ตอนที่ 216
องค์หญิงเผ่าอี๋ อสูรร้ายบุกโจมตี
เกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลแห่งทุกข์ รอบด้านของตัวเกาะเล็กๆ ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยนํ้าทะเลสกปรกที่นองเต็มไปด้วยเลือด ทำการย้อมคลุมเสียจนสีของนํ้าทะเล กลายเป็นดำคลํ้า
ซากร่างของสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ล้วนพากันนอนตายอยู่ริมชายฝั่ง ราวกับว่าเพิ่งจะเกิดศึกใหญ่ผ่านพ้นไปเมื่อครู่
บนชุดศึกสีดำของพวกองครักษ์เขียวมังกร ย้อมเต็มไปด้วยเลือดของสัตว์อสูร แต่พวกเขาก็เหมือนกับรู้สึกว่ามันไม่สกปรกอย่างไรอย่างนั้น แต่ละคนต่างพากันคุก เข่าอยู่บนพื้นใช้มีดทหารที่มู่ชิงเกอจัดทำขึ้นเป็นพิเศษให้ในมือชำแหละชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดบนตัวสัตว์อสูรอย่างระมัดระวัง
แม้แต่ฮวาเยวี่ยกับโย่วเหอหญิงสาวสองนางก็ไม่ยกเว้น ท่าทางดูตั้งใจมากกว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรเสียอีก
“น่าจะพอแล้ว” ฮวาเยวี่ยยืนขึ้นมา บนใบไม้ในมือ กองอยู่ด้วยชิ้นเนื้อจำนวนหนึ่ง รอยยิ้มตรงมุมปากของนางก็ช่างสดใสนัก ในดวงตางามที่เปล่งประกายก็แฝง
ไว้ด้วยความยินดี
โย่วเหอเอาเนื้อชิ้นสุดท้ายชำแหละออกมาก่อนจะวางมันไปบนใบไม้เช่นเดียวกัน ลุกยืนขึ้น เอ่ยกับฮวาเยวี่ย “ข้าก็เสร็จแล้ว”
หญิงสาวทั้งสองยิ้มให้กันหนหนึ่ง ก่อนจะเดินออกชายฝั่งไปนั่งลงยังก้อนหินที่ใกล้ที่สุด
หลังจากนั้นทั้งสองคนถึงค่อยหยิบรังนกที่ทำขึ้นมาจากศิลาวิญญาณออกมาอย่างระมัดระวัง รังนกไม่ใหญ่มาก มีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ ตรงกลางที่ถูกไอพลัง ห้อมล้อมเอาไว้มีลูกนกขนอ่อนตัวหนึ่งนอนอยู่ ที่ข้างกายของมันยังมีผลไม้สดจำนวนหนึ่งที่ยังกินไม่หมดวางอยู่
“ข้าขอดูของเจ้าหน่อย” ฮวาเยวี่ยชะโงกคอเข้ามามอง ไปยังรังนกที่ถูกอุ้มอยู่ในมือของฮวาเยวี่ยแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ดึงสายตากลับ ฮวาเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างวาด หวังรอคอย “เจ้าสองตัวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโตขึ้นมาตอนไหน โตจนสามารถพาพวกเราบินขึ้นไปบนฟ้าได้”
โย่วเหอใช้มือหยิบก้อนเนื้อขึ้นมา ส่งมันไปที่ปากของลูกนก ส่งให้มันอย่างตั้งใจ “จะต้องมีวันนั้น”
เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยนายทุกคนตอนนี้ก็เหมือนกับพวกนาง
วันเวลาที่ขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ก็ร่วงเลยมาถึงครึ่งเดือนแล้ว พวกเขาในช่วงนี้นอกจากสังหารสัตว์อสูร ก็เป็นเลี้ยงดูอสูรเวหาที่เพิ่งฟักออกจากไข่ของพวกเขา ทุกๆ วันล้วนแต่ใช้ผลไม้วิญญาณกับเนื้อของสัตว์อสูรเลี้ยงดูมัน ส่วนศิลาวิญญาณก็ใช้ทำรังให้พวกมัน ท่าทางตั้งอกตั้งใจเช่นนั้นก็เหมือนกับกำลังเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็ไม่ปาน
บางทีอาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากนิสัยของมู่ชิงเกอ พวกเขาคนเหล่านี้ก็ไม่เคยเห็นพวกมันเป็นเครื่องมือ แต่เห็นมันเป็นสหายของตัวเอง
พอตกกลางคืนพวกเขาก็จะเข้าสู่การฝึกพลัง ทำการสะสมพลังและบีบอัดพลังจิตของตนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังฝึกฝนวิชายุทธ์กับท่าก้าวดาราก่อกำเนิดที่ได้รับมา จากเศษซากโบราณ
ในป่าผืนหนึ่งที่ห่างจากชายฝั่งค่อนข้างไกล บนต้นไม้ใหญ่หนาต้นหนึ่ง ไป๋สี่ก็กำลังเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่บนกิ่งไม้ นอนหลับอย่างสุขสบาย หลังจากกิน อิ่มก็จะง่วงนอน นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติเรื่องหนึ่ง
หลังจากวันนั้นที่มู่ชิงเกอกำชับเตือน นางก็ไปเลือกเฟ้นเฉพาะสัตว์อสูรระดับสูงในเขตทะเลผืนนี้มากินไปแล้วจำนวนหนึ่ง
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรที่สังหารสัตว์อสูรบนเกาะเล็กๆ มานานขนาดนี้แล้วกลับไม่ดึงดูดพวกอสูรที่ร้ายกาจกว่านั้นมา เพราะว่าสัตว์อสูรที่ร้ายกาจกว่าพวกนั้นก็ถูกไป๋สี่กินเข้าท้องไปแล้ว
ส่วนพวกสัตว์อสูรชั้นกักเก็บที่อยู่ไกลออกไป ต่อให้ได้กลิ่นเลือดก็เกรงว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะยังมาไม่ถึง
การสังหารที่ริมชายฝั่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเกาะด้านในแม้แต่น้อย
ด้านนอกถํ้าที่มู่ชิงเกอใช้เก็บตัวฝึกฝนก็ได้สร้างเป็นกระโจมขึ้นมาหลายแห่ง มีไว้ให้พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรพักผ่อนชั่วคราว ส่วนถํ้าที่สามารถจุคนได้หลายร้อยคน ก็ถูกพวกเขาเว้นว่างเอาไว้เว้นเอาไว้ให้เป็นที่พักของมู่ชิงเกอ ไป๋สี่ โย่วเหอฮวาเยวี่ยหญิงสาวไม่กี่นาง
ส่วนหยินเฉินก็เฝ้าอยู่ด้านหน้าปากถํ้า อยู่เป็นคนคุ้มกันมู่ชิงเกอ
ริมฝั่ง พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ได้กลับขึ้นมาจากชาย หาดแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ป้อนอาหารให้สัตว์อสูรของตน
แต่ทันใดนั้นเอง ไป๋สี่ที่นอนหลับอยู่บนกิ่งไม้อยู่ๆก็พลันเปิดเปลือกตาขึ้น ในนัยน์ตาส่วนลึกคู่นั้นของนาง ปรากฏประกายแสงสีม่วงทองขึ้นมาสายหนึ่ง
ต่อจากนั้น เงาร่างของนางก็หายวับไป หายไปจากบนกิ่งไม้ กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งทะยานไปยังชายฝั่ง
แสงลีขาวบาดตาร่อนลงไปบนชายฝั่ง ก่อนจะแปลงกายเป็นมนุษย์
การปรากฏตัวของนางก็ทำให้พวกองครักษ์เขี้ยวมังกร ระแวดระวังขึ้น พากันเก็บสัตว์เลี้ยงของตนเข้าไป พวกเขาลุกยืนขึ้น ดึงอาวุธของตนเองออกมา
“ทำไมรึ?” มั่วหยางเดินไปข้างกายของไป๋สี่ เอ่ยถามเสียงขรึม
ไป๋สี่ทอดมองออกไปยังที่ไกลๆ พร้อมกับลูบเบาๆ ไปที่คางของตน “มีคนกำลังมา”
มีคน!
นัยน์ตาทั้งสองข้างของมั่วหยางหดเล็กลง
เขาก็จับใจความได้ถึงความหมายในคำพูดที่ไป๋สี่ใช้ นางบอกว่ามีคนแต่ไม่ใช่สัตว์อสูร
ในทะเลแห่งทุกข์ เผ่ามนุษย์แต่เดิมนั้นก็มีอยู่น้อยมาก ตอนนี้อยู่ๆ มีคนปรากฏตัวขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะมาจากที่แห่งไหนกัน?
