ตอนที่ 580
ศิษย์พี่? ศิษย์น้อง?
ผู้เฒ่ายิ้มมองนาง มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจมาก
คืนนี้เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าคนนี้ใช้ก้อนหินนำนางออกมาถึงที่นี่ ผู้เฒ่าผู้นี้เป็นใคร นำนางมาถึงที่นี่ เพื่ออะไร
“ท่านผู้เฒ่า ท่านทำแบบนี้เพื่ออะไรหรือ” มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ ก้มตัวนำก้อนหินในมือไปวางลงบนแท่นใต้ชายคาบ้าน
ผู้เฒ่าคนนั้นก็คือผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงนั่นเอง สายตาของเขาเบนจากกองหินที่มู่ชิงเกอวางไว้มาที่ตัวมู่ชิงเกอ ยิ้มแล้วพูดว่า “ย่อมเพราะรู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจดี จึงเรียกมาพูดคุยกันหน่อย”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก พูดไม่ออกเพราะเหตุผลนี้
“ท่านผู้เฒ่า ข้ายังมีธุระ ไม่ขอรบกวนแล้ว” มู่ชิงเกอพูดแล้วก็จะขอตัวจากไป
แต่ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกลับเอ่ยปากขึ้นในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังหมุนตัวกลับว่า “หากข้าดูไม่ผิด ตัวเจ้ามีรากวิญญาณห้าชนิดใช่หรือไม่”
แววตามู่ชิงเกอวาววาบขึ้นมา นางหันหลังกลับไปมองผู้เฒ่าอีกครั้ง
นางไม่ได้แสดงรากวิญญาณแต่เขากลับเห็นได้ในทันที พูดได้เพียงว่าเขาไม่ธรรมดา
คนไม่ธรรมดาในดินแดนฮ่วนเยวี่ยจะมีได้สักกี่คน
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเพิ่งมาถึงดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้ไม่นาน รู้จักผู้คนในดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่มาก เวลานี้ แม้จะรู้สึกว่าผู้เฒ่าเบื้องหน้านี้ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่
เพียงแต่ นางไม่เคยคิดปกปิดเรื่องรากวิญญาณ เมื่อผู้เฒ่าดูออก นางจึงตอบรับทันทีว่า “ใช่”
“เจ้าหนุ่ม ข้ายังได้ยินอีกว่าเจ้าแซ่มู่หรือ” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพูดยิ้มๆ เพียงแต่ภายในรอยยิ้มนั้นมักทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“ไม่ผิด” มู่ชิงเกอผงกศีรษะอีกครั้ง
ไม่ว่าแซ่หรือรากวิญญาณ นางไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิด
“แสดงรากวิญญาณของเจ้าให้ข้าดู” ใครจะรู้ว่าผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงกลับไม่ได้ถามรบเร้าเรื่องแซ่ของนาง ต่อเพียงแต่เปลี่ยนเรื่องมาที่รากวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง
มู่ชิงเกอเม้มปาก ลังเลเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้เร่งเพียงแต่มองด้วยหางตาที่แฝงรอยยิ้ม ดูท่าทางไม่มีเจตนาร้ายทั้งอากัปกิริยาก็เป็นมิตรดี
ไม่ได้คิดนานนัก หว่างคิ้วมู่ชิงเกอก็ผุดแสงสีระยิบระยับ รอยประทับดอกบัวละเอียดชัดเจนปรากฎอยู่ที่หว่างคิ้ว
พอรอยดอกบัวปรากฎ ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงก็นั่งตัวตรง แววตาปรากฎความตกตะลึงทั้งยังมีความ ยินดีปะปนอยู่ด้วย “ธาตุไฟ ธาตุสายฟ้า ธาตุไม้ ธาตุทอง ทั้งยังมีช่องว่างที่หาได้ยากยิ่งนัก”
ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นทำให้ความยับย่นบนใบหน้าลึกมากขึ้น แต่แววสดใสของ นัยน์ตากลับเด่นชัดยิ่งขึ้น
มู่ชิงเกอซ่อนรอยดอกบัวที่หว่างคิ้ว สายตาที่แน่วนิ่งนั้นยังคงมองนางอยู่
