนของทั้งสามแคว้นล้วนแต่ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแทนของแคว้นหรง ราวกับว่ามู่ชิงเกอที่ได้รับความสนใจเช่นนี้ก็ทำให้เขาจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ราชทูตจากแคว้นหรงดูท่าจะไม่ค่อยถูกชะตากับคนแช่มู่” โหลวเสวียนเถี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น ราวกับว่าการที่มู่ชิงเกอมีศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ก็จะทำให้เขาเบิกบานใจขึ้นอีกส่วนนึง

เฮยมู่คิดแล้วคิดก่อนจะยิ้มขึ้น “แคว้นหรงกับพวกเราก็นับว่าเป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน ไม่สู้ให้พวกเขาออกไปลองเชิงให้พวกเราก่อน วันนี้จะสังหารแซ่มู่ก็คงไม่อาจทำได้ แต่ว่าการทำลายความอวดดีของเขานั้นก็ดูจะมีโอกาสอยู่บ้าง”

“ผู้อาวุโส ท่านก็ล้วนแต่บอกแล้วว่าระดับการฝึกฝนของแซ่มู่นั้นสูงมาก แค่เพียงอาศัยคนของแคว้นหรงไม่กี่คนพวกนั้น จะไปทำลายความอวดดีของเขาได้อย่างไร?” ไพ่สื่อเกากล่าวอย่างไม่เข้าใจ

เขาก็อดรนทนไม่ไหวที่จะให้มู่ชิงเกอตกตายไปเร็วๆ หลังจากนั้นเขาก็จะได้แย่งขลุ่ยอสูรที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา

ราวกับว่ามีเพียงความตายของมู่ชิงเกอเท่านั้นที่จะชะล้างความอัปยศบนตัวของตนได้

บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนต่างชิงชังคนผู้เดียวกันจิ่งเทียนก็มองไปทางพวกไท่สื่อเการาวกับมีพรายกระซิบในใจ มองเห็นเข้ากับแววตาเคียดแค้นที่พวกเขามีต่อมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของเขาไหววูบขึ้น สีหน้าเคร่งขรึมลงก่อนจะหันไปกล่าวกับประมุขตระกูลจิ่ง “ท่านพ่อ มู่ชิงเกออายุยังน้อยแต่กลับมีนิสัยอวดดี ไม่สนฟ้าสูงแผ่นดินตํ่า ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินคนเอาไว้มากน้อยเท่าไร ข้าดูแล้วทางสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราพวกนั้นต่างก็อยากจะกำจัดเขาทิ้ง ถ้าหากพวกเราตระกูลจิ่งคิดจะสานสัมพันธ์กับเขา ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องช่วยเขาจัดการกับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้?”

ถึงแม้ว่าเขาจะถูกบิดากล่อมจนค่อยๆ เห็นดีด้วยแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่เห็นดีกับมู่ชิงเกอ

เขายิ่งหวังว่าหลังจากที่มู่ชิงเกอถูกกลุ่มอำนาจเหล่านี้จัดการจนมีสภาพอนาถแล้ว เขาค่อยปรากฏตัวออกไปด้วยท่าทีของผู้ใจบุญ รับตัวมู่ชิงเกอเข้าสู่ตระกูลจิ่ง มี เพียงเช่นนี้ในภายภาคหน้าเขาถึงจะหยามเกียรติมู่ชิงเกอได้อย่างไม่คับข้องใจ เป็นการแก้แค้นให้ตนเอง!

ประมุขตระกูลจิ่งหลังจากได้ฟังคำพูดของจิ่งเทียนแล้ว สายตาก็ร่วงตกไปยังที่นั่งของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตรา

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาเห็นเข้ากับแกนนำหลักของทั้งสองขุมกำลังนั้นที่กำลังจ้องมองไปทางมู่ชิงเกออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เขาค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นราวกับว่ากำลังตั้งใจขบคิดตามคำกล่าวของจิงเทียน

