ตอนที่ 627
พวกเจ้าเป็นทาสของข้า
“ถึงไม่ยอม ก็ต้องยอม” มู่ชิงเกอพูดคำนี้อย่างวางอำนาจเต็มที่ ไม่เหลือทางเลือกให้เลยแม้เพียงนิดเดียว
ซ่งเทียนจี๋ชะงักหรี่สองตาพลางยิ้มเยาะ “เจ้าถือดีอะไรมาใช้คำพูดเช่นนี้”
“ซ่งเทียนจี๋” มู่ชิงเกอหรี่สองตาลงเช่นกัน พลางยิ้มอย่างนึกสนุก “ข้าเห็นแก่เจ้าว่าเป็นคนเก่ง แต่ไม่นึกว่าเจ้ากลับเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้”
ซ่งเทียนจี๋แววตาเข้มขึ้น แข็งเกร็งไปทั้งร่าง
เวลานี้ คนอื่นทั้งหมดต่างค่อยๆ ฟื้นคืนสติแล้ว ขณะที่เห็นมู่ชิงเกอต่างก็เดือดพล่านกันขึ้นมา
แต่ละคนจ้องนางด้วยสายตาเคืองแค้น แทบอยากจะจับนางมาแล่เนื้อเถือหนัง
“มู่ชิงเกอ!”
“เจ้ายังกล้าปรากฎตัวอีกหรือ!”
“คนถ่อย! ถึงขนาดลอบทำร้ายพวกเรา”
“ไม่ต้องพูดมาก เอาชีวิตมา!”
“วันนี้ ข้านอกจากจะแย่งรากวิญญาณกับสิทธิ์แห่งเทพของเจ้าแล้วยังจะเอาชีวิตเจ้าด้วย!”
“ทุกคน ไม่ต้องเสียเวลาพูดกับนาง จับตัวนางก่อนค่อยว่ากัน”
ทุกคนต่างจ้องมองนางราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ เหลือเพียงซ่งเทียนจี๋ที่ยังคงรักษาความ สงบเยือกเย็นไว้ ไม่ใช่เขาไม่เคืองแค้นมู่ชิงเกอ แต่คำพูดมู่ชิงเกอทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ
ยอดฝีมือระดับข้ามผ่านหลายร้อยคนต่างพากันเข้าโผเข้าหามู่ชิงเกอพร้อมกัน
นัยน์ตาโห่วฉาย แววโหดเหี้ยมรีบเข้ามา รวมตัวกับหยินเฉินและไป๋สี่เพื่อเตรียมลงมือ แต่กลับถูกมู่ชิงเกอยกมือห้ามไว้ ราชครูเองก็อมยิ้มยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอโดยไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกแม้แต่นิด
มู่ชิงเกอมือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยกขึ้นห้ามให้ทั้งสามคนลงมือ
นางมองยอดฝีมือระดับข้ามผ่านที่พุ่งเข้ามาหานางด้วยสายตาเย็นชา…ในโลกแห่งยุคกลางเองนางยังไม่เคยกลัวเกรง อย่าว่าแต่เวลานี้เลย
มู่ชิงเกอยังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับแม้เพียงนิดเดียว แม้แต่สายตาที่คิดหลบเลี่ยงก็ยังไม่มี นางมองผู้คนที่เข้ามาโจมตีนางด้วยความสงบ มุมปากผุดรอยยิ้มสนุกสนาน
การยิ้มเยาะของนางทำให้ตาดำซ่งเทียนจี๋หดลง
ความรู้สึกแปลกๆ ยิ่งชัดเจนขึ้น
มู่ชิงเกอสงบเกินไป นิ่งมากเกินไป
ต่อให้นางผ่านเคราะห์อัสนีมาแล้วสองครั้ง หรือแม้กระทั่งสามครั้งในระหว่างที่พวกเขาถูกขังอยู่ในนี้ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีอาการนิ่งสงบเช่นนี้เมื่อต้องประจันหน้ากับการล้อมกรอบของยอดฝีมือระดับข้ามผ่านจำนวนมากถึงเพียงนี้
“อย่า! หยุด!” ซ่งเทียนจี๋ส่งเสียงห้ามปราม ขณะที่รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
แต่…ก็ยังช้าเกินไป
คนเหล่านั้นไม่ได้ฟังเลยว่าเขาพูดอะไร เพียงพุ่งเข้าหามู่ชิงเกออย่างบ้าคลั่งโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
