ตอนที่ 625
ตราทาส หลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพ
เดิมทีมู่ชิงเกอวางแผนว่าจะอาศัยตอนที่คนที่เหลือของตระกูลมู่มารับสิทธิ์แห่งเทพของเซิ่งจิ่งตามไปจนถึงรังของมู่เทียนอิน แต่ไม่นึกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแผน มารับล่วงหน้าสามวันทำให้นางพลาดโอกาสไป
ความรู้สึกนั้นคล้ายกับชิ้นเนื้อที่มาถึงปาก แล้วบินหนีไปทำให้รู้สึกทรมานใจนัก
คนไม่สามารถตามเฝ้าได้
แต่ที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ คนที่เหลือของตระกูลมู่อยู่ในแผ่นดินเทพตะวันตกตลอดเวลา ไม่ได้จากไปไหน ตระกูลมู่แต่เดิมนั้นก็อาศัยในแผ่นดินเทพตะวันตกอยู่แล้ว
แผ่นดินเทพตะวันตกอยู่ใกล้แดนมารรกร้างมาก
ลั่วเฉา เป็นเมืองมนุษย์ธรรมดาในแผ่นดินเทพตะวันตก เป็นสถานที่มู่ชิงเกอกับซือมั่วเลือกใช้เป็นที่พักผ่อน ส่วนตลาดมืดนั้นห่างจากลั่วเฉาไม่มาก
การเลือกใช้เมืองมนุษย์ธรรมดาแลกเปลี่ยนซื้อขายย่อมเพื่อซุกซ่อนและเพิ่มความปลอดภัย
ในเมืองลั่วเฉา เรือนเปลี่ยวแห่งหนึ่ง คนรับใช้ที่ไปมาล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีสิทธิ์แห่งเทพ พวกเขาขะมักเขม้น ใบหน้าดูตั้งอกตั้งใจไม่กล้าประมาทแม้เพียงนิดเดียว
เนื่องจาก เจ้านายของพวกเขาคือมนุษย์เทพ นี่คือข้อแตกต่างของเทพกับมนุษย์ธรรมดา
ถึงแม้ที่นี่เป็นโลกของมนุษย์ธรรมดา แต่การที่สามารถปรนนิบัติมนุษย์เทพได้ก็เป็นเกียรติยศสูงสุด คุ้มค่ากับที่พวกเขามอบชีวิตให้
ห้องในเรือน ซือมั่วรินชาร้อนให้มู่ชิงเกอแล้ววางลงเบื้องหน้านาง
ใบหน้าของนางถูกแสงเทียนที่พลิ้วไหวส่องสะท้อนจนมืดสลัว ดูออกจะทึบทึมไปบ้าง
ซือมั่วนั่งลงที่ตรงข้ามนาง กระซิบปลอบว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องร้อนใจ พอพวกเขารู้ตัวก็รีบส่งคนออกไปหากันแล้ว เพียงแค่คนเหล่านั้นยังไม่ออกจากแผ่นดินเทพตะวันตกจะต้องหาพบแน่นอน”
มู่ชิงเกอพยักหน้าช้าๆ มือที่วางตรงขอบโต๊ะ กุมถ้วยชาร้อนไว้
เงียบไปชั่วขณะ มู่ชิงเกอก็ปรับอารมณ์แล้วมองไปที่ซือมั่ว นางมองไปยังรอบบริเวณแล้วถามว่า “เรือนนี้…”
“บ้านของสายสืบที่ข้าให้ฝังตัวอยู่ในแผ่นดินเทพตะวันตกน่ะ” ซือมั่วบอกอย่างไม่ได้ใส่ใจ
มู่ชิงเกอกลับตกตะลึง
หลังจากนางเข้ามาในแดนเทพก็ค่อยๆ รับรู้ถึงบทบาทของซือมั่ว
พูดได้ว่า ขณะที่พวกมนุษย์เทพต่างนึกว่าเขากำลังมัวแต่จัดการแดนมารที่แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่พวกมนุษย์เทพนึกว่าเขาไม่ว่างพอที่จะมาสนใจแผ่นดินเทพ เขากลับส่งสายสืบจำนวนมากมาฝังตัวอยู่ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร
การฝังตัวเช่นนี้ ไม่ใช่จะสามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
“เจ้าคิดจะทำอะไร หรืออยากรวบรวมแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร” มู่ชิงเกอพูดทีเล่นทีจริง
ซือมั่วสั่นศีรษะ “ไม่ได้คิดขนาดนั้น การวางตัวสายสืบไว้เพียงเพื่อป้องกันภัยไว้ก่อนเท่านั้น”
ป้องกันใครหรือ
ย่อมเป็นเผ่าเทพ
คำตอบนี้มู่ชิงเกอรู้ เข้าใจ และรู้ดีที่สุด
