ตอนที่ 626
ไม่ยอมก็ต้องยอม
“อะไรนะ! อาจารย์ท่านว่าอะไรนะ” เพียงพริบตา เสียงของมู่เทียนอินก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
“เจ้าอย่าร้อนรนไป” ผู้เฝ้ามองปลอบ
ไม่ร้อนรน เขาจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร
มู่เทียนอินไม่ได้พูดต่อ แต่เluยงหอบที่ได้ยินนั้นฟังออกว่าใจเขามีความโกรธแค้นมากเพียงใด
สองคนนอกประตูสบตากัน คนที่สองมือถือกล่องอยู่เอ่ยปากว่า “นายน้อย ผู้อาวุโส นำของมาแล้วขอรับ”
“เข้ามา” ในถํ้านั้นมีเสียงผู้เฝ้ามองแว่วมา
สองคนนอกประตูถํ้าถือกล่องแล้วเดินเข้าไป เมื่อเข้าไปในถํ้าแล้วเห็นสีหน้าที่อึมครึมของมู่เทียนอิน พวกเขาก็รีบเบนสายตาออก ไม่กล้ามองอีก
ระยะนี้ อารมณ์นายน้อยนับวันยิ่งโหดร้ายรุนแรง พวกเขากังวลกับชีวิตตัวเองนัก
“วางลง” ในห้องยังมีผู้เฒ่าอีกคนอยู่ด้วย
เขาสวมชุดเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ ในมือถือไม้เท้าที่คล้ายหยกแต่ไม่ใช่ คล้ายงาก็ไม่เชิง หัวไม้เท้าสลักเป็นตัวสัตว์ประหลาด สองตาของสัตว์ประหลาดนั้นเป็นอัญมณีสีแดงเข้ม
เขานั่งอยู่ข้างๆ ด้วยอาการนิ่งสงบ ไม่ร้อนรนเช่นมู่เทียนอิน
คนที่เข้ามาทำตามคำสั่งวางกล่องอย่างระมัดระวังบนโต๊ะหน้าผู้เฒ่าคนนั้น แล้วค้อมกายถอย ออกไปข้างๆ
ไม่มีคำสั่ง พวกเขาก็ไม่กล้าจากไป
ผู้เฒ่าคนนั้นแกว่งไม้เท้า กล่องบนโต๊ะเปิดออกทันที แสงนวลใสกระจายออกจากกล่องที่เปิดออก
เวลานั้น สายตาของมู่เทียนอินก็ถูกดึงดูดโดยกล่องใบนั้น
ไม่ใช่ ที่ถูกต้องนั้นควรพูดว่าเขาถูกดึงดูดโดยของที่อยู่ในกล่องมากกว่า
พอกล่องถูกเปิดออก ของในกล่องก็เริ่มขยับทันทีราวกับจะหนีจากการพันธนาการจากกล่อง เพียงแต่ พอมันขยับหรือดิ้นรนก็จะมีลำแสงตาข่ายสีแดงมัดมันไว้อย่างแน่นหนาทำให้ไม่สามารถดิ้นหลุดได้
ผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แกว่งไม้เท้าในมืออีกครั้ง ฝากล่องปิดกลับคืน แสงสดใสหายไป กล่องกลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง
ปิดกล่องแล้ว สายตามู่เทียนอินมีแววความหวังที่เฝ้ารอคอย อาการเฝ้ารอนั้น พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นทนรอไม่ไหว ทำให้ใบหน้าที่อึมครึมของเขาเปลี่ยนเป็นร้อนรนขึ้นมา
“อืม ทำได้ไม่เลว พวกเจ้าถอยไปก่อน” ผู้เฒ่าบอกทั้งคู่ที่โค้งตัวรอคำสั่ง
ทั้งคู่ได้ยินดังนี้ก็ถอนหายใจโล่งอก
“ทราบแล้ว ผู้อาวุโส”
“ทราบแล้ว ผู้อาวุโส”
เมื่อขานรับแล้ว ทั้งคู่ก็ถอยหลังไปสองก้าว หมุนตัวเตรียมออกจากถํ้า
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังหมุนตัวกลับ มู่เทียนอินที่ยืนอยู่ในถํ้าก็ยกแขนขวาขึ้นฟาดไปที่หลังของพวกเขา
ลำแสงสีแดงปรากฎ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วถํ้า
สองคนที่กำลังจะถอยออกไปตัวแข็งทื่อในทันที ดวงตามีประกายไม่อยากจะเชื่อ ไม่ทันได้ร้องก็ล้มไปข้างหน้า สิ้นลมหายใจลงก่อนจะล้มถึงพื้น