มู่ชิงเกอเพียงแค่นเสียง ฮึ เบาๆ พลังที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้ก็ระเบิดออกมาจากตัวนาง กระแทกเข้าใส่พวกเขาอย่างรุนแรง
พริบตาต่อมาซ่งเทียนจี๋ก็ได้เห็นภาพที่สุดแสนจะน่าหวาดกลัว
ระดับข้ามผ่านจำนวนมากเช่นพวกเขา ไม่ว่าเวลาไหนในโลกแห่งยุคกลางเพียงแค่กระทืบเท้าก็สามารถเกิดฟ้าถล่มดินทลายได้ แต่เพียงแค่การแค่นเสียงเบาๆ ของมู่ชิงเกอ ทั้งหมดก็กระเด็นบินกลับไปทันที
ความรู้สึกนั้นราวกับเรือน้อยต้องพายุใหญ่กลางทะเลและถูกซัดไปตามคลื่น
พวกเขาไม่สามารถต่อต้าน ไม่สามารถต้านทาน
“โอ๊ย”
“โอ๊ย”
“โอ๊ย”
“โอ๊ย”
พวกที่คิดฉีกมู่ชิงเกอเป็นชิ้นๆ ถูกแรงกระแทกเข้าอย่างรุนแรง พลังที่ไม่สามารถต้านทาน ได้จับพวกเขากระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น คนกลุ่มใหญ่ก็อาเจียนเป็นโลหิต สภาพอเนจอนาถเหลือแสน
พวกเขาเพิ่งได้รู้ความจริงอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ต่อหน้ามู่ชิงเกอพวกเขาไม่สามารถที่จะตอบโต้อะไรได้เลย
คนหลายร้อยคนเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ นอนอยู่บนพื้นมองมู่ชิงเกอที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้สักนิดเดียว นางยังคงมีท่าทางสบายอารมณ์ ยืนอย่างเย็นชาอยู่ตรงนั้น ใช้สายตาดูแคลนคนทั้งโลกจ้องมองมาที่พวกเขา
ซ่งเทียนจี๋ถามด้วยนํ้าเสียงยากลำบากว่า “พวกเราหลับไปนานเท่าไรแล้ว”
หลับไปนานเท่าไรหรือ
นี่เป็นคำถามที่ดีมาก
คำพูดของซ่งเทียนจี๋ทำให้เหล่ายอดฝีมือระดับข้ามผ่านที่กำลังหวาดผวาต่างกลั้นหายใจเบิกตาโตจ้องมู่ชิงเกออย่างเคร่งเครียด
“ฮึ! พวกเจ้าหลับไปสี่ห้าปีแล้ว” ไป๋สี่พูดอย่างดูหมิ่น
อะไรนะ
ทุกคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
พอรู้ความจริงพวกเขาต่างตกใจยิ่งนัก
พวกเขานอนหลับไปถึงสี่ห้าปี เช่นนั้นแล้ว สี่ห้าปีนี้เกิดอะไรขึ้น ครั้งนั้นพวกเขาไปหาเรื่องมู่ชิงเกอที่ลั่วซิงเฉิง สถานการณ์ระหว่างลั่วซิงเฉิงกับตำหนักเทพ กำลังตึงเครียดมาก เวลานี้ผ่านไปสี่ห้าปีแล้ว มู่ชิงเกอกลับยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าพวกเขา หรือว่าสุดท้ายแล้วไม่ได้รบกัน หรือว่า…
บางเรื่อง พวกเขาก็ไม่กล้านึก เกรงว่าถ้านึกแล้วจะตระหนักได้ถึงผลลัพธ์ที่ยากจะยอมรับได้
ซ่งเทียนจี๋พยายามสะกดกลั้นความสั่นสะท้านในใจ เขามองไปทางมู่ชิงเกอแล้วถามว่า “พวก เราอยู่ที่ไหน แล้วเจ้าคิดจะทำอะไร”
เขายอมรับว่า เขารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาหวาดหวั่นมู่ชิงเกอ
คำพูดของซ่งเทียนจี๋เป็นตัวแทนกลุ่มยอดฝีมือระดับข้ามผ่านทั้งหมด
ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยมีมาหลายปีปรากฎขึ้นอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาปรับตัวไม่ทัน
มู่ชิงเกอค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น นิ้วมือขวาทั้งห้ามีพลังเทพพัวพัน พลังที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่มหาศาล