“ทุกคนเตรียมพร้อม!” มั่วหยางออกคำสั่ง องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าคนต่างก็เข้าสู่สภาวะพร้อมรบ ในนั้นมีองครักษ์เขี้ยวมังกรคนหนึ่งพลิกตัวแอบซ่อนเข้าไปใน ดงหญ้า ลอบสังเกตสภาพโดยรอบ
ขอเพียงมีอะไรไม่ถูกต้องก็จะมีเขารับผิดชอบไปรายงานเรื่องทั้งหมดให้แก่มู่ชิงเกอ
โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยก็ลุกยืนขึ้นมาเช่นกัน ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยความระมัดระวังและขึงขัง
ไป๋สี่มือไขว้อยู่ด้านหลัง ยืนอยู่บนชายหาด
ส่วนด้านใต้เท้าของนางก็เป็นชายหาดสีเลือดที่ย้อมไปด้วยเลือดของสัตว์อสูร นางในชุดขาวองอาจพอยืนอยู่ บนหาดสีเลือดก็กลายเป็นโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา ถึงจะ อยู่ไกลออกไปก็สามารถมองเห็นนางได้ถนัดตา
ฟ้าว—!
เสียงแหวกอากาศกระจ่างชัดสายหนึ่งพลันดังเข้ามาจากที่ไกลๆ
ที่เข้ามาสู่สายตาของกลุ่มคนก็เป็น ‘เมฆดำ’ ผืนหนึ่งที่ขยับเข้ามาอย่างรวดเร็วจากท้องฟ้าไกล
ด้านหน้าสุดของ ‘เมฆสีดำ’ ก็มีแสงสีครามจุดหนึ่ง เมฆดำพวกนั้นก็เหมือนกับว่าจะตามแสงสีครามจุดนั้นมา
ในตอนที่เมฆสีดำเข้ามาใกล้ พวกคนที่ยืนอยู่บนเกาะถึงค่อยมองเห็นอย่างชัดเจนว่าจริงๆ แล้วนั้นก็ไม่ใช่เมฆสีดำแต่อย่างไร แต่เป็นอสูรเวหาหลายร้อยตน
และจุดสีครามจุดนั้นก็เป็นนกสีครามที่มีรูปร่างเรียวยาวและสง่างามตัวหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นที่ทำให้กลุ่มคนอดไม่ได้ที่จะฉายแววตาตกตะลึงออกมาก็ไม่ใช่อสูรเวหาพวกนั้น แต่เป็นคนที่อยู่ด้านบนของพวกอสูรเวหา!
คน! เป็นคนจริงๆ ด้วย! เป็นรูปร่างหน้าตาที่มีลักษณ์เฉพาะเหมือนกันกับพวกเขา ไม่ใช่ใบหน้าดุร้ายที่เหมือนกับพวกเผ่าปีศาจทะเลพวกนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวชุดผ้าไหมที่นั่งอยู่บนหลังนกสีครามตัวนั้น ความสูงสง่าและงดงามที่ได้รับมาจากฟ้านั้นก็ราวกับเป็นเทพีที่ลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ โดดเด่นบริสุทธิ์ขาวสะอาดดุจหิมะ
ถึงแม้ว่าจะยังเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด แต่นั้นก็ทำให้พวกเขาสามารถคาดเดาได้อย่างมั่นใจว่านั่นจะต้องโฉมงามที่ยากจะพบในแผ่นดินนางหนึ่ง
สายตาของไป๋สี่ก็ร่วงตกไปที่ด้านบนของนกสีครามเช่นกัน
หญิงในชุดผ้าบนนกสีครามก็ทำให้นางต้องลอบขมวดคิ้วขึ้น
‘ขั้นกักเก็บชั้นกลาง’ แค่สายตาเดียวไป๋สี่ก็มองออกถึงระดับพลังของหญิงชุดผ้านางนั้น
นกสีครามที่หญิงชุดผ้านั่งอยู่ พอมาถึงตัวเกาะก็พลันหยุดลง ทหารร้อยคนด้านหลังของนางก็ล้วนแต่หยุดลง รอคอยอย่างเงียบสงบ
พอเข้ามาใกล้แล้วกลุ่มคนบนเกาะถึงได้เห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
ชั่วขณะนั้น คนที่เห็นโฉมหน้าของนางได้อย่างซัดเจนก็พลันหัวใจกระตุก ลมหายใจติดขัด
นางงดงามมาก งดงามจนทำให้จิตใจของผู้คนต้องสั่นไหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตากระจ่างใสคู่นั้น ก็ราวกับว่าจะสามารถมองทะลุความเสแสร้งทั้งหมดในโลกแห่งนี้ได้ เหมือนกับว่าไม่มีใครสามารถหลอกลวงเจ้าของ นัยน์ตาเช่นนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากันได้ ความงามของนางก็ไม่เหมือนกับไป๋สี่ และก็ไม่เหมือนกับมู่ชิงเกอ
ไป๋สี่นั้นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ที่ดูเย้ายวนชนิดหนึ่ง ส่วนนางนั้นสูงสง่าบริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกถึงความขาวสะอาดที่ไร้มลทิน ส่วนของมู่ชิงเกอน่ะหรือ?
ความสวยของมู่ชิงเกอนั่นคือองอาจดุดันแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามที่สะกดข่มผู้คน
ความงดงามของนางก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้า ทั้งยังเหมือนกับดวงจันทร์ที่ส่องสกาว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใดก็สามารถกลายเป็นโดดเด่นได้อย่างง่ายดาย พอมาอยู่ตรงหน้าก็เหมือนกับว่าหญิงงามทั้งหมดล้วนแต่ต้องกลายเป็นตัวประกอบ
หนึ่งเดียวที่ยังสามารถตั้งตระหง่านประชันหน้ากับนางได้ก็คงมีแค่ซือมั่ว
ทั้งสองคนพออยู่ด้วยกัน กลิ่นไอที่ราวกับว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่กลับหลอมรวมกลมกลืนเข้าหากัน ไม่ได้ทำการสะกดข่มกันและกัน
คนบนเกาะที่ตกตะลึง คนบนฟ้าก็ตกเข้าสู่ความตื่นตระหนกเช่นกัน
แต่ก็ไม่เหมือนกับพวกองครักษ์เขี้ยวมังกร พวกเขาที่ตกใจคือเป็นตอนไหนกันที่ในทะเลแห่งทุกข์มีกองกำลังมนุษย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏขึ้น ลองกะดูซากศพของสัตว์อสูรที่กองอยู่บนริมฝั่ง อย่างน้อยก็ต้องมีหลายพันตัว ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดที่โชยไปในทะเลนั่นอีก แม้แต่พวกเขาก็ยังได้กลิ่น ทำให้ต้องรีบร้อนมาตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น คนพวกนี้จริงๆ แล้วก็ดำเนินการสังหารมายาวนานแค่ไหนกันแน่?
อีกทั้งพลังกดดันบนตัวของพวกเขาก็ราวกับว่าจะไม่ต่างจากพวกตนแม้แต่น้อย!
ความรู้สึกเช่นนี้ก็ทำเอาพวกทหารที่อยู่บนหลังของอสูรเวหาต่างพากันกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หญิงชุดผ้าบนหลังนกสีคราม สีหน้าราบเรียบกวาดมองไปยังซากร่างของสัตว์อสูรพวกนั้น ก่อนจะกวาดมองไปยังพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรบนเกาะรอบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ตกไปยังร่างของไป๋สี่
พอสัมผัสได้ถึงสายตาที่กวาดมองมา ไป๋สี่ก็เผยรอยยิ้มเย็นเยียบที่ดูงดงามออกมาสายหนึ่ง
ในรอยยิ้มก็แฝงเอาไว้ด้วยความดูแคลน
นัยน์ตาของหญิงนางนั้นพลันลอบหดเล็กลงอย่างเงียบเชียบ ‘หญิงผู้นี้แข็งแกร่งมาก!’
พลังกดดันที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของไป๋สี่ก็ทำให้หญิงชุดผ้าคำนวณออกมาได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของนาง
“ข้าชื่อเสวี่ยหยา มาจากเผ่าอี๋” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ หนึ่งนางก็บอกที่มากับชื่อของตนออกไป
เผ่าอี๋!
ในแววตาของไป๋สี่ทอประกายดำมืดขึ้นสายหนึ่ง นางก็เคยได้ยินคำคำนี้จากมู่ชิงเกอ แล้วก็รู้ว่าคำนี้หมายถึงสิ่งใด
มนุษย์จากเผ่าอี๋?