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงค่อยๆ พยักหน้าขึ้นน้อยๆ กล่าวกับจิ่งเทียน “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ถึงจะเป็นคนที่มีความสามารถมากเพียงใด ถ้าหากมีความอวดดีเกินไป ก็ไม่นับว่ามีค่าอันใด การสานสัมพันธ์กับมู่ชิงเกอก็ให้ชะลอเอาไว้ก่อน ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”

คำกล่าวของบิดาก็ทำให้จิ่งเทียนถอนหายใจโล่งอก

ไม่เช่นนั้น อยู่ๆ จะให้เขาเร่งรีบไปสงบศึกกับมู่ชิงเกอ ในใจของเขาก็ถือว่ารับไม่ค่อยได้นัก

บนที่นั่งในงานเลี้ยง ผู้คนก็อยู่ในอิริยาบถต่างๆ นานา ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตนเอง แผนการร้ายค่อยๆ กลํ้ากรายเข้ามา และมู่ชิงเกอที่ถูกความมุ่งร้ายเหล่านั้นเข้าครอบคลุมก็เหมือนกับคนไม่มีเรื่องให้ทุกข์ร้อนใจอย่างไรอย่างนั้น หันไปพูดคุยกับเจียงหลีบ้าง นอกจากนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีอื่นใดอีก

รํ่าสุรากันไปได้พักหนึ่ง ด้านหน้าของมู่ชิงเกอก็พลันปรากฏคนผู้หนึ่งขึ้น คนผู้นี้พอปรากฏตัวขึ้นมา รอบด้านก็พากันเงียบสงบ มู่ชิงเกอที่ดืมเหล้าจนรู้สึกมึนหัวขึ้นน้อยๆ พลันสัมผัสได้ว่าบนหัวของตนมีเงาทาบทับลงมา พอเงยหน้าขึ้นเพ่ง มองไป ก็เห็นเข้ากับรัชทายาทของอาณาจักรเซิ่งหยวน หวงฝู่ฮ่วนที่อยู่ในชุดฉลองพระองค์ขององค์รัชทายาท บนศีรษะประดับมงกุฎเครื่องทอง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย สีหน้าประดับรอยยิ้ม

ความรู้สึกมึนเมาในสายตาของมู่ชิงเกอพลันสลายหายไป ก่อนจะปรากฏความประหลาดใจขึ้นรางๆ

นางไม่เข้าใจว่าทำไมองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ของอาณาจักรเซิ่งหยวนอยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่ตรงหน้านาง อีกทั้งในมือยังถือจอกสุราเอาไว้อีก จุดประสงค์ในการมาก็ถือว่าชัดเจนยิ่งนัก

ถึงว่าทำไมรอบด้านอยู่ๆ ก็กลายเป็นเงียบลง ก็แม้แต่คนของทั้งสี่ตระกูลใหญ่สีหน้าก็เริ่มฉายแววความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมาแตกต่างกัน หวงฝู่ฮ่วนเป็นถึงผู้ใดกัน? องค์รชทายาทของอาณาจักรเซิ่งหยวน ถือเป็นจักพรรดิหยวนในอนาคต

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ชื่อของเขาก็เป็นมหาปราชญ์ที่ทรงประทานให้ด้วยตนเอง ตามที่ได้ยินมา องค์ชายของราชวงศ์หวงฝู่ หลังจากที่แต่ละคนประสูติออกมาก็จะถูกจักพรรดิหยวนอุ้มไปยังตำหนักหลีกงที่ประทับขององค์มหาปราชญ์ด้วยตัวเอง พาไปขอพระราชทานพระนาม

ธรรมเนียมนี้ก็ล้วนแต่สืบทอดกันมาในทุกๆ รัชสมัย

แต่ว่า องค์ชายตั้งมากมายขนาดนั้นที่ถูกส่งเข้าตำหนักหลีกงขอพระราชทานพระนาม กลับมีเพียงหวงฝู่ฮ่วนแค่คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับกับเกียรติยศนี้ ดังนั้นเขาก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องโดดเด่นเหนือกว่าองค์ชายทุกๆ พระองค์และก็ถือเป็นสาเหตุสำคัญในการได้เป็นองค์รัชทายาทของเขา ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง เพราะว่านี่ก็ถือเป็นการเลือกขององค์มหาปราชญ์ บุคคลสำคัญเช่นนี้กลับเป็นฝ่ายเข้าไปสานสัมพันธ์กับมู่ชิงเกอด้วยตัวเอง?