ความคิดที่ทั้งน่ากลัวทั้งไม่น่าเป็นไปได้ผุดขึ้นมาจากกลางใจซ่งเทียนจี๋
เขาไม่กล้าถาม ทำได้เพียงรอคำตอบจากมู่ชิงเกอ
“ที่นี่คือแผ่นดินเทพมาร แผ่นดินที่พวกเจ้าคิดอยากจะมา เวลานี้ข้าพาพวกเจ้ามาแล้ว ไม่ต้องซาบซึ้งกับข้านักก็ได้” มู่ชิงเกอพูดเหน็บแนม นัยน์ตาใสแจ๋วของนางนิ่งสงบ แต่แฝงด้วยความบ้าระห่ำสายหนึ่ง
“อะไรนะ! แผ่นดินเทพมาร”
“นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร”
“นี่เป็นแผ่นดินเทพมาร”
คำพูดมู่ชิงเกอทำให้เกิดโกลาหลไปหมด
จากความตกใจในตอนแรกค่อยๆ กลายเป็นความหวาดผวา
แต่คำพูดต่อไปของมู่ชิงเกอ ยิ่งทำให้พวกเขาตัวแข็งทื่อจนแทบขยับไม่ได้
มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินแทรกไปอยู่ระหว่างพวกเขา ความนิ่งสงบของนางทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่ต้องถอยออกไป สายตาพวกเขามีแต่ความหวาดหวั่นต่อตัวมู่ชิงเกอ
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แห่งเทพ บางคนถึงขนาดไม่มีรากวิญญาณ เวลานี้ข้าพาพวกเจ้ามาถึงแผ่นดินเทพมาร แผ่นดินที่พวกเจ้าใฝ่ฝัน แต่หากพวกเจ้าเดินออกไปก็จะอ่อนแอจนแม้กระทั่งมนุษย์ธรรมดาก็ยังสามารถต่อกรกับพวกเจ้าได้สบาย พวกเจ้ากล้าออกไปไหมเล่า กล้าเดินออกจากที่นี่เข้าไปในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรที่มีแต่คนแข็งแกร่งหรือไม่” สายตาของมู่ชิงเกอมองผ่านร่างพวกเขา
คำที่พูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนเหงื่อกาฬไหลพลั่ก ไม่ผิดที่พวกเขาอยากเข้าไปในแผ่นดินเทพมาร แต่ไม่ใช่เข้าไปในฐานะผู้อ่อนแอที่สุด
แต่มู่ชิงเกอพูดเรื่องจริง พวกเขาไม่มีสิทธิ์แห่งเทพ ไม่สามารถบำเพ็ญในแผ่นดินเทพมารได้ หากไม่สามารถบำเพ็ญ พวกเขาก็ต้องเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด
ซ่งเทียนจี๋ค่อยๆ สงบลงแล้ว เขามองไปทางมู่ชิงเกอแล้วถามว่า “เจ้าคงไม่พาพวกไร้ประโยชน์กลุ่มใหญ่มายังแผ่นดินเทพมารแน่ เจ้าคิดจะให้พวกเราทำอะไร”
มุมปากมู่ชิงเกอแย้มรอยยิ้มที่แสนงดงาม นางมองไปทางซ่งเทียนจี๋ด้วยแววตาใสกระจ่าง “เจ้าฉลาดมาก ข้าไม่ได้ดูคนผิดจริงๆ”
คำพูดของนางคือการยอมรับว่าซ่งเทียนจี๋คาดเดาได้ถูกต้อง
เวลานี้เอง พลังเทพในมือมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ รวมกันจนเป็นตรา ตรานั้นราวกับมีพลังลี้ลับทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
“เจ้าคิดจะทำอะไร” ซ่งเทียนจี๋ถาม เขาไม่ทันสังเกตว่าเสียงตัวเองสั่นเครือ
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างใสซื่อและบอกพวกยอดฝีมือระดับข้ามผ่านที่กำลังรอคำตอบว่า “ข้ามีวิธีที่จะทำให้พวกเจ้าซึ่งไม่มีทั้งสิทธิ์แห่งเทพ ไม่มีทั้งรากวิญญาณสามารถบำเพ็ญได้ในแผ่นดินเทพมาร”
คำพูดของนางทำให้ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมาทันที
กระทั่ง ซ่งเทียนจี๋ยังทนความเย้ายวนไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้ใจดีอะไรนักหนา แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า “พวกเราต้องใช้อะไรแลกเปลี่ยน”