แผ่นหลังของพวกเขายังคงหลงเหลือร่องรอยกรงเล็บน่าหวาดผวาหลายสาย เลือดเนื้อยับเยิน หัวใจภายในแหลกละเอียด
ทั่งคู่ตายโดยไม่ทันคาดคิด คาดว่าก่อนตาย ก็คงยังไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องตาย ทั้งๆ ที่ปฏิบัติ
ภารกิจสำเร็จเป็นผู้มีความดีความชอบ
สายตาของผู้เฒ่ามองไปที่ศพของสองคนนั้น ไม่ได้เผยอาการประหลาดใจใดๆ แม้แต่น้อย สายตาค่อยๆ ย้ายไปที่มู่เทียนอินซึ่งกำลังค่อยๆ เก็บมือตัวเอง “ทำไมเจ้าต้องสังหารพวกเขาด้วย”
เสียงมู่เทียนอินโหดเหี้ยม แววตาเย็นเฉียบ “ความลับของข้า อาจารย์รู้คนเดียวก็พอแล้ว”
เขาจัดถุงมือขวาของตัวเองให้เข้าที่
ถุงมือนั้นทำมาจากโลหะตั้งแต่นิ้วมือยาวไปจนถึงหัวไหล่ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงใหญ่กว่าแขนซ้ายถึงเท่าตัว ดูแล้วไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิด
เสื้อคลุมสีดำบนตัวเขายิ่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูเหี้ยมโหดทารุณมากยิ่งขึ้น
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา เสียงเสื้อเกราะดังสะท้อนเข้ามาในถํ้า ทหารองครักษ์ก้มหน้าเข้ามาแบกสองศพบนพื้นออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาดถํ้าแล้วเสร็จ มู่เทียนอินจึงถามอย่างรีบร้อนว่า “อาจารย์ จะลงมือได้เมื่อไร”
ผู้เฒ่าสนศีรษะช้าๆ “ไม่ต้องร้อนใจ ระหว่างนี้ เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ จำต้องอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด กระบวนการหลอมรวมของเจ้าจึงจะลดเหตุไม่คาดฝันให้เหลือน้อยที่สุดได้ เจ้าอยู่ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นห้ามานานหลายปีแล้ว ไม่แน่ว่า การหลอมรวมครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสให้เจ้าทะลวงขอบเขต เจ้าจะต้องคว้าไว้ให้ดีๆ เล่า”
คำพูดของเขาทำให้สองตามู่เทียนอินหรี่ลงประกายเหี้ยมโหดในดวงตาไหวระริก ความแค้นในอกที่กดอยู่ในใจมานานปีกำลังจะระเบิดออกมา ทำให้เขาไม่สามารถและไม่อยากที่จะกดมันไว้อีกต่อไป
ในโลกใบเล็กของมู่ชิงเกอ ทุกคนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
พลังจิตในร่างพวกเขากำลังเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง
ตราทาสได้ถูกปลูกลงไปแล้ว สิ่งที่ตามมาคือรอการเกิดผล
มู่ชิงเกอกับซือมั่ว ทั้งราชครูกับเหมิงเหมิงที่ไม่ต้องมีตราทาสต่างยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างๆ ส่วนหยินเฉินกับไป๋สี่ไปยังที่คุมขังเหล่าปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านจากโลกแห่งยุคกลางเพื่อเตรียมการ
สายตาของซือมั่วมองไปยังหุ่นเทพมารที่ยืนนิ่งอยู่ข้างมู่ชิงเกอและบอกมู่ชิงเกอว่า “หากพบอันตราย เจ้าเรียกพวกเขาออกมาสู้รบได้”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ “พวกเขาเป็นไพ่ตาย ไพ่ตายย่อมเปิดเผยง่ายๆ ไม่ได้ เพียงแต่…”