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพูด “เจ้าเป็นคนที่มีโชคยิ่งใหญ่อยู่กับตัว ห้ารากวิญญาณที่เจ้ามี ไม่ว่าชนิดไหนล้วนแต่หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะธาตุสายฟ้ากับช่องว่าง ถึงขนาดหนึ่งหมื่นมีได้เพียงหนึ่ง หากข้าไม่เดาผิด เจ้ายังเป็นทั้งอาจารย์ปรุงยาและอาจารย์หลอมศาสตราด้วยใช่ไหม”
ขณะที่ผู้เฒ่าพูด สายตามีแสงประกายวาบออกมา
มู่ชิงเกอแววตานิ่งสงบ นี่เป็นคนแรกที่มองเห็นความสามารถของนางตั้งแต่นางเข้ามาในแผ่นดินเทพ
“เจ้าไม่ต้องตกใจ เจ้ามีธาตุไม้กับธาตุทอง ทั้งมีธาตุไฟ เป็นเงื่อนไขของผู้ที่เป็นอาจารย์ปรุงยากับอาจารย์หลอมศาสตราอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่เดาสุ่มเท่านั้น” ผู้เฒ่าอธิบาย
“ท่านผู้เฒ่าพูดไม่ผิด” มู่ชิงเกอตอบเรียบๆ
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยิ้ม “เจ้าหนุ่ม อายุยังไม่มากแต่สุขุมดี เจ้ามีห้ารากวิญญาณเป็นความโชคดี มหาศาล แต่ก็โชคร้ายนัก ที่โชคดีมหาศาลก็เพราะเจ้าสามารถเรียนรู้คาถาอาคมของพลังทั้งห้า ส่วนที่โชคร้ายก็เพราะความเร็วในการบำเพ็ญของเจ้าจะถูกถ่วงอย่างมาก ดังนั้น รากวิญญาณมากชนิดไม่สามารถเติบโตได้สมบูรณ์ หรือพูดได้ว่าก่อนที่จะสามารถทะลวงเข้าขั้นถํ้า วิญญาณได้นั้นต่างจะถูกพวกเราเรียกว่ารากวิญญาณใช้การไม่ได้ เนื่องจากอัจฉริยะที่สามารถบำเพ็ญรากวิญญาณหลายชนิดไปจนถึงจุดสุดนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ว่าเมื่อเจ้าออกมาจากเสี่ยวเทียนอี้ก็บำเพ็ญถึงขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ดนั้นก็หมายความว่า เจ้าหาวิธีที่สมบูรณ์แบบในการแก้ปัญหามีรากวิญญาณมากซึ่งเป็นต้นเหตุให้ความคืบหน้าในการบำเพ็ญเชื่องช้าได้แล้ว”
คำพูดของผู้เฒ่า มู่ชิงเกอฟังแล้วใจหายวาบ รู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง
“ในโลกทั้งสามพันใบนั้น มีเพียงสองวิธีที่สามารถแก้ปัญหาหลายรากวิญญาณในการบำเพ็ญ มีเพียงสองสิทธิ์แห่งเทพเท่านั้น หนึ่งคือสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นของบรรพเทพไท่อี สองคือสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสี”
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว
มู่ชิงเกอฟังแล้วภายในจิตใจก็เกิดคลื่นลูกใหญ่โหมซัด สองตาค่อยๆ ดุดันขึ้นมา
“ให้ข้าเดาดู ว่าเจ้าได้สิทธิ์แห่งเทพชนิดไหนกัน” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายของมู่ชิงเกอ ยังคงพยายามใช้ความคิดของตัวเอง
“อืม…ข้าเดาว่าเป็นสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น อานุภาพของสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีไม่ได้มีมากเท่า…”
ผู้เฒ่ายังคงพูดกับตัวเองอยู่ แต่แสงเย็นเฉียบสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขาโดยไม่มีสัญญาณใดๆ
เขาหยุดพูด เบิกตาขึ้นน้อยๆ แสงเย็นเยียบที่โจมตีเขาถูกบังคับให้หยุดนิ่งอยู่ที่เบื้องหน้าห่างจากเขาราวหนึ่งฉื่อ
มู่ชิงเกอมือกำทวนหลิงหลง ปลายทวนจ่อไปที่คอหอยของผู้เฒ่า แววตาเหี้ยมโหดแฝงด้วยรังสีพิฆาต นางขมวดคิ้ว ถึงแม้จะใช้พลังเทพหมดทั้งร่างก็ยังไม่สามารถเสือกทวนหลิงหลงขึ้นหน้าได้อีกแม้เพียงนิดเดียว
การค้นพบนี้ทำให้นางมองผู้เฒ่าด้วยความหวาดหวั่น