มั่วหยางนิ่งชะงักไป ก่อนจะลอบส่งสัญญาณให้องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เร้นกายอยู่ในเงามืด ฝ่ายหลังรับทราบความนัย เร่งรีบวิ่งไปยังส่วนกลางของเกาะ
เขาก็ไม่ได้ใช้พลังจิต แต่ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด แน่นอนว่าไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกตัว
“ชาวเผ่าอี๋มาที่นี่ทำไม?” มุมปากของไป๋สี่ยกสูงขึ้นน้อยๆ มือทั้งสองกอดอก ทั่วทั้งตัวคนให้ความรู้สึกเกียจคร้านแต่ก็ยังไม่ขาดซึ่งความงดงามทรงเสน่ห์
ท่าทางล่อแหลมอันน่าหลงใหลนี้ก็ยังแผ่กระทบไปยังพวกทหารบนหลังอสูรเวหา ดึงดูดสายตาของพวกเขา
“ตามกลิ่นคาวเลือดมา แม่นางเป็นผู้ใดกัน ทำไมต้องทำการเข่นฆ่าเช่นนี้?” เสวี่ยหยาตอบกลับเสียงเรียบ คำพูดถึงจะกล่าวเช่นนี้ แต่ไป๋สี่ก็สัมผัสไม่ได้ถึงความ
เห็นใจที่มีต่อสัตว์อสูรพวกนี้ในสายตาของนางแม้แต่น้อย
ราวกับว่านางเพียงแค่หาหัวข้อสนทนา พูดออกมาส่งๆ ก็เท่านั้น
ไป๋สี่ยิ้มกล่าวขึ้น “พวกเราเพียงแค่ผ่านทางมาพักผ่อน อยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วันก็เท่านั้น สัตว์อสูรพวกนี้ตาไร้แวว คิดอยากจะกินพวกเราเป็นอาหาร พลังไม่สูงพอ ก็แน่นอนว่าต้องกลายเป็นผีตายอนาถอยู่ที่นี่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”เสวี่ยหยาพยักหน้าขึ้นน้อยๆ
ในนํ้าเสียงของนางก็ฟังไม่ออกถึงความคิดจริงๆ ของนางแต่อย่างใด
ราวกับว่านางทั้งตัวคนกำลังใส่หน้ากากเอาไว้ชั้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ขวางกั้นการจับจ้องค้นหาจากคนทั้งหมด
ไป๋สี่ก็รู้สึกชิงชังท่าทีเช่นนี้มากที่สุด เหมือนกับว่านางกำลังพูดกับรูปปั้นหินก้อนหนึ่ง ราวกับไม่ใช่คนก็ไม่ปาน
ภาพลักษณ์ที่ได้พบกันครั้งแรกเช่นนี้ก็ทำให้นางสูญเสียความรู้สึกเป็นมิตรที่มีต่อเสวี่ยหยาไปแล้ว นางท่าทางเย็นเยียบ เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “ในเมื่อรู้แล้ว มาจากไหนก็กลับไปที่นั่น อย่าได้อยู่ขัดหูขัดตาที่นี่อีก”
“สามหาว—–!”
เสวี่ยหยายังไม่ทันได้เปิดปาก ทหารทั้งร้อยนายที่อยู่ด้านหลังนางก็ร้องคำรามขึ้นพร้อมกัน
เสียงร้องเกรี้ยวกราดนี้ก็ทำให้นัยน์ตาของไป๋สี่ทอแววดำมืด ประกายตาสีม่วงทองในส่วนลึกของแววตาเปล่งประกายกระเพื่อมสั่นไหว
“เงียบ” เสวี่ยหยาพลันยื่นมือออกไปหยุดยั้งความมุทะลุของลูกน้อง
คนร้อยกว่าคนด้านหลังของนางพลันเงียบเสียงลง
นี่ถึงทำให้ประกายแสงในแววตาของไป๋สี่ผ่อนเบาลง
เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากได้พบคนสั่งการที่นี่แล้ว ข้าแน่นอนว่าจะจากไป ขอเชิญแม่นางนำทางด้วย” คำพูดของนางก็ทำให้สีหน้าไป๋สี่กลายเป็นเปลี่ยนสี นัยน์ตาของมั่วหยางก็พลันดำมืดลง
“ข้าก็เป็นคนสั่งการที่นี่” ไป๋สี่เอ่ยขึ้นเสียงขรึม
คำพูดของนางก็ไม่ได้มีนํ้าเสียงโน้มน้าวแม้แต่น้อย เพราะว่านางอยู่ที่นี่ก็มีพลังกล้าแข็งที่สุด แน่นอนว่าสามารถรับหน้าที่สั่งการที่นี่ได้ อีกอย่างมั่วหยางก็ไม่ได้ ทำการโต้แย้งตลอดการพูดคุย เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ นาง ห่างด้านหลังไปก้าวหนึ่ง
คำกล่าวของไป๋สี่กลับทำให้เสวี่ยหยายิ้มขึ้นมาบางๆ “แม่นางไม่ต้องปิดบังข้า ถ้าหากแม่นางเป็นคนสั่งการที่นี่ ทำไมถึงยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นท่าทีราวกับเป็นผู้ปกป้อง? แล้วทำไมในแววตาของพวกเขาที่มีต่อท่านถึงไร้ซึ่งความเคารพและภักดี?”
พอคำพูดจบลง พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ล้วนแต่พากันกำชับอาวุธของตนแน่น
บรรยากาศทันใดนั้นกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
องครักษ์ที่ออกไปส่งข่าวในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าถํ้าที่มู่ชิงเกอเก็บตัวฝึกฝน เขาพอปรากฏตัว หยินเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกถํ้าก็เปิดนัยน์ตาสีเลือดออกมา “เกิดอะไรขึ้น?” หยินเฉินเปิดปากถาม
องครักษ์เขี้ยวมังกรเอ่ยขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม “คนของเผ่าอี๋มาที่นี่”
เผ่าอี๋!
หยินเฉินนัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง
ในตอนที่กำลังไตร่ตรองว่าจะเข้าไปขัดจังหวะมู่ชิงเกอด้วยเหตุนี้ดีหรือไม่ มู่ชิงเกอที่อยู่ในชุดสีแดง ใบหน้างดงาม ท่าทางสุขุมองอาจ ดูน่าเกรงขามก็เดินออกมาจากด้านในถํ้า
พอเห็นนาง ในแววตาขององครักษ์เขี้ยวก็ทอแววเคารพ อันหาใดเปรียบมิได้ออกมา ชันเข่าข้างหนึ่งลงไปทำความเคารพ “คุณชาย!”
“ลุกขึ้นเถอะ” มู่ชิงเกอเพียงแค่ตอบรับสบายๆ เสียงหนึ่ง แต่กลิ่นไอสูงศักดิ์องอาจนั่นก็ยังแฝงสะท้อนออกมารางๆ
มู่ชิงเกอพอออกมาจากการฝึกฝน หยินเฉินก็พลันลุกยืนขึ้นตาม เดินไปอยู่ด้านหลังของนางอย่างรู้หน้าที่
“เจ้าเมื่อครู่บอกว่าใครมานะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
พอพูดถึงเรื่องสำคัญ องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เปลี่ยนเป็นมีท่าทีจริงจังขึ้นมา “เป็นคนจากเผ่าอี๋ มาทั้งหมดร้อยคน มีสตรีนางหนึ่งนำทัพมา สตรีนางนั้นชื่อว่าเสวี่ยหยา”
“เสวี่ยหยา?” มู่ชิงเกอพึมพำชื่อนั้นขึ้นเสียงเบา นัยน์ตาทั้งสองข้างค่อยๆ หรี่เล็กลง
เสวี่ยหยาชื่อนี้นางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหู จากปากของทาลิซ่าก็ไม่รู้ว่าได้ยินมามากเท่าไรแล้ว
ทาลิซ่ากับเสวี่ยหยาก็เหมือนกับจะมีความแค้นต่อกัน ทั้งยังเคยบอกให้มู่ชิงเกอแก้แค้นแทนนาง สั่งสอนเสวี่ยหยา และแน่นอน มู่ชิงเกอก็ไม่ตบปากรับคำกับเรื่อง ที่ไร้สาระเช่นนั้น
แต่ว่านางนั้นก็รู้สึกสนใจกับสถานะของเสวี่ยหยาอยู่ไม่น้อย
องคหญิงของเผ่าอี๋ ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งขุนศึกทิศใต้ของเผ่าอี๋ ชื่อเสียงและอำนาจ นางล้วนแต่มีทั้งหมด สามารถกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลเพียงหนึ่งเดียวใน ทะเลแห่งทุกข์ผืนนี้ที่ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าทั้งหมดมาไว้ในตัวคนคนเดียว
“ไปเถอะ ลองไปดูเสียหน่อย” มู่ชิงเกอลูบๆ คาง ก้าวเท้าเดินออกไป
ทั้งสามคนเดินไปทางชายฝั่งของตัวเกาะ
และในตอนนี้เองที่ริมชายฝั่ง การเผชิญหน้าของคนทั้งสองกลุ่มก็ได้ตกเข้าสู่ความตึงเครียดแล้ว
เสวี่ยหยาที่มองสายตาเดียวก็เห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง นี่ก็ทำให้ไป๋สี่ไม่ชอบใจนัก แล้วก็ทำให้มั่วหยางกลายเป็นเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
กลุ่มอำนาจของทะเลแห่งทุกข์ก็ไม่ได้ต้อยไปกว่าหลินชวน
เขาก็จะต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ไม่อาจสร้างปัญหาได้
“เสวี่ยหยาเพียงแค่อยากจะพบกับคนสั่งการสักครู่เดียวเพียงเท่านั้น นี่มีอะไรยากงั้นหรือ?” เสวี่ยหยาค่อยๆ เปิดปากขึ้น นํ้าเสียงเอื่อยเฉื่อยราวกับเมฆหมอกของนางก็ราวกับว่าจะคลายความตึงเครียดตรงหน้าไปได้ส่วนหนึ่ง
ไป๋สี่ยิ้มเย็นขึ้น เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาก็พอแล้ว คนสั่งการของพวกเรา เจ้าบอกจะพบก็พบได้งั้นรึ” ในเมื่อถูกมองออกแล้วไป๋สี่ก็คร้านที่เสแสร้งอีกต่อไป
เสวี่ยหยากลับยิ้มออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ “ที่นี่ก็นับว่าเป็นเขตแดนของเผ่าอี๋ของพวกเรา มีแขกมาเยือน เจ้าบ้านออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แขกจะปิดประตูไม่พบ หน้าได้อย่างไร?”