นางพยักหน้านิดๆ ยกถ้วยน้ำชาจรดที่ริมฝีปากจิบเล็กน้อยแล้ววางลง อาการใจลอยของนาง ซือมั่วเห็นแล้วก็ถอนหายใจถามว่า “เจ้าคิดว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแผนมารับสิทธิ์แห่งเทพก่อนสามวัน”
พอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับมู่เทียนอิน สองตามู่ชิงเกอก็เปล่งประกายออกมาทันที
นางวิเคราะห์อย่างจริงจัง “มีไม่เกินสามสาเหตุ ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ มู่เทียนอินรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาจะต้องหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพให้เร็วที่สุด สาเหตุที่สองคือ พวกเขาอาจจะได้ยินข่าวของข้า ทำให้พวกเขาต้องเร่งมือ ส่วนสาเหตุสุดท้าย…,”
แววตามู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้นแวบหนึ่ง “ก็คือเวลาที่บอกก่อนนั้นเป็นการตั้งใจหลอก แผนแต่แรกคือรับสิทธิ์แห่งเทพก่อนสามวันอยู่แล้ว ความเป็นไปของสาเหตุนี้เป็นรองเพียงสาเหตุแรกเท่านั้น”
ซือมั่วผงกศีรษะเห็นด้วย บอกนางว่า “ไม่ว่าเป็นสาเหตุใด เวลานี้เจ้าเดินมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่หลบอีกแน่นอน ดังนั้น เจ้าไม่ต้องร้อนรน เพียงแค่ปล่อยข่าวว่าเจ้าอยู่ที่แผ่นดินเทพตะวันตก แม้พวกเราหาพวกเขาไม่พบ พวกเขาก็จะมาหาพวกเราเอง”
“ถูกต้อง” มู่ชิงเกอผงกศีรษะหนักแน่น
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมนางจึงใช้ฐานะแท้จริงลงทะเบียน หากนางต้องการอำพราง อาศัยความสามารถซือมั่ว ทำใบแสดงฐานะบุคคลปลอมขึ้นมาจะยากนักหรือ
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าอยู่ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นเจ็ดแล้วใช่ไหม” จู่ๆ ซือมั่วก็ถามมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอชะงัก ถึงแม้ไม่รู้เหตุผลว่าเขาถามทำไม แต่ก็ยังผงกศีรษะรับ
ซือมั่วยื่นมือตัวเองไปกำมือมู่ชิงเกอที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วออกแรงบีบ “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นเจ็ดขึ้นไปแต่ละขั้นมีช่องว่างยิ่งใหญ่ เป็นประตูเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ มีคนจำนวนมากที่หยุดอยู่ระดับนี้ไปตลอดชีวิต แต่ก็มีบางคนไปได้อีกเพียงก้าวเดียวก็หมดวาสนา คนที่สามารถเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นมีน้อยมากๆ แต่ก็มีไม่น้อย”
“เจ้าอยากบอกอะไรหรือ” สองตามู่ชิงเกอใสแจ๋ว ประกายตาแวววาว
ซือมั่วว่า “ข้าอยากบอกว่า เจ้าเข้ามาในแผ่นดินเทพเพียงสั้นๆ ไม่กี่ปีนี้ก็มีผลงานมากถึงขนาดนี้ ว่องไวเกินไปแล้ว”
ไวหรือ
มู่ชิงเกอชะงักทำความเข้าใจกับคำพูดซือมั่วอย่างละเอียด
ตั้งแต่เข้ามาแผ่นดินเทพ นางรู้สึกสุดแสนจะโล่งสบาย พลังทั้งหมดล้วนอยู่กับการบำเพ็ญ ไม่เคยมีความคิดอื่น บวกกับผลที่ได้สะสมไว้ในอดีต ทั้งยังมีโอกาสพิเศษอีกหลายครั้งจึงทำให้นางเดินมาได้จนถึงวันนี้ ดูแล้วถือว่า ทำได้ดี แต่คำพูดซือมั่วก็ทำให้นางต้องครุ่นคิดอย่าง ละเอียดปฏิเสธไม่ได้ว่านางได้เลื่อนขั้นไวเกินไปจริงๆ