สิ่งที่นางตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้คือจะใช้วิธีจู่โจมไม่ให้ทันตั้งตัว นางมีโอกาสสำเร็จสี่ส่วน โอกาสเช่นนี้เพียงพอที่จะให้นางลงมือได้แล้ว แต่เวลานี้ นางเพิ่งพบว่าตัวเองตัดสินใจพลาด นางประเมินกำลังผู้เฒ่าต่ำไป
“อ้อ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามียุทธภัณฑ์ขั้นมหาเทพที่ทำให้ตัวเองเหนือชั้นขึ้น” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงจ้องปลายทวน พูดคำนี้ออกมากะทันหัน
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ แผ่นหลังเย็นวาบ ราวกับว่าทุกฝีก้าวของตัวเองล้วนถูกผู้เฒ่าอ่านออกทั้งหมด
“เจ้าหนุ่มอย่าใจร้อน ข้าไม่ได้มาร้าย” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยกมือ นิ้วมือค่อยๆ ยื่นไปถึงปลายคมทวน ดีดเพียงเบาๆ ทวนหลิงหลงกลายเป็นแสงสีเงินทองแปลงเป็นปลอกนิ้วสวมอยู่ที่นิ้วมือของมู่ชิงเกออีกครั้ง
นางมองผู้เฒ่าอย่างหวาดกลัว นี่เป็นครั้งที่สองที่ทวนหลิงหลงอยู่เหนือการควบคุม
ครั้งแรกขณะอยู่ที่หานชุ่น มันไม่ยอมให้มู่ ทียนอินใช้ทำร้ายเจ้านายจึงทำลายตัวเอง ส่วนครั้งที่สอง ก็คือเวลานี้
แต่ในสายตามู่ชิงเกอ การอยู่เหนือการควบคุมของทวนหลิงหลงครั้งที่สองยังน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าครั้งแรกมากนัก
ผู้เฒ่าคนนี้เป็นใครกันแน่
มู่ชิงเกอถามตัวเองในใจเป็นครั้งที่สอง
ในเวลาเดียวกัน นางก็ถามออกมา “ท่านเป็นใคร”
“ข้าเป็นเพียงตาแก่ว่างงานที่ทำเรื่องจิปาถะทั่วไป ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไรหรอก” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยิ้มพูดออกมา
ฟังคำตอบของเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็แค่นเสียงเย็น
คนที่มีความสามารถเช่นนี้จะเป็นเพียงตาแก่ทำงานจิปาถะที่ไม่มีใครรู้จักได้หรือ
ดูแล้ว เพราะเขาไม่ยอมบอกฐานะของตัวเองเท่านั้น
“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ท่านต้องการท่าอะไรกันแน่” มู่ชิงเกอถามเสียงเครียด นางไม่เชื่อว่า ผู้เฒ่าที่ทำให้นางออกมาจากถํ้าที่พักกลางดึก ทั้งยังพูดกับนางอีกมากมายจะทำไปเพียงเพราะไม่มีอะไรทำหรือเพราะรู้สึกว่านางน่าสนใจเท่านั้นแน่
“เจ้าหนุ่มไม่ต้องเครียดไป ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่มีใครคิดร้ายต่อเจ้าหรอก การที่เรียกเจ้ามาก็เพียงเพราะคนแก่ว่างงานอยากหาอะไรทำ เจ้ามีห้ารากวิญญาณในกาย ทั้งยังมีสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น เคล็ดวิชาบำเพ็ญขั้นพื้นฐานที่จวงซานให้เจ้านั้นไม่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของเจ้าเท่าไหร่ หากเจ้าเชื่อข้า พรุ่งนี้เวลานี้ เจ้าก็มาที่นี่อีก พวกเราสองคนค่อยๆ คุยกันดีไหม” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงยิ้มบอกวัตถุประสงค์ของตัวเอง
เพียงแต่ คำพูดที่ตัวเขาเห็นว่ามีความจริงใจเต็มที่นั้น ในสายตามู่ชิงเกอนั้นไม่แน่ว่าเป็นความจริงใจ
สายตามู่ชิงเกอขบคิดพลางจับจ้องผู้เฒ่า
ตบะของผู้เฒ่าทำให้นางไม่อาจลองหยั่งเชิงพลังเขาดูได้ เหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่นางเคยพบ นอกจากซือมั่ว หากสามารถได้รับการชี้แนะจากเขา ย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน
แต่ หากวัตถุประสงค์ของเขาไม่บริสุทธิ์เล่า