นี่มันเรื่องราวอันใดกัน?

ความมุ่งร้ายที่ห้อมล้อมมู่ชิงเกอพวกนั้นในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยุดลงไปชั่วขณะ

ทุกผู้ทุกคน ต่างเคลื่อนสายตามายังที่นั่งที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่

บนที่นั่งชั้นสอง ก็เงียบกริบลงจนแม้แต่เข็มเล่มเดียวตกพื้นก็ยังฟังได้ยิน ส่วนที่นั่งชั้นล่างที่เป็นที่นั่งของขุนนางของอาณาจักรเซิ่งหยวนก็ราวกับว่าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความเงียบของด้านบน ก็เลยค่อยๆพากันกลายเป็นเงียบเสียงลง

หวงฝู่ฮ่วนยืนอยู่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร

มู่ชิงเกอก็สงสัยยิ่งนัก สงสัยว่าความเป็นมิตรของหวงฝู่ฮ่วนนั้นมาจากที่ใด นางสามารถยืนยันได้ว่าก่อนหน้าก็ไม่เคยพบกับองค์รัชทายาทที่ได้รับความยกย่องจากผู้คนผู้นี้มาก่อน

นางหยิบเอาจอกเหล้าบนโต๊ะขึ้นก่อนจะค่อยๆ ชันกายยืนขึ้นมา

ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ก่อนที่หวงฝู่ฮ่วนจะเป็นฝ่ายกล่าวก่อน “คุณชายมู่ ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้พอได้พบก็ถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก สุราจอกนี้ก็เป็นข้าที่ขอคารวะคุณชายมู่” คำกล่าวถ่อมตนเช่นนี้ กลับหลุดออกมาจากปากของผู้สืบทอดในอนาคตของแคว้นอันดับหนึ่ง ทำเอาฝูงชนพากันตื่นตระหนกสีหน้าเปลี่ยนสี

มีเพียงจักพรรดิหยวนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเพียงเท่านั้นที่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอันใดกับการกระทำของบุตรชาย กลับกันกลับมีท่าทางราวกับกำลังชื่นชม

มู่ชิงเกอก็ดื่มสุราลงไปพร้อมกับหวงฝู่ฮ่วนด้วยความสงสัย

หลังจากนั้น นางก็ค่อยๆ กล่าวกับหวงฝู่ฮ่วน “องค์รัชทายาทเคยได้ชื่อของกระหม่อมมาก่อน?” นางก็ไม่มีทางเชื่อว่าคนที่มีฐานะเป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักเซิ่งหยวน จะไปสนใจเรื่องราวของคุณชายเล็กๆ ของแคว้นระดับสามคนหนึ่ง

หวงฝู่ฮ่วนอยู่ๆ ก็แย้มยิ้มขึ้น ก่อนจะกล่าวคำสี่พยางค์……ออกมา

มู่ชิงเกอนัยน์ตาพลันหดเล็กลง ในใจตกตะลึงจนสั่นกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น

ถ้าหากไม่ได้มองตาฝาดไปละก็ คำกล่าวสี่พยางค์นั่นที่หวงฝู่ฮ่วนกล่าวออกมาก็คือ ‘องค์มหาปราชญ์!’

เป็นซือมั่ว!

เกรงว่ามู่ชิงเกอไม่ว่ายังไงก็คงจะคิดไม่ถึงว่า ความพิเศษที่หวงฝู่ฮ่วนมีให้ตนกลับมีสาเหตุมาจากซือมั่ว พออยู่ๆ ได้ยินข่าวคราวของคนผู้นี้เข้า ในใจของมู่ชิงเกอก็พลันเต้นขึ้นอย่างรุนแรง

หลังจากตกตะลึงไปไม่ทันไรก็เหมือนกับจะมีความรู้สึกอันอบอุ่นไหลแล่นเข้ามาในกระแสเลือดของนางก็ไม่ปาน