“การเลื่อนขั้นไวเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เวลานี้เจ้า ยังไม่พบเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง คาถาอาคมทั่วไปไม่สามารถเสริมพลังให้เคล็ดวิชาเทวะส่วนบนกับส่วนกลางของเจ้าได้ หากเจ้ายังคงเลื่อนขั้นต่อไปด้วยความรวดเร็ว ข้ากังวลว่าเจ้าจะล้มลงในขั้นศักดิ์สิทธิ์” ซือมั่ว บอกนาง
มู่ชิงเกอเม้มปาก ขมวดคิ้วตั้งใจฟัง
“ถึงแม้ว่า เวลานี้ปัญญาเทวะของเจ้าจะถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ก็เพียงปัญญาเทวะเข้าถึงเท่านั้น ความเข้าใจยังไปไม่ถึง ข้าอยากให้เจ้ากดอัดไว้ก่อน อย่าเพิ่งเพิ่มการบำเพ็ญ รอโอกาสเหมาะสมแล้วจึงทะลวงขอบเขตเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ทีเดียวเลย’’
ซือมั่วพูดจบ มู่ชิงเกอมองเขาแล้วก็ผงกศีรษะ พูดอย่างหนักแน่นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ซือมั่วยิ้ม “ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นเจ็ดนับได้ว่าร้ายกาจในหมู่ดาวรุ่งทั้งหมดแล้ว”
‘ใช่แล้ว แต่ว่าศัตรูของข้าไม่ใช่เป็นเพียงแค่ดาวรุ่งธรรมดา แต่เรื่องบำเพ็ญก็รีบนักไม่ได้’
มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ
นางมองไปที่ซือมั่ว ยิ้มให้เขานิดๆ “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ รีบร้อน การบำเพ็ญข้าจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ไหนๆ ขณะนี้ก็มีเวลา ข้าสมควรทำเรื่องหนึ่งได้แล้ว”
ซือมั่วเลิกคิ้ว
ยังไม่ทันถาม มือเขากลับถูกมู่ชิงเกอกุมไว้แล้วพาเขาเข้าไปในช่องว่างของมู่ชิงเกอ
“นายน้อย”
“คุณชาย”
“ชิงเกอ”
“ท่านเขยก็มาด้วย”
“คารวะนายท่านมั่ว”
เมื่อมู่ชิงเกอกับซือมั่วจูงมือกันเข้าไปในช่องว่าง คนข้างในก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที หลายปีนี้มู่ชิงเกอเข้ามาในนี้น้อยมาก นับว่าพวกเขาไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว ในช่องว่างนี้ ราวกับมีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งมีกลิ่นอายชีวิตเพิ่มขึ้นมา
“เจ้านาย ข้ายังนึกว่าท่านลืมเหมิงเหมิงไปแล้ว นานจนป่านนี้เพิ่งเข้ามา ท่านรู้ไหมว่าบ้านเราฟ้าถล่มดินทลายมากี่ครั้งแล้ว” เหมิงเหมิงทำท่ากระเง้ากระงอดนิดๆ บ่นกับมู่ชิงเกอ
พอนางเตือนมู่ชิงเกอจึงนึกขึ้นได้
ระยะนี้ ช่องว่างย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามการเลื่อนชั้นพลังของนาง
ราชครูเดินเข้ามา ยิ้มบอกมู่ชิงเกอว่า “การปลดผนึกของโลกใบเล็กทำให้พวกเราได้รับประโยชน์โม่น้อย ถึงแม้การบำเพ็ญของทุกคนยังหยุดนิ่งอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง แต่ในด้านอื่นได้อาศัยโลกใบเล็กทำให้เพิ่มความแข็งแกร่งได้ไม่น้อย”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ นางบอกทุกคนว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อปลูกตราทาสให้กับพวกเจ้า”
เช่นนี้แล้ว คนที่นางนำมาจากโลกแห่งยุคกลางจึงจะสามารถบำเพ็ญได้ตามปกติ นางจึงจะมีกำลังของตัวเองในแผ่นดินเทพ