‘อย่างนั้นก็เดินหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าวแล้วกัน’ มู่ชิงเกอตัดสินใจ คนจะทำงานใหญ่ย่อมต้องมีความเสี่ยง นางกล้าลงมือกับผู้เฒ่าไปแล้ว เวลานี้จะถอยได้อย่างไร นางจึงประสานสองมือให้ผู้เฒ่าแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส คืนพรุ่งนี้ข้าจะมาอีก”
พูดแล้วนางก็หมุนตัวจากไป
พรุ่งนี้มาใหม่ นางย่อมไม่ต้องการก้อนหินนำทางมาที่นี่อีก นางเดินมาหนึ่งรอบก็จำได้ไม่ลืมเลือน
จนนางจากไปแล้ว ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงก็พึมพำว่า “เป็นต้นกล้าที่ดีมากเลย”
มู่ชิงเกอออกจากบ้านหลังเล็กของผู้เฒ่าแล้วเดินกลับมาทางเดิม เรื่องนี้นางไม่คิดจะบอกใครย่อมไม่อาจให้ใครรู้ได้
ลอบกลับถ้ำเงียบๆ ก็จะไม่มีใครรู้
แต่เมื่อนางเดินไปถึงบึงเปลี่ยวแห่งหนึ่งกลับเห็นร่างอรชรอ้อนแอ้นเปลือยสองเท้ายืนอยู่ข้างก้อนหินยักษ์ริมบึง กำลังจะเดินลงไปในบึง
มู่ชิงเกอหยุดเดิน แต่ไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไป
แต่จู่ๆ เงาร่างของคนคนนั้นก็หยุดลงกะทันหันแล้วถอยหลังสองก้าว ห่างจากบึงมากขึ้น
อีกสักครู่นางก็เดินเข้าไปอีก ราวกับคิดจะลงน้ำแต่ก็ยังลังเลแล้วถอยกลับมา ไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้งจนมู่ชิงเกอหมดความอดทน
นางไม่ได้อยู่รอที่เดิมต่อ มู่ชิงเกอส่ายหน้าเตรียมจากไป
แต่พอนางขยับตัวก็ได้ยินเสียงตวาดว่า “ใครอยู่ที่นี่”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกแล้วหยุดประสานสองมือให้หญิงคนนั้น นางหลุบตาลงบอกว่า “ข้าเพียงผ่านมา เชิญแม่นางตามสบาย”
“บังอาจ! เจ้าเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย เห็นข้าแล้วถึงขนาดไม่เรียกศิษย์พี่รึ” หญิงที่ยืนอยู่บนหินยักษ์ตำหนิมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองไป ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างไสวทำให้มองเห็นใบหน้าหญิงคนนั้นได้ชัดเจน นางงดงามเลิศลํ้า สูงส่งเย็นชาแฝงด้วยความเยือกเย็นราวแสงจันทร์
หลังจากนางทำตามความต้องการของอีกฝ่ายเอ่ยว่า ‘ศิษย์พี่’ แล้วก็ก้าวเท้ายาวจากไปไม่ได้หยุดรออีก และไม่ได้เห็นคิ้วที่ขมวดขึ้นของหญิงด้านหลังด้วย
นอกจากมีเรื่องนี้มาแทรกแล้วมู่ชิงเกอก็กลับถึงถํ้าของตัวเองอย่างราบรื่น ถงเถิงยังคงบำเพ็ญอยู่ นางย่อมไม่ไปรบกวนเขา
วันรุ่งขึ้น มู่ชิงเกอไม่ได้บำเพ็ญต่อ ไหนๆ ผู้เฒ่าก็บอกแล้วว่าวิชาบำเพ็ญที่จวงซานให้นางไม่ได้มีประโยชน์ต่อนางมากนัก ดังนั้นนางจึงตรงไปที่หอเคล็ดวิชา เตรียมรอเวลากลางคืนไปหาผู้เฒ่า ดูว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาสุดยอดอะไร การไปหอเคล็ดวิชานอกจากดูเรื่องวิทยายุทธ์ แล้ว นางก็อยากหาดูว่ามีบันทึกที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญของหลายรากวิญญาณหรือไม่
ในหอเคล็ดวิชา มู่ชิงเกอยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือเป็นแถวๆ ในมือพลิกดูหนังสือเล่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นชายกระโปรงมุมหนึ่งก็ปรากฎขึ้นในสายตาของนาง นางมองไปก็เห็นว่าข้างๆ มีหญิงคนหนึ่งกำลังเขย่งเท้าหาหนังสือบนชั้นวาง
เมื่อเห็นชัดถึงใบหน้าของนาง มู่ชิงเกอก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิเช่นเดียวกับเมื่อคืน นางจึงปิดหนังสือเอ่ยเรียกก่อนว่า “ศิษย์พี่”
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อศิษย์พี่คนเมื่อคืนได้ยินคำนี้แล้วกลับมองนางอย่างไม่พอใจ เอ่ยประท้วงว่า “ศิษย์พี่อะไร เรียกข้าว่าศิษย์น้อง”