นางขมวดคิ้ว แววตาครุ่นคิด
“เพียงแต่อะไร” ซือมั่วถาม
มู่ชิงเกอพูดเสียงตํ่า “หุ่นเทพมารทั้งสอง พวกเขาเป็นขั้นถํ้าวิญญาณชั้นแปด เกรงว่า…” นางสั่นศีรษะหัวเราะ
พูดไม่ทันจบ ซือมั่วก็เข้าใจความหมายนางแล้ว
เวลานี้ นางเป็นถํ้าวิญญาณชั้นเจ็ดแล้ว ตบะของหุ่นทั้งสองคือขั้นถํ้าวิญญาณชั้นแปด ดูแล้วไพ่ตายก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก
“อยากเพิ่มการบำเพ็ญของหุ่นเทพมารก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้” ทันใดนั้นราชครูก็พูดขึ้นมา
คำพูดนี้ทำให้ทั้งซือมั่วและมู่ชิงเกอสนใจขึ้นมาในทันที
ราชครูพูดยิ้มๆ ว่า “การบำเพ็ญของหุ่นเทพมารไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากพวกเขาไม่มีปัญญาเทวะเป็นของตัวเอง หากพวกเขามีปัญญาเทวะตบะบำเพ็ญก็สามารถคืนกลับได้หลายชั้น ตบะบำเพ็ญของหุ่นทั้งสองอย่างน้อยก็สามารถกลับคืนได้ถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง หากปัญญาเทวะแข็งแกร่งมาก ไม่แน่ว่าอนาคตพวกเขาอาจจะสามารถบำเพ็ญเองได้ด้วยซํ้า”
“ปัญญาเทวะหรือ” มู่ชิงเกอพึมพำ
นางจะไปหาปัญญาเทวะที่เหมาะสมได้จากที่ไหนเล่า
“นายน้อยจะวุ่นวายไปทำไมเล่า ปัญญาเทวะของท่านไม่ใช่ร้ายกาจมากหรือ” ราชครูกล่าว
“ของข้าหรือ” มู่ชิงเกองงงวย
ซือมั่วก็มองไปที่ราชครู ในใจคิดถึงความเป็นไปได้ในคำพูดเขา
ราชครูผงกศีรษะ
การที่ราชครูรู้ความลับของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางนั้น นางไม่แปลกใจอะไร เนื่องจากครั้งนั้นเขาก็เป็นคนข้างกายของบรรพบุรุษตระกูลมู่ย่อมต้องรู้เรื่องเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางมาบ้าง
“นายน้อยเพียงแค่แบ่งปัญญาเทวะตัวเองออกเป็นสองสาย แยกกันถ่ายเข้าที่ตัวสองหุ่นเทพมารนี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนมือซ้ายและขวาของท่าน เพียงแค่คิด พวกเขาก็จะทำตามคำสั่งท่าน ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย” ราชครูกล่าว
มู่ชิงเกอฟังจบสายตาก็มองไปทางซือมั่ว
ซือมั่วก็มองไปทางนางและผงกศีรษะช้าๆ
หลังจากซือมั่วแสดงท่าทีแล้ว มู่ชิงเกอจึงผงกศีรษะให้ราชครูว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
พูดจบนางก็บอกว่า “พวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงพลังจิตต้องการเวลาระยะช่วงหนึ่ง ด้านโน้นก็คงเตรียมพร้อมพอสมควรแล้ว ข้าจะไปดูก่อน”
ราชครูรีบบอกว่า “ขอท่านเขยอยู่เฝ้าที่นี่สักครู่เพื่อระวังไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด ด้านโน้นข้าจะตามนายน้อยไปเอง”
ชัดเจนว่าเขาต้องการแยกซือมั่วออกเพื่อพูดคุยกับมู่ชิงเกอตามลำพัง