นางก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าซือมั่วกล่าวอะไรกับหวงฝู่ฮ่วน และก็ยิ่งไม่รู้ว่าหวงฝู่ฮ่วนรู้เรื่องเกี่ยวกับนางมากน้อยเพียงใด

“มีคำกล่าวบางอย่างที่ไม่อาจกล่าวมากความได้ คุณชายมู่หากมีเวลา หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็อยากจะพบปะกับคุณชายมู่ในยามคํ่าเสียหน่อย’’ หวงฝู่ ฮ่วนกล่าวเชื้อเชิญออกมา

คำกล่าวของเขาประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอพอคาดเดาอันใดได้รางๆ

ดูท่า นางที่มีสถานะเป็นหญิงหวงฝู่ฮ่วนจะยังไม่ทราบ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีทางเชิญให้นางไปพบปะในตอนค่ำเป็นแน่ แต่ว่านางก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าหวงฝู่ฮ่วนรู้จักนางได้เช่นไร อิงตามความเข้าใจของนาง ซือมั่วก็ไม่มีทางไปเล่าเรื่องราวของนางให้คนอื่นฟัง

ดังนั้นนางก็เลยแค่พยักหน้าขึ้นเล็กน้อย นับว่าเป็นการตอบรับการเชื้อเชิญของหวงฝู่ฮ่วน

หลังจากบรรลุจุดประสงค์หวงฝู่ฮ่วนก็ถอยกลับไปยังที่นั่งของตน ไม่ได้รั้งอยู่ที่ที่นั่งของมู่ชิงเกออีก

“ทำไมหวงฝู่ฮ่วนถึงได้สนใจในตัวเจ้ากัน?” หวงฝู่ฮ่วนเพิ่งจากไปได้ไม่ทันไร เจียงหลีก็อดกลั้นความสงสัยของตนเอาไว้ไม่อยู่เขยิบเข้าไปถามมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอมองไปทางนาง พอเห็นเข้ากับแววตาหยอกเย้าของนาง ก็กลอกตาขาวให้หนหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เพราะว่าข้าหน้าตาดี”

“มู่ชิงเกอเจ้ายังมียางอายอยู่ไหม!” เจียงหลีแสร้งทำท่าทางเหมือนจะอาเจียนพร้อมกับแสดงสีหน้าถากถางขึ้น มู่ชิงเกอยกมือขึ้นไปลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะ ค่อยๆ กล่าวว่า “ใบหน้าของข้าคุณชายผู้นี้ก็นับว่าไม่เลวนัก”

เจียงหลีหันหน้าหนีอย่างยากจะรับไหว

ส่วนจ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็พากันลอบยิ้มขำอยู่ที่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ

การมาเยือนของหวงฝู่ฮ่วนก็ทำให้มู่ชิงเกอกลายเป็นจุดสนใจขึ้นอีกครั้ง ความคิดเห็นที่สี่ตระกูลใหญ่มีต่อนางก็เหมือนกับว่าจะต้องคิดอ่านกันใหม่

ความเงียบสงบของที่นั่งชั้นสองก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง

หลังจากนั้น บรรยากาศก็แฝงไว้ด้วยความแปลกประหลาดประการหนึ่ง และก็เหมือนกับว่ากับว่าความแปลกประหลาดนี้จะรายล้อมอยู่รอบตัวของมู่ชิงเกอ

“ฝ่าบาทพ่ะค่ะย่ะ!” อยู่ๆ ทันใดนั้นเองก็มีคนทำลายความเงียบสงบลง

มู่ชิงเกอเงยหน้าหันมองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับราชทูตของแคว้นหรงที่อยู่ๆ ก็ลุกยืนขึ้นมา หันไปประสานมือกล่าวกับจักพรรดิหยวน “คืนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นงาน เลี้ยงที่ฝ่าบาทจัดขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเรา แต่จะให้นั่งดื่มกินกันเฉยๆเช่นนี้ ดูแล้วก็จะไม่ค่อยสนุกนัก ไม่สู้พวกเรา เพิ่มเรื่องน่าสนุกเข้ามาหน่อยเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ จะได้เป็นการเพิ่มความสำราญให้กับฝ่าบาท!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version