คำพูดก็ฟังดูดีนัก แต่ทำไมพอฟังเข้าไปแล้วกลับรู้สึกแปลกๆ กัน?
ในนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยคำกล่าวที่แอบซ่อนไว้ด้วยการเสียดสี ราวกับจะเปิดเผยออกมาว่าเสวี่ยหยาจริงๆ แล้ว ก็ไม่ใช่หญิงขาวสะอาดบริสุทธิ์เช่นที่เห็น ไป๋สี่สบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง ตวาดขึ้นเสียงดัง “ไสหัวไป! ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นเผ่าอี๋หรือเผ่าอะไร ถ้าหากยังมาวุ่นวายต่ออีก ข้าก็จะสังหารเจ้า”
เคร้ง เคร้ง เคร้ง—–!
เสียงอาวุธออกจากฝักพลันดังขึ้นมาจากด้านหลังของเสวี่ยหยา
ชัดเจนว่าการข่มขู่ของไป๋สี่ก็ได้กระตุ้นโทสะของคนจากเผ่าอี๋แล้ว
คนของเผ่าอี๋ล้วนแต่ชักอาวุธแล้ว องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ต่างพากันดึงอาวุธของตนออกมา กลายเป็นสภาพการณ์ที่พร้อมเปิดศึกกับคนของเผ่าอี๋ที่อยู่บนฟ้า
“หยุดมือให้หมด” เสวี่ยหยาเปิดปากขึ้น ขัดขวางไม่ให้เกิดการปะทะขึ้นอีกครั้ง
และในตอนที่เสวี่ยหยาเปิดปาก เสียงเย็นยะเยือกสายหนึ่งก็พลันสะท้อนมาจาก ด้านในตัวเกาะ “เก็บอาวุธไปให้ข้าเดี๋ยวนี้”
เสียงๆนี้พอสะท้อนออกมา เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ลังเล ต่างพากันเก็บอาวุธของตน แม้แต่ไป๋สี่ก็ยังดึงไอพลังของตนกลับ หันหลังกลับไปมองด้านหลัง
นัยน์ตาของเสวี่ยหยาเปล่งแสงวาววับขึ้นรางๆ คนยังไม่มาถึง คำพูดประโยคเดียวก็ดูดุดันน่าเกรงขามได้ถึงขนาดนี้ ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กล้าขัดขืน ผลลัพธ์เช่นนี้ จะต้องไม่ใช่แค่สัมพันธ์เจ้านายลูกน้องถึงจะมีได้
‘ดูท่า ความรู้สึกที่คนพวกนี้มีต่อผู้สั่งการก็จะเป็นความเคารพรักและเชื่อฟังที่ออกมาจากใจจริง’ เสวี่ยหยานัยน์ตาราบเรียบ คิดอ่านขึ้นในใจ
“เก็บดาบลงเสีย” เสวี่ยหยาสั่งการเสียงเบาออกมาประโยคหนึ่ง
นี่ก็เป็นคำสั่งของนางครั้งที่สอง พวกทหารร้อยคนด้านหลังของนางถึงจะยอมเก็บอาวุธลงด้วยท่าทางไม่ยินยอม
คำสั่งเช่นเดียวกัน สองฝ่ายที่อยู่คนละฝั่งกันก็สามารถแบ่งแยกสูงตํ่าได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเองในใจของเสวี่ยหยาก็ไหลแล่นขึ้นด้วยความวาดหวังรอคอยสายหนึ่ง
อยากจะรอดูว่าเป็นคนเช่นไรที่สามารถทำให้เหล่าคนที่มีพละกำลังไม่ด้อย ไอพลังดุดันพวกนี้ยอมก้มหัวเชื่อฟังได้
นางมองไปยังทิศทางที่เสียงสะท้อนดังเข้ามา ในตอนนั้นเองสีแดงสะดุดตาสายหนึ่งก็ปรากฏเข้าสู่สายตานาง เข้าไปในนัยน์ตาที่กระจ่างสดใสคู่นั้นของตน
“คุณชาย—–!”
มู่ชิงเกอพอปรากฎกายออกมา บนชายหาดนอกจากไป๋สี่แล้วคนทั้งหมดก็พลันชันเข่าลงไป ก้มหัวของตัวเองลง เสียงเรียกเสียงดังและพร้อมเพรียงกันก็ไม่ด้อยไปกว่าคนร้อยคนของเผ่าอี๋เมื่อครู่แม้แต่น้อย
ไปจนถึงขั้นที่เสียงและความองอาจเมื่อครู่ของเผ่าอี๋พอเปรียบกับองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นอันใด
พวกเขาในใจก็เกิดเป็นความไม่ยินยอมขึ้นมารางๆ!
“ลุกขึ้นเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยนํ้าเสียงสบายๆ ประโยคหนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางไป๋สี่
“ชิงเกอ เจ้าออกจากการเก็บตัวแล้ว?” ความหยิ่งทะนงบนตัวของไป๋สี่พลันสลายหายไป เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับหันมองไปทางมู่ชิงเกอ ก่อนจะคล้องแขนไป ที่แขนของนางอย่างสนิทสนม
มู่ชิงเกอตอบรับ อืม ขึ้นเสียงหนึ่ง เงยหน้ามองไปทางเสวี่ยหยาที่อยู่บนหลังนกสีคราม ทั้งยังมีทหารเผ่าอี๋ร้อยคนด้านหลังนาง
เสวี่ยหยาเอาแต่จับจ้องมองดูมู่ชิงเกอตั้งแต่ที่นางปรากฏตัวออกมา อารมณ์ความรู้สึกเกิดการสั่นไหว
อยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ นางก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเหมือนกับจะกลายเป็นจืดจางลงไป พลังกดดันถูกสะกดข่ม ความรู้สึกเช่นนี้ก็ราวกับอยู่ๆ จะเกิดขึ้นมาเอง คล้ายกับไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ไม่อาจฝืนต้านได้
‘ในใต้หล้าถึงกับมีบุรุษที่องอาจและงดงามถึงเพียงนี้?’