ซือมั่วเข้าใจ มู่ชิงเกอเองก็เข้าใจ นางมองราชครูอย่างลึกซึ้งแล้วบอกซือมั่วว่า “อามั่ว เจ้าอยู่ดูที่นี่สักพักได้ไหม”
ซือมั่วอมยิ้มและพยักหน้า เขาไม่เคยปฏิเสธทุกความต้องการของมู่ชิงเกอ
จากนั้น มู่ชิงเกอจึงไปยังบริเวณที่คุมขังเหล่าปีศาจเฒ่าระดับข้ามผ่านของโลกแห่งยุคกลางพร้อมกับราชครู
“ตบะพวกเขายังไม่ถึงขั้น ต่อให้ฝังตราทาสไว้แล้ว หลังการเปลี่ยนแปลงก็เพียงลดขั้นตอนการหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพและเคราะห์อัสนีได้เท่านั้น การที่จะช่วยงานนายน้อยได้จริงจังยังคงต้องใช้เวลาบำเพ็ญอย่างหนักอีกระยะหนึ่ง เรื่องนี้นายน้อยไม่ต้องกังวล ที่นี่มีเจดีย์ฝึก พลังยุทธ์ที่ควบคุมเวลาได้ ทั้งยังมีพรรณไม้วิญญาณสารพัดชนิด ข้าจะเร่งการบำเพ็ญของพวกเขา ในเจดีย์ฝึกพลังยุทธ์หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี เพียงแค่พวกเขาอดทนต่อความลำบากเหนื่อยยากก็จะสามารถออกไปช่วยงานนายน้อยได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ดังนั้นในช่วงแรกคนที่นายน้อยสามารถใช้งานได้ คงต้องเป็นปีศาจเฒ่าที่ถูกนายน้อยจับมา” ราชครูค่อยๆ วิเคราะห์
มู่ชิงเกอผงกศีรษะเห็นด้วยกับเขา
คุยเรื่องนี้จบแล้ว ราชครูจึงเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “นายน้อย ท่านเขยเขา…”
เขาสูดลมหายใจลึกๆ ตัดสินใจบอกมู่ชิงเกอว่า “นัยน์ตาเขาคู่นั้นมีเพียงเชื้อสายราชวงศ์แดนมารเท่านั้นจึงจะมีได้ ฐานะของเขา นายน้อยคงจะรู้อยู่แล้ว แต่นายน้อยเคยคิดหรือไม่ว่า ช่อง ว่างระหว่างสองเผ่ามีมาเนิ่นนาน นอกจากเขาหรือท่านจะยอมสละฐานะของตัวเองในปัจจุบัน มิฉะนั้น หากจะอยู่ด้วยกันไปจนถึงสุดท้ายนั้นยากมาก”
มู่ชิงเกอหยุดเดิน นางมองราชครูแล้วบอกเขาว่า “ข้ากับเขาจะอยู่ด้วยกัน”
ง่ายๆ เพียงไม่กี่คำเป็นคำตอบของนาง
นางเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปปยังบริเวณที่คุมขังแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการคุยเรื่องนี้อีก
จนถึงบริเวณที่คุมขัง หยินเฉิน ไป๋สี่กับโห่วก็ได้ดับธูปยาสลบแล้วเพื่อให้พวกปีศาจเฒ่าค่อยๆ ตื่นขึ้นจากการหลับใหลที่แสนยาวนาน
คนที่ลืมตาคนแรกก็คือซ่งเทียนจี๋สมญานามผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
พอเขาลืมตาขึ้นก็เห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยสีหน้าเย็นชา ทำให้ตาดำของเขาหดลง สีหน้าประหลาดใจมาก
มู่ชิงเกอไม่ใช่ประกาศฐานะตัวเองว่าเป็นหญิงแล้วหรือ ทำไมจึงยังเปลี่ยนมาแต่งตัวเป็นชายอีก อีกอย่าง ที่นี่มันที่ไหนกัน
นึกถึงเรื่องก่อนที่จะหมดสติซ่งเทียนจี๋ก็ได้สติในทันที
เขามองมู่ชิงเกอด้วยแววตาเย็นเฉียบ
“มู่ชิงเกอ เจ้าใช้วิธีสกปรกจับตัวพวกเรา ข้าไม่ยอม” เขากัดฟันพูด
แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มบางๆ แววตาแหลมคม พูดอย่างดูแคลนว่า “ถึงไม่ยอม ก็ต้องยอม”