“นายน้อยเป็นถึงขั้นถํ้าวิญญาณชั้นเจ็ดแล้วรึ” ราชครูเพ็งมองแล้วพูดด้วยความยินดียิ่งนัก
มู่ชิงเกอยิ้มผงกศีรษะ
“เป็นอัจฉริยะสวรรค์โปรดจริงๆ” ราชครูตื่นเต้นไม่สิ้นสุด
ดวงตามู่ชิงเกอมองดูสายตาแต่ละคู่ที่เต็มไปด้วยความหวัง กวาดผ่านใบหน้าที่ความอ่อนเยาว์เริ่มจางหายไป มั่วหยาง โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่า เซวียนขุย มู่เฟิง…
ทั้งยังพวกหยินเฉิน ไป๋สี่ มู่เฉิน มู่เผิง…องครักษ์เขี้ยวมังกร องครักษ์ปีกมังกร เผ่าอี๋…พวกเขาต่างรอคอยกันมายาวนานมากแล้ว
”ข้าจะปลูกตราทาสให้พวกเจ้าก่อนแล้วค่อยไปดูปีศาจเฒ่าที่พามาจากโลกแห่งยุคกลาง” มู่ชิงเกอพูดยิ้มๆ
ไป๋สี่บอกว่า “พวกเขาหลับตลอด ตอนนี้ท่านโห่วกำลังเฝ้าดูอยู่”
พูดจบนางก็บิดขี้เกียจแล้วบ่นกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าก็ควรรีบมา ได้เวลาปล่อยพวกเราออกไปสูดอากาศภายนอกแล้ว”
ใช่แล้ว สมควรให้สูดอากาศภายนอกได้แล้ว
สายตามู่ชิงเกอแฝงไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาเหล่านี้รวม ทั้งหุ่นเทพมารของนางต่างหงอยเหงากันมานานเกินไปแล้ว
เพื่อวันนี้พวกเขาทุกคนต่างรอกันมานานเหลือเกินแล้ว
ในแผ่นดินเทพตะวันตก เมืองมนุษย์ธรรมดาแห่งหนึ่ง ในเรือนเรียบๆ ไม่สะดุดตาปรากฎเงาดำสองสายขึ้น พวกเขายืนอยู่ในห้องและราวกับใช้วิชาค่ายกลบางอย่างหายตัวไปจากห้อง
เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่อีกสถานที่หนึ่งแล้ว
สถานที่นี้ราวกับถํ้าที่ลึกเข้าไปในพื้นดิน ถํ้าทั้งลึกทั้งกว้าง ข้างในมีทางแยกมากมาย บนเพดานมีศิลาแสงห้อยไว้ ส่องสว่างจนราวกับเป็นเวลากลางวันที่ด้านนอก
เมื่อสองเงาดำปรากฎตัวขึ้นที่นี่ก็หันมาพยักหน้าให้กัน ถือเป็นการทักทาย
แต่เพิ่มรายละเอียดมาเล็กน้อยก็คือวิธีตรวจสอบฐานะซึ่งกันและกัน นั้นคือการใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือขวาแตะเป็นวงกลมวางลงบริเวณหัวใจ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้แล้วก็หมายความว่าเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่ไส้ศึกที่ลักลอบเข้ามา
วนกันในถํ้าพักหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงประตูถํ้าแห่งหนึ่ง
ยังไม่ทันเข้าไปในประตู พวกเขาก็ได้ยินเสียงครวญครางที่พยายามกลั้นไว้ เสียงนั้นแฝงด้วยความเจ็บปวด ทั้งเปี่ยมไปด้วยความแค้นทำให้พวกเขาได้ยินแล้วรู้สึกขวัญผวา
“อาจารย์ ข้าทนไม่ไหวแล้ว สิทธิ์แห่งเทพจะมาถึงเมื่อไหร่” ภายในนั้นมีเสียงที่เจ็บปวดของมู่เทียนอินแว่วมา สักพักก็มีอีกเสียงหนึ่งแว่วมา “รออิกนิด ควรมาถึงแล้ว พอสิทธิ์แห่งเทพมาถึงข้าจะช่วยเจ้าหลอมรวมมันเข้าด้วยกัน ให้เจ้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่”
สองคนนอกถํ้าเมื่อได้ยินแล้วก็กำลังจะเข้าไป แต่ก็ได้ยินผู้เฝ้ามองของพวกเขาพูดว่า “เจ้ามู่ชิงเกอนั้นมีข่าวมาแล้ว เขาไม่เพียงแค่มาถึงแผ่นดินเทพ แต่ยังเป็นถึงราชาเทวะน้อยแดนฮ่วนเยวี่ยของแผ่นดินเทพตะวันออกด้วย”