เสวี่ยหยาตกตะลึงขึ้นในใจ ความองอาจบนตัวของมู่ชิงเกอสายนั้นก็ไม่ได้ดูหยิ่งยโส หรือว่าถือตน แต่เหมือนกับเป็นเปลวเพลิงโชติช่วงที่ไม่ยอมสยบให้แก่ฟ้า เป็นข้าที่เป็นใหญ่เพียงผู้เดียว
ความกดดันนี้ก็ถือเป็นพลังที่มีตั้งแต่กำเนิดของเหล่าราชันย์ สามารถสะกดข่มผู้คน เหมือนกับว่าในจิตวิญญาณส่วนลึกของเสวี่ยหยากำลังสั่นไหวก็ไม่ปาน
ส่วนทหารเผ่าอี๋ร้อยคนที่อยู่ด้านหลังนางก็ล้วนแต่พากันลมหายใจขาดช่วงตั้งแต่ตอนที่มู่ชิงเกอปรากฎตัวออกมาแล้ว
อยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอ ความโดดเด่นของพวกเขาก็เหมือน
กับจะมลายหายไปสิ้น เปลี่ยนเป็นตํ่าต้อยลง พลังกดดันของนางก็ก้าวลํ้าโฉมหน้าอันงดงามของตัวนางเองไปมาก
หลังจากที่เจ้าถูกสยบอยู่ใต้พลังกดดันของเขาแล้วก็ถึงจะค่อยรู้สึกได้ว่า เขานั้นไม่เพียงมีพลังกดดันอันน่าตกตะลึง ก็แม้แต่โฉมหน้าของเขาก็ยังงดงามจนผู้คนต้อง หยุดหายใจ
พวกเขาที่ดูชมความงดงามในแบบขาวสะอาดของเสวี่ยหยามาจนชินแล้ว แต่อยู่ๆ พอมาได้เห็นถึงความงดงามอันลึกลํ้าของมู่ชิงเกอ ก็สัมผัสได้ว่าประสาทการมอง เห็นของพวกตนถูกส่องกระทบเข้าอย่างรุนแรง
“องค์หญิงเผ่าอี๋ เสวี่ยหยา” มู่ชิงเกอมองไปทางเสวี่ยหยาด้วยแววตาราบเรียบสายตาหนึ่ง ไม่มีความตื่นตะลึง และก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใด
“เจ้ารู้จักข้า?” คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้เสวี่ยหยารู้สึกประหลาดใจ
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ “ไม่รู้จัก เพียงแต่เคยได้มาจากปากของทาลิซ่า”
มู่ชิงเกอเอ่ยเล่าออกไปตามความจริง นี่ก็ทำเอาเสวี่ยหยายิ้มขึ้นน้อยๆ “ที่แท้ก็เป็นนาง ดูท่าพวกเจ้าคงเพิ่งมาจากน่านนํ้าของเผ่าปีศาจทะเล”
เช่นเดียวกัน เสวี่ยหยาก็สามารถจับใจความบางอย่างได้จากคำพูดของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดปิดบัง พยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ผิด เพิ่งจะข้ามผ่านน่านนํ้าของเผ่าปีศาจทะเลมาได้ไม่นาน กำลังคิดว่าจะข้ามผ่านน่านนํ้าของเผ่าอี๋ไป มุ่งหน้าไปยังโลกแห่งยุคกลาง ไม่ทราบว่าองค์หญิงเสวี่ยหยา สามารถอำนวยความสะดวกให้ได้หรือไม่”
กล่าวขอใช้เส้นทางออกไปตรงๆ
การตรงไปตรงมาของมู่ชิงเกอก็ให้รอยยิ้มที่มุมปากของเสวี่ยหยากลายเป็นเด่นชัดขึ้น “สามารถข้ามผ่านน่านนํ้าของเผ่าปีศาจทะเลมาได้ ดูท่าพวกท่านก็คงจะมี ความสามารถไม่ธรรมดา แต่ในเมื่อท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าอี๋มาบ้าง ก็น่าจะรู้ว่าพวกเรานั้นไม่ชอบคนนอก ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เหมือนกับพวกเผ่าปีศาจทะเลพวกนั้นที่ป่าเถื่อนไม่สนเหตุผล เห็นคนก็ฆ่า แต่การขอใช้เส้นทางนี้…”
นางไม่ได้พูดจนจบ เพียงแต่ส่ายหน้าพร้อมยิ้มบางๆ ขึ้น
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด เพียงแค่ยิ้มกล่าวขึ้น “ก็เพียงแค่ขอใช้เส้นทางเท่านั้น ไม่มีทางไปรบกวนเผ่าอี๋ของพวกท่านแต่อย่างใด ทำไมจะต้องเข้มงวดถึงขนาดนั้นด้วยเล่า?”
คำพูดของนางก็ให้เสวี่ยหยาต้องเก็บรอยยิ้มกลับ เอ่ยถามขึ้น “ดูท่า ฝั่งท่านคงคิดว่าหากขอใช้เส้นทางไม่ได้ก็จะบุกเข้ามาตรงๆ?”
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางๆ “องคหญิงเสวี่ยหยาจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”
เสวี่ยหยานิ่งชะงักไป ก่อนที่อยู่ๆ จะหัวเราะเสียงเบาขึ้น
ราวกับว่านางกำลังหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของมู่ชิงเกอ หัวเราะให้กับความไม่รู้ของนาง หัวเราะให้กับความมุทะลุของนาง
พอหยุดหัวเราะ นางก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านมีคนเท่าไร? แล้วรู้หรือไม่ว่าเผ่าอี๋ของข้ามีคนเท่าไร? บุกเข้ามา ท่านคิดว่าจะบุกได้รึ? อย่าได้คิดว่าข้าดูถูกท่าน แต่นี่ก็เป็น เพียงแค่ความจริงเท่านั้น”
ในนํ้าเสียงของนาง ก็ไม่ได้แฝงไว้ซึ่งนํ้าเสียงถากถางหรือข่มขู่แต่อย่างใด ก็เหมือนกับที่นางพูด นางเพียงกล่าวไปตามความจริง
มู่ชิงเกอเบ้มุมปาก ไม่ได้กล่าววาจา
ไป๋สี่เอนไปกระซิบที่ข้างหูของนาง “หญิงนางนี้ข้าเห็นแล้วขัดตานัก กินนางได้หรือไม่”
มู่ชิงเกอจ้องเขม็งไปทางนางสายตาหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ไม่กี่วันมานี้ยังกินไม่อิ่มหรือไง?”
ไป๋สี่กลอกตาขาว ไม่กล่าววาจาอีก
“ข้าขอแนะนำให้ท่านกลับไปทางเดิม หรือไม่ก็เดินทางอ้อมไป พวกเราเผ่าอี๋คงไม่สามารถให้ใช้เส้นทางได้ และก็ไม่คิดอยากไปยุ่งเกี่ยวกับคนจากภายนอก วันนี้ข้าก็มาเพียงเพื่อหาต้นตอของกลิ่นคาวเลือด ภารกิจถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับ ถ้าหากท่านไม่ฟังคำแนะนำ ยังคงฝืนบุกเข้ามา เช่นนั้นพอถึงตอนนั้นท่านกับข้าก็คงต้องใช้ทหารเข้าพูดคุยแล้ว” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ
“ขอบคุณองค์หญิงเสวี่ยหยาที่กล่าวเตือน” มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางๆ
ท่าทีของนางก็ทำให้เสวี่ยหยามองไม่ออก เดาไม่ออกว่าประโยคนี้ของนางหมายความว่ายังไง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางพบคนที่ตนคาดเดาไม่ออก จนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
“พวกเรากลับ” เสวี่ยหยาหันไปเอ่ยสั่งการกับพวกทหารของเผ่าอี๋
“องค์หญิงเสวี่ยหยา พวกเราก็จะไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” ทหารนายหนึ่งที่อยู่ใกล้กับนางเอ่ยขึ้นท่าทางไม่ยินยอม
เสวี่ยหยามองไปทางเขาสายตาหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองมู่ชิงเกอ รอยยิ้มบางๆ บนหน้าของเขาก็เหมือนกับจะเขียนเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘เดินทางระมัดระวังนะ ไม่ส่ง’
ดึงสายตากลับ เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นเสียงกดตํ่า “พวกเขาไม่ธรรมดา คนของพวกเราพวกนี้ไม่ใช่คู่มือ” ตามกฎของเผ่าอี๋ หากพบเจอคนนอก ก็จะต้องไล่ออกไปทันที
แต่สำหรับตอนนี้แล้ว พวกเขาก็ชัดเจนว่ายากจะต่อกรด้วย เช่นนั้นก็ทำได้เพียงใช้มารยาทก่อนทหารทีหลัง
ทหารที่กล่าววาจา มองๆ ไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคนที่พลังไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา
อีกทั้งในด้านของจำนวนก็ยังชัดเจนว่าห่างชั้นกันอย่างชัดเจน ชัดเจนว่าไม่อาจใช้กำลังขับไล่ออกไปได้
เก็บความไม่ยินยอมไว้ในส่วนลึกของจิตใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงฟังคำสั่งของเสวี่ยหยาแล้วจากไป
แต่ทันใดนั้น ในตอนที่พวกเขากำลังจะถอยกลับไป ผืนทะเลด้านหน้าอยู่ๆ ก็กระเพื่อมสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นคลื่นยักษ์สูงหลายร้อยจั้ง พุ่งตรงมายังตัวเกาะอย่างรวดเร็ว
นกสีครามที่เสวี่ยหยานั่งอยู่อยู่ๆ ก็ร้องเสียงตระหนกขึ้นมาเสียงหนึ่ง พุ่งตกลงไปที่ผิวทะเลด้านล่าง
เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำเอาตัวของเสวี่ยหยาเอียงตกลงจากหลังนกสีคราม
ไม่เพียงแค่นาง ทหารเผ่าอี๋ร้อยนายที่ขี่อยู่บนหลังอสูรเวหาก็พากันร่วงตกลงมาเช่นกัน อสูรเวหาใต้ตัวของพวกเขาก็ไม่ได้โชคดีเท่ากับนกสีครามเท่าไรนัก ใน ระหว่างที่ร่วงตกลงจากฟากฟ้าก็ระเบิดออกกลายเป็นเศษเนื้อก้อนหนึ่ง
ก็ในตอนที่เสวี่ยหยากำลังจะร่วงตกลงไปในนํ้า มู่ชิงเกอก็พลันสั่งการออกมาประโยคหนึ่ง “ช่วยคน”
เสียงเพิ่งจะจบลง นางก็พลันพุ่งทะยานออกไป กระโดดขึ้นไปบนอากาศ พุ่งเข้าไปรับตัวของเสวี่ยหยาเอาไว้ เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ต่างพากันออกตัว พุ่งเข้าไปรับตัวทหารของเผ่าอี๋ก่อนที่พวกเขาจะตกลงไปในนํ้า พาพวกเขาขึ้นมาบนฝั่ง
เสวี่ยหยาก็สัมผัสได้เพียงว่าเอวของตนถูกสัมผัส ก่อนจะถูกดึงเข้าไปในอกที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมน่าหลงใหล
นางเงยหน้ามองไป ก่อนจะค้นพบว่าตนกลับถูกมู่ชิงเกออุ้มไว้ในอก
แววตากระจ่างของมู่ชิงเกอกวาดมองมาบนใบหน้าของนาง ไม่ได้หยุดชะงัก และก็ไม่ได้แสดงท่าทางเกินเลยอันใดหลังจากที่ช่วยนาง
เสวี่ยหยานิ่งงัน พออยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่หน้าตางดงาม และหล่อเหลาเช่นนี้ นางก็ราวกับรู้สึกว่ารูปโฉมของตนกลายเป็นธรรมดาจืดชืดไปในทันที
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางขบคิดปัญหานี้ได้อย่างกระจ่างชัด นางก็ผละออกมาจากอกของมู่ชิงเกอเสียก่อน ยืนอยู่บนชายฝั่ง
เพิ่งจะยืนทรงตัวได้ไม่ทันไร ไป๋สี่ก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างสองคน กั้นทั้งสองคนออกจากกัน
“เสี่ยวชิง!” เสวี่ยหยามองไปยังนกสีครามที่ตกลงไปในทะเลที่ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรช่วยขึ้นมา ขนทั่วร่างถูกนํ้าทะเลจนเปียก ท่าทางยํ่าแย่ ไร้ซึ่งความสง่างาม เหมือนตอนก่อนหน้า ก็อดไม่ได้ที่ร่องเรียกออกมาเสียงหนึ่ง
ทหารเผ่าอี๋คนอื่นๆ ก็ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรพาตัวขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามพาหนะของพวกเขาก็ได้ตกตายไปจนหมดแล้ว
“คลื่นยักษ์นั่นมีปัญหา” มู่ชิงเกอมองไปยังคลื่นยักษ์ที่เข้ามาใกล้เกาะแห่งนี้เรื่อยๆ เอ่ยขึ้นเสียงขรึม
ไป๋สี่ก็เอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ “พลังกดดันก็ไม่อาจต่อกรได้”
“จะต้องเป็นสัตว์อสูรขั้นกักเก็บชั้นสูงสุดที่อยู่ในทะเลลึก เป็นกลิ่นเลือดที่ดึงดูดมันมา!” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์อสูรชั้นกักเก็บระดับสูงสุด!