“ดีมาก ถามได้ตรงจุด” มู่ชิงเกอยิ้มให้เขา “ง่ายมาก วิธีนี้เรียกว่าตราทาส ความหมายก็ตามชื่อ เมื่อปลูกตราทาสแล้วพวกเจ้าก็จะสามารถบำเพ็ญได้เพราะข้า สิ่งที่ต้องตอบแทนคือเพียงแค่พวกเจ้ายอมรับข้าเป็นนาย ไม่คิดทรยศตลอดไป”
ยอมรับมู่ชิงเกอเป็นนาย ไม่ทรยศตลอดไป
ดวงตาที่เบิกกว้างแต่ละคู่จ้องมองมาที่มู่ชิงเกอ
ซ่งเทียนจี๋สูดลมหายใจลึกแล้วถามว่า “ข้าอยากถามว่าปัญหาของเจ้ากับตำหนักเทพ…,”
“ใช่ เจ้าอยากให้พวกเราช่วยเจ้ารบกับตำหนักเทพใช่หรือไม่” มีคนอดไม่ได้ถามออกมา
แต่กลับถูกซ่งเทียนจี๋ถลึงตาใส่
มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจคำพูดของคนคนนั้น ตอบซ่งเทียนจี๋ว่า “ข้าสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้ ทั้งยังพาพวกเจ้ามาถึงแผ่นดินเทพมาร นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ”
“โลกแห่งยุคกลางไม่มีตำหนักเทพแล้ว” หยินเฉินที่อยู่ข้างๆ พูดเสริมเข้าไป
ซี้ด!
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าลึก
โห่วแสยะยิ้ม “ข้าว่าพวกเขาใช้การไม่ได้หรอก ไม่น่าต้องเสียเวลาเลย ฆ่าทิ้งไปเสียก็หมดเรื่อง”
พอได้ยินคำนี้ คนหลายร้อยคนก็หน้าถอดสี
พวกเขายังไม่อยากตาย
เทียบกับความตาย เทียบกับการเป็นผู้อ่อนแอแล้ว พวกเขารู้สึกว่าการยอมรับมู่ชิงเกอไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก
“พวกเรายอม”
“ข้ายอม”
“ข้ายอมรับเจ้าเป็นนาย”
“ข้าก็ยอมรับเจ้าเป็นนาย”
หลายร้อยคนต่างรีบแสดงท่าทีอย่างรีบร้อน เกรงว่าหากพูดช้าไปจะถูกคนอื่นแย่งโอกาสการกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไป
“หากปฏิเสธเล่า” ซ่งเทียนจี๋พยายามสะกดความพลุ่งพล่านในใจถามไปอีกคำ
ความระมัดระวังของเขาทำให้มู่ชิงเกอชื่นชม นางจึงตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็กลับโลกแห่งยุคกลางไม่ได้แล้ว หากปฏิเสธข้าก็ไม่ทำอะไรพวกเจ้า แค่โยนออกไปเท่านั้น”
ซ่งเทียนจี๋สีหน้าเปลี่ยนทันที ดูน่าเกลียดมาก
โยนออกไปไม่ใช่เป็นการปล่อยให้พวกเขาทุกข์ทรมานจนตายหรือ ถึงแม้ไม่ตายก็คงต้องอยู่แบบสุนัขข้างถนน
ชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ
วิธีของมู่ชิงเกอนี้ ร้ายกาจยิ่งนัก ร้ายกาจจนเขาไม่มีโอกาสเลือกได้…ไม่ เหมือนมีทางให้ เลือก แต่จริงๆ แล้วไม่มีทางเลือกอื่นเลยต่างหาก
ซ่งเทียนจี๋สูดลมหายใจลึกๆ หลับตาลงช้าๆ เขาตัดสินใจแล้ว
เขาจัดท่าทางของตัวเองแล้วคุกเข่าลงบนพื้นหันเข้าหามู่ชิงเกอและทำความเคารพตามธรรมเนียม ร้องเสียงดังว่า “ซ่งเทียนจี๋ ยินดีกราบมู่ชิงเกอเป็นนาย ตลอดชาตินี้ไม่มีวันทรยศ”
เขาไม่ใช่คนโลเล ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องทำทันที และทำอย่างงดงามด้วย
จนเขาเคลื่อนไหวแล้วคนอื่นจึงรู้ตัว ต่างเลียนแบบเขา คุกเข่าข้างเดียวลงต่อหน้ามู่ชิงเกอ ก้มศีรษะที่เคยหยิ่งยโสของพวกเขาลง…