ข่าวนี้ช่างเลวร้ายนัก!
มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม ขบริมฝีปากไม่กล่าววาจา ถ้าหากไม่ขัดขวางก็เกรงว่าพลังกดดันที่น่าหวาดหวั่นนี้ก็คงบดทำลายตัวเกาะพร้อมกับพวกนางจนกลายเป็น เศษผงเป็นแน่
แต่ว่า หากจะทำการขัดขวางจะต้องขัดขวางอย่างไร? สัตว์อสูรขั้นกักเก็บชั้นสูงสุดจะสังหารยังไง?
“ถอยก่อน” ในตอนที่ยังคิดหาวิธีรับมือปัญหาตึงมือข้อนี้ไม่ได้ มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงสั่งให้ล่าถอยเท่านั้น
กลุ่มคนไม่ลังเล ใครก็ไม่อยากรั้งอยู่นานภายใต้พลังที่ดุดันเช่นนี้
คนของมู่ชิงเกอ คนของเสวี่ยหยา พากันร่วมกลุ่มเข้าด้วยกัน ก่อนจะพุ่งไปยังตัวเกาะด้านใน
แต่ว่าในตอนที่พวกเขาเข้าไปได้ระยะหนึ่งแล้ว กลับค้นพบทั่วทั้งตัวเกาะก็เหมือนกับถูกพลังกดดันอันน่าหวาดหวั่นสายนั้นเข้าปกคลุมก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะไปที่ไหนที่ ก็ไม่อาจหนีพ้นไปได้
กลุ่มคนก็หยุดอยู่ตรงที่ว่างแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้ก็ยังสามารถมองเห็นสภาพการณ์ในท้องทะเลได้เช่นเดิม
“ไม่มีทางถอยแล้ว” เสวี่ยหยากัดฟันเอ่ยขึ้น สีหน้าราบเรียบของนางในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กังวล ร้อนรน เคร่งเครียด อารมณ์ต่างๆ ที่มนุษย์มีล้วนแต่ ปรากฏขึ้นบนหน้านาง
“หึ! ก็เป็นเพราะพวกเจ้าที่มาฆ่าล้างพวกสัตว์อสูรอยู่ที่นี่ เลยดึงดูดสัตว์อสูรตัวนี้มา!” ในระหว่างที่กำลังตกอยู่ในความกลัว ทหารเผ่าอี๋นายหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงชิงชัง
พวกเขาถูกคนนอกกลุ่มนี้ทำให้ต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้” เสวี่ยหยาเอ่ยสั่งขึ้น
นางก็มองออกถึงสภาพการณ์ในตอนนี้มากกว่าเผ่าอี๋คนอื่นๆ
ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อว่ากันเอง เผชิญหน้ากับศัตรูที่กล้าแข็งเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงช่วยเหลือร่วมมือกัน ถึงจะสามารถมีโอกาสรอดได้ หากไม่ทำเช่นนั้นไม่ว่า ใครก็จะต้องตกตายอยู่ที่นี่
“เฮอะ น่าขันนัก สัตว์อสูรมาแล้ว พวกเราไม่ฆ่า แต่ให้รอถูกมันฆ่ารึไง? อีกอย่าง ก็ไม่มีใครเชิญพวกเจ้ามาที่นี่ เป็นพวกเจ้าที่มาที่นี่เอง ที่นี่ไม่ใช่เขตทะเลของพวกเจ้าเผ่าอี๋หรอกรึ? ทำไมไม่ไปไล่สัตว์อสูรตนนั้นเล่า?” ไป๋สี่กล่าวย้อนขึ้นมาประโยคหนึ่ง
คำพูดประโยคนี้ก็ทำเอาพวกทหารเผ่าอี๋กลายเป็นอ้ำอึ้ง พูดไม่ออก
เสวี่ยหยามองไปทางมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นนํ้าเสียงจริงจัง “ข้าคิดว่าพวกเราตอนนี้จำเป็นต้องร่วมมือกัน”
มู่ชิงเกอหันหน้ามองไปทางนาง นัยน์ตาไหววูบเล็กน้อย ไป๋สี่บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจประโยคหนึ่ง “ก่อนหน้าขอใช้ทางยังพูดจาดัดรอนเยื่อใยเป็นจริงเป็นจัง ตอนนี้พบความลำบากเข้า ก็คิดมาขอความร่วมมือแล้วรึ?”
คำพูดนี้ของนางเข้าไปในหูของเสวี่ยหยาอย่างไม่ตกหล่น
มู่ชิงเกอแน่นอนว่าได้ยิน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
นางเอ่ยขึ้นในใจ การร่วมมือนั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว
แต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวางการระบายความขุ่นเคืองในใจของไป๋สี่
“ถ้าหากสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ เห็นแก่ที่ร่วมมือกัน
ข้าก็ขอรับรองว่าจะขอร้องให้เสด็จพ่อยอมให้พวกเจ้าใช้เส้นทางผ่านไปได้” เสวี่ยหยาให้คำมั่นออกมา
นางพอตอบกลับเช่นนี้ก็ทำเอาไป๋สี่นิ่งชะงักไป
มู่ชิงเกอก็รู้สึกชื่นชมขึ้นมาหลายส่วน
อย่างน้อย สตรีตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่พวกหยิ่งทะนงที่ไร้สมอง นางก็รู้ถึงสภาพการณ์ในเวลานี้อย่างชัดเจน เพื่อที่จะรักษาความเป็นหนึ่งเดียวในการร่วมมือกันให้ได้สูงที่สุด ก็สามารถเอ่ยคำมั่นที่ชัดเจนออกมาได้อย่างเด็ดขาดไม่ลังเล
อีกทั้งนางก็ไม่ได้เอาคำพูดพูดเสียจนถอนกลับไม่ได้ เพียงแค่สัญญาว่าจะมอบโอกาสให้หนึ่งครั้ง ถ้าหากอ๋องของเผ่าอี๋ยังยืนยันที่จะไม่ให้ใช้เส้นทาง นางก็ไม่ถือว่ากลืนคำพูดของตัวเอง
คนฉลาด แต่ไหนแต่ไรมาก็จะได้รับการยอมรับนับน่าถือตาจากผู้คน
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นสายหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปทางเสวี่ยหยา “ยินดีที่ได้ร่วมมือ”
เสวี่ยหยายังคงมองไปที่มือข้างนั้นที่นางยื่นออกมาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจความต้องการของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นแย้มยิ้ม จับมือไปที่มือของเสวี่ยหยาตรงๆ ในตอนที่นางตกใจจะดึงมือกลับ มืออยู่ๆ ก็ถูกปล่อย
เสวี่ยหยาถูกการกระทำของนางทำเอานิ่งชะงักไป แต่พอไม่เห็นแววตาเกินเลยในแววตาของนาง นั่นก็ถึงได้โยนเรื่องนี้ไปไว้อีกด้านชั่วคราว
ความร่วมมือพอตกลงสำเร็จ ต่อมาก็เป็นการจัดการปัญหาตรงหน้า!
มู่ชิงเกอมองไปทางคลื่นยักษ์พลางเอ่ยถามขึ้น “จริงๆ แล้วเป็นสัตว์อสูรชนิดใดกัน ถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้?”
เสียงของนางเพิ่งจะตกลง กลุ่มคนก็เห็นว่าบนยอดของคลื่นยักษ์ที่ยกสูงขึ้นมา อยู่ๆ ก็ปรากฏหมู่เมฆสีดำมืดขึ้นมาผืนหนึ่ง
กลุ่มเมฆมืดครึ้มนั้นก็บดบังแสงอาทิตย์เจิดจ้าเอาไว้ หลังจากปรากฏออกมาก็เหมือนกับว่าจะบดบังท้องนภาไปเกือบครึ่ง
มันลอยอยู่บนผิวนํ้า เคลื่อนที่เข้ามาพร้อมกับคลื่นยักษ์ พุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมันออกมา!
“เป็นมัน!” อยู่ๆ หูของมู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงสะท้อนตกใจขึ้นเสียงหนึ่ง
นางหันหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเสวี่ยหยาที่หน้าเปลี่ยนสีไป
“เจ้ารู้จัก?” มู่ชิงเกอแววตาหรี่เล็กลง เอ่ยถามขึ้น
เสวี่ยหยาพยักหน้า ตอนนี้ก็ไม่เพียงแค่นาง แม้แต่ทหารของเผ่าอี๋คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่พากันสีหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมา
“อสูรตนนี้ก็ถึงจะเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงในเขตทะเลแห่งนี้! พวกเราจบสิ้นแล้ว!” ในแววตาของเสวี่ยปรากฏความสิ้นหวังออกมา ราวกับหลังจากเห็นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรตนนี้แล้ว ก็ราวกับจะสูญเสียจิตใจในการต่อสู้ ไป
คำพูดประโยคนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน
ตอนนั้นเอง ไป๋สี่ที่อยู่ด้านข้างก็พลันกล่าวขึ้น “ทีนี้ก็คงเป็นปัญหาใหญ่แน่ มันก็ไม่ใช่อสูรชั้นกักเก็บอันใด แต่เป็นอสูรร้ายบรรพกาล…ฉวีอวี้”
“ฉวีอวี้?” มู่ชิงเกอก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก
นางก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ฉวีอวี้’ คำนี้ แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าอสูรร้ายบรรพกาลคือตัวอะไร
นางเพียงแค่รู้ว่าไป๋สี่อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบตนนี้ ก็เป็นสัตว์มหาเทพที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ส่วนสายเลือดของหยินเฉินนั้นก็เหมือนกับจะไม่ใช่แค่สายเลือดของสัตว์เทพธรรมดาๆ
“ฉวีอวี้ ตามตำนานก็เล่าขานกันว่าเป็นอสูรร้ายที่มีอายุไขเท่ากันกับการกำเนิดของฟ้าดิน มันชอบจำศีล ทุกครั้งที่จำศีลก็จะใช้เวลาพันปี ระหว่างการจำศีลในแต่ละครั้งก็จะมีระยะเวลาห่างกันสามเดือน อย่างไรก็ตาม ในสามเดือนนี้ มันก็จะกลายเป็นภัยพิบัติของทุกเผ่าพันธุ์” เสวี่ยหยาเอ่ยเสียงพึมพำ ทุกครั้งที่พูดออกมาประโยคหนึ่ง สีหน้าของนางก็จะซีดขาวลงไปส่วนหนึ่ง
ไป๋สี่กวาดมองไปทางนางสายตาหนึ่ง มองไปทางมู่ชิงเกอพร้อมกับยิ้มหยันเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ เจ้าคิดว่าข้ากินเก่ง แต่ว่าปริมาณอาหารของข้าก็ไม่ได้ถึงหนึ่งในสิบของฉวีอวี้ สามารถกล่าวได้ว่า ที่มันตื่นขึ้นมาก็เพราะเรื่องเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือกิน ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มันสัมผัสได้ก็ล้วนแต่ต้องถูกกลืนลงท้องของมันไปจนหมด ทุกครั้งที่ฉวีอวี้ตื่นขึ้นมา ก็ล้วนแต่มีซากศพนอนกองเป็นหมื่นลี้ สัตว์อสูรดับสูญ เมืองรกร้างผู้คนถูกกลืนกิน ดังนั้น มันถึงได้ถูกเรียกว่าเป็นอสูรร้าย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ฆ่ามัน” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเสียงขรึม
ในคำบอกเล่าของไป๋สี่กับเสวี่ยหยา นางก็เหมือนกับจะรู้สึกได้ว่าฉวีอวี้นั้นยากจะต่อกรด้วย
“ฆ่า?” ไป๋สี่ยิ้มเย็น “พูดเสียง่ายดาย? ฉวีอวี้ไม่เพียงสามารถซ่อนเร้นอยู่ในก้นทะเล มันยังสามารถควบคุมสายลม ไม่ว่าจะเป็นก้นทะเลหรือว่าบนท้องฟ้าก็ล้วนแต่ถือเป็นสนามรบของมัน ผิวของมันในใต้หล้านี้ก็มีเพียงของชิ้นเดียวที่สามารถฟันแทงมันได้ การโจมตีอื่นๆ นอกจากนั้นล้วนแต่ไม่เป็นผล”
“มันคืออะไร?” สีหน้าของมู่ชิงเกอเริ่มที่จะกลายเป็นไม่น่าดูขึ้นมา
ไป๋สี่แววตาเยียบเย็นขึ้น เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นมาจากวัสดุพิเศษที่ชื่อว่าแร่สะเก็ดดาว ในตำนานบอกไว้ว่าแร่ชนิดนี้มีความแวววาวดุจเหล็ก และมีสีดำคล้ายถ่าน แต่ว่ามันกลับแข็งแกร่งทนทานเป็นอย่างมาก สามารถทะลวงการป้องกันของกายเนื้อที่มีทั้งหมดในใต้หล้านี้ได้”
“แร่สะเก็ดดาว?” มู่ชิงเกอแววตาไหววูบขึ้นหลายสาย ทำไมนางถึงรู้สึกว่าคำอธิบายของไป๋สี่ ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก?
“ฉวีอวี๋ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาก็จะตื่นระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามเดือน ทั้งตัวมันเองก็ยังแข็งแกร่งหาใดเปรียบ คนที่อยากฆ่ามันก็มีไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ล้วนแต่ ต้องตกตายอยู่ในท้องของมัน” เสวี่ยหยาเม้มริมฝีปาก พลางเอ่ยขึ้น
“ข้าก็เคยได้ยินพวกผู้เฒ่าพูดเอาไว้ว่าฉวีอวี้จำศีลอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ ทั้งยังกล่าวเตือนคนในเผ่าว่า ถ้าหากฉวีอวี้ตื่นขึ้นมาก็ให้รีบปิดการเข้าออกของตัวเกาะ แล้วซ่อนตัวลงไปใต้เกาะในทันที ซ่อนตัวเป็นเวลาสามเดือน รอหลังจากที่ฉวีอวี้จำศีลไปอีกครั้งถึงค่อยออกมา ครั้งนี้ก็ชัดเจนว่ายังขาดอีกสามปีถึงจะครบกำหนดพันปี แต่ฉวีอวี้กลับตื่นขึ้นมาก่อนกำหนด เกรงว่าคงเป็นเพราะกลิ่นเลือดพวกนั้นที่ไปกระตุ้นมันเข้า ถึงทำให้มันตื่นขึ้นก่อนกำหนด” คำพูดประโยคนี้ของเสวี่ยหยา ไม่ได้ต้องการทวงถามความรับผิดชอบแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการวิเคราะห์สาเหตุที่ฉวีอวี้ปรากฏตัวออกมา
มู่ชิงเกอคาดคำนวณขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อฆ่าไม่ตาย เช่นนั้นก็หลบซ่อน เผ่าอี๋สามารถหนีภัยพิบัติลงไปใต้เกาะ เช่นนั้นพวกเราก็สามารถทำได้เช่นกัน”
“สายไปแล้ว” เสวี่ยหยาส่ายหน้าปฏิเสธขึ้น ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ฉวีอวี้ชัดเจนว่าตามกลิ่นของพวกเรามา ต่อให้มันมองไม่เห็น แต่ก็ยังจะ ทำลายเกาะทั้งเกาะอยู่ดี พวกเราไม่มีทางหนีพ้นเช่นกัน”
“หนีไม่พ้น เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรับศึกแล้ว!” มู่ชิงเกอแววตากลายเป็นดุดันขึ้น ในนํ้าเสียงแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่
เสวี่ยหยามองไปทางนางอย่างประหลาดใจ ราวกับกำลังตกใจที่เขาหลังรู้เรื่องราวของฉวีอวี้แล้ว ก็ยังมีความกล้าที่จะต่อสู้กับมันอยู่อีก
ราวกับว่าจะมองเข้าใจถึงความรู้สึกในแววตาของเสวี่ยหยา มู่ชิงเกอยิ้มเย็นขึ้นสายหนึ่ง “หากไม่สู้ ก็ควรจะต้องล้างตัวเองให้สะอาดแล้วนอนรอความตาย นอนรอให้เดรัจฉานตนนี้เข้ามากิน?”
คำพูดของนางทำเอาเสวี่ยหยานิ่งชะงักไป ค่อยๆ ได้สติขึ้นมาจากความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
“ไป๋สี่ เจ้าในตอนนี้หากสู้กับฉวีอวี้ ผลลัพธ์จะเป็นยังไง?” มู่ชิงเกอเริ่มวางแผนรับมือศึกครั้งนี้ ไป๋สี่นิ่งขรึมไป หลังจากคิดอย่างละเอียดแล้ว นางถึงค่อยกล่าวขึ้น “ถ้าหากใช้พลังทั้งหมด ด้วยความสามารถที่เพิ่งฟื้นคืนมาของข้าตอนนี้ ก็สามารถต้านมันได้หนึ่งชั่วยาม”
ฉวีอวี้ก็เหมือนกับว่าจะเป็นการคงอยู่ระดับชั้นเช่นเดียวกันกับไป๋สี่ ไป๋สี่ในตอนนี้เพิ่งจะจุติใหม่ พลังยังไม่ได้ตื่นขึ้นทั้งหมด แน่นอนว่าทำได้เพียงยื้อฉวีอวี้ไว้ได้ช่วงหนึ่ง
“ข้าหยุดมันเอาไว้ พวกเจ้ารีบหนีไป” ไป๋สี่อยู่ๆ ก็กล่าวขึ้นกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางนาง ยิ้มหยอกเย้าพลางเอ่ยขึ้น “เจ้ากำลังลองเชิงข้า? ข้าในใจของเจ้าก็เป็นพวกที่คิดหนีเอาตัวรอดเวลาเจอปัญหารึ?”
ไป๋สี่ยิ้มเย้ายวนออกมาสายหนึ่ง เอ่ยเล่นหูเล่นตากับนาง “ลองเชิงนั้นก็ใช่ แต่ก็ถือเป็นคำจากใจจริง พวกเจ้าหากรั้งอยู่ก็มีเพียงแค่ตายสถานเดียว คนอื่นข้าไม่สน แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าตาย”
“วางใจ พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่ต้องตาย” มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยขึ้น
รอยยิ้มของนางก็เหมือนกับแฝงมนต์เย้ายวนเอาไว้ ทำให้คนที่มองดูเชื่อถือคำพูดของนางอย่างไม่รู้สึกตัว
เสวี่ยหยาที่มองไปทางทั้งสองคน ก็เกิดรู้สึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนขึ้น ตั้งแต่แรกเริ่ม ความสนิทชิดเชื้อที่ไป๋สี่มีให้มู่ชิงเกอก็ทำให้นางคิดว่าทั้งสอง คนเป็นคู่รักกัน แต่ตอนนี้มองดูแล้วก็เหมือนกับจะไม่ใช่คู่รัก
“หยินเฉิน” มู่ชิงเกอร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง
หยินเฉินเดินเข้ามา
ตอนนั้นเอง เสวี่ยหยาถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนเงียบราวกับไร้ตัวตนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ
ผมสีเงินนัยน์ตาสีแดงทั้งยังแฝงไว้ซึ่งความงดงามอันน่าหลงใหลที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
“ในตอนที่ไป๋สี่สู้ เจ้าก็ค่อยก่อกวนอยู่ด้านข้าง จำเอาไว้ให้ดี ข้าไม่ใช่ให้เจ้าออกไปสู้กับฉวีอวี้แต่เป็นดูแลความปลอดภัยของไป๋สี่” มู่ชิงเกอหันไปออกคำสั่งกับหยินเฉินตรงๆ ไม่อ้อมค้อม หยินเฉินมองไปทางไป๋สี่สายตาหนึ่ง ไป๋สี่ก็เหมือนกันสบถขึ้นอย่างไม่ชอบใจ แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครขัดคำสั่งของมู่ชิงเกอ
“องครักษ์เขี้ยวมังกรฟังคำสั่ง” มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง มั่วหยางกับองครักษ์เขี้ยวมังกรมองมาทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอสั่งการขึ้นเสียงขรึมจริงจัง “พวกเจ้าเอากลีเนทลันเชอร์ออกมา ไปประจำที่อยู่บนที่สูง ช่วยคุ้มกันให้ไป๋สี่กับหยินเฉิน พยายามยื้อเวลาให้ได้มากที่สุด แต่จำเอาไว้ด้วยว่าไม่ว่าใครก็ห้ามเสี่ยงอันตราย”
“ขอรับ!” องครักษ์เขี้ยวมังกรตอบรับขึ้นเสียงพร้อมเพรียงกัน ราวกับจะปัดไล่ความน่าหวาดหวั่นและความสิ้นหวังที่ฉวีอวี้นำมา
“พวกข้าทำอะไร?” หลังจากที่มู่ชิงเกอดำเนินการวาง การต่างๆ นานา เสร็จแล้ว เสวี่ยหยาก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง
มู่ชิงเกอมองไปทางนางสายตาหนึ่ง “สั่งการคนของเจ้า เช่นเดียวกันยื้อเวลาฉวีอวี้เอาไว้ แต่อย่าได้บุกขึ้นไป เผชิญหน้ากับมันตรงๆ พวกเราก็ให้ตั้งขบวนไว้ดังนี้ ไป๋สี่ เป็นชั้นแรก องครักษ์เขี้ยวมังกรเป็นชั้นที่สอง คนของเจ้าเป็นชั้นที่สาม เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือยื้อเวลา”
“เจ้าจะทำอันใด?” เสวี่ยหยาก็ฟังออกถึงความนัยอีกข้อหนึ่งจากคำพูดของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอนัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง “ข้าต้องการเวลา ในการเตรียมของบางอย่างที่สามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างสิ้นเชิง”
“เจาคิดวิธีออกแล้ว!”
“เจ้ามีวิธี?”
ไป๋สี่กับเสวี่ยหยาก็เหมือนกับจะเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน ในแววตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ท่าทีของไป๋สี่ก็ยังสามารถเข้าใจได้ ในเมื่อนางเป็นคนที่รู้จักกับมู่ชิงเกอมาเป็นเวลานาน เห็นกับตามาแล้วถึงความสามารถของมู่ชิงเกอ แต่ว่าเสวี่ยหยานั้นแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงได้เชื่อมั่นต่อมู่ชิงเกอขนาดนี้ เชื่อถือคำพูดของเขา
พอรู้สึกได้ว่าคำพูดของตัวดูแปลกๆ เสวี่ยหยาก็พลันเอ่ยเบี่ยงเบนขึ้น “เจ้าต้องการเวลามากเท่าไร” หลังจากพูดจบ นางคิดแล้วคิดก่อนจะรู้สึกได้ว่าคำพูดนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อครู่แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดก่อนหน้า หรือว่าคำพูดประโยคนี้ล้วนแต่แสดงถึงความเชื่อใจอย่างถึงที่สุดที่มีต่อมู่ชิงเกอ
แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้คิดมากเช่นนั้น นางมองไปทางไป๋สี่ “ไป๋สี่พยายามยื้อเอาไว้ให้ได้หนึ่งชั่วยาม” หลังจากนั้นก็มองไปทางมั่วหยางกับเสวี่ยหยา “สองชั้นนี้ของพวกเจ้าก็พยายามยื้อเอาไว้ให้ได้หนึ่งชั่วยาม ถ้าหากไม่สามารถจริงๆ ก็ให้เอาซากสัตว์อสูรเหล่านั้นไปป้อนมัน สามารถยื้อได้ครู่หนึ่งก็ยื้อไว้ครู่หนึ่ง ข้าจะรีบเตรียมการให้เร็วที่สุด”
คำพูดของนางเพิ่งจะจบลง ร่างอันใหญ่โตของฉวีอวี้ก็เข้ามาปกคลุมท้องฟ้าด้านบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้แล้ว คลื่นยักษ์พุ่งซัดเข้าใส่บนตัวเกาะเข้าอย่างจัง กวาด ทำลายผาหินและต้นไม้โบราณ…