ตอนที่ 658
เจ้ากับเขา รอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“อาจารย์ข้าจะต้องฆ่าเขา” หลังจากมู่เทียนอินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนอู๋หวาให้ผู้เฝ้ามองฟังแล้วก็บอกเขาด้วยความแค้นเคือง
ความโกรธของเขา ความแค้นของเขา ไม่ใช่มีต่อผู้เฝ้ามอง แต่มีต่อมู่ชิงเกอ
“หากข้าไม่ได้ทายผิด ของสิ่งนั้นคงอยู่ในมือเขาแล้ว” ผู้เฝ้ามองฟังมู่เทียนอินจบแล้วก็ปิดตาสองข้างลงแล้วพูดช้าๆ
มู่เทียนอินได้ยินแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยน มองผู้เฝ้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แต่ข้าไม่รู้สึกว่าเขามีอะไรผิดปกตินะ คืนนั้นที่ข้าพบในเขาวงกตเก้าคดเคี้ยวไม่ใช่เขาแต่เป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง” มู่เทียนอินพูดอย่างไม่เชื่อ
นอกจากที่เห็นมู่ชิงเกอพยายามดิ้นรนเอาใจองค์หญิงชูเนี่ยนกับราชาเทวะอู๋หวาแล้ว นอกจากนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นอะไรอื่นเลย
“ผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นคนที่เขาส่งไปก็ได้” ผู้เฝ้ามองลืมตา ดวงตาที่ลึกลํ้านั้นมองไปที่ตัวเขาด้วยสายตาคลุมเครือ
ตาดำของมู่เทียนอินหดลงริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง สีหน้าดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น
เหตุใด…เวลานั้นเขาจึงไม่ได้คิดถึงจุดนี้
“ข้างกายเขา ข้าไม่เห็นมีผู้หญิง” มู่เทียนอินพูดเสียงเครียด เขายังไม่เชื่อ ไม่ยอมเชื่อว่ามู่ชิงเกอจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย
เขาพยายามปฏิเสธความรู้สึกนี้ แต่แววตาของผู้เฝ้ามองทำให้เขารู้สึกว่านี่เป็นเพียงความคิดลมๆ แล้งๆ ของตัวเองเท่านั้น
ผู้เฝ้ามองกลับพูดเรียบๆ ว่า “เจ้าอยู่ที่วังอู๋หวาถูกคนไล่ล่าเหมือนสุนัขข้างถนน ส่วนเขากลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลยแม้แต่นิด เห็นได้ถึงสติปัญญาที่เหนือกว่าคนทั่วไป”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของมู่เทียนอินเครียดลง ดูน่าเกลียดมาก
เขาคิดไม่ตกว่าเดนมนุษย์จากโลกข้างล่างอาศัยอะไรจึงมาเทียบกับตัวเองในตอนนี้ได้
เขายังจำได้ว่า ครั้งที่เขาไปยังหานชุ่นนั้น อาจารย์เขา ผู้เฝ้ามองแห่งตระกูลมู่ยังดูแคลนมู่ชิงเกออย่างมาก กระทั้งไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซํ้า
แต่ว่าคนที่พวกเขาต่างดูแคลนและไม่ใส่ใจกลับปีนขึ้นสู่ด้านบนทีละก้าว…ทีละก้าว กระทั้งนำหน้าพวกเขาไป
เหตุใดจึงเป็นไปได้เช่นนี้
เป็นไปไม่ได้
แววตามู่เทียนอินอึมครึมน่ากลัว เขาบอกผู้เฝ้ามองว่า “ท่านวางใจได้ข้าจะสังหารเขา”
ผู้เฝ้ามองหันมองเขาด้วยแววตาลึกลํ้าแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “เจ้าสมควรฆ่าเขาจริงๆ เพราะว่าระหว่างเจ้าทั้งสองสามารถรอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ตระกูลมู่เองก็ต้องการนายน้อยเพียงคนเดียว ใครแข็งแกร่งที่สุดคนนั้นก็คือนายน้อย เรื่องนี้ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้เป็นข้าเองก็ไม่ได้”
มู่เทียนอินผวา คาดเดาความหมายของผู้เฝ้ามอง
เพราะอะไร…เขาฟังออกถึงความหมายที่ไม่สู้ดีภายในนั้น เขารู้สึกว่าอาจารย์ตัวเอง อาจารย์ที่บ่มเพาะตัวเองมากับมือราวกับว่าไม่ได้สนับสนุนเขามากถึงเพียงนั้นแล้ว
ผู้เฝ้ามองเดินตรงมาที่เขา มองสองตาที่เหี้ยมจนน่ากลัวของเขาแล้วกล่าวว่า “ที่หานชุ่น เจ้าในสายตาข้านับว่าพ่ายแพ้ ครั้งนี้ที่ดินแดนอู๋หวาเจ้าไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทั้งยังถูกเขาป้ายความผิด เจ้าก็ยังคงแพ้ เจ้าแพ้ติดกันสองครั้งแล้ว หากครั้งที่สามยังคงแพ้อีก…”
พูดทิ้งไว้เพียงเท่านั้นผู้เฝ้ามองก็ถือไม้เท้าอ้อมผ่านมู่เทียนอินออกจากถํ้าของเขาไป
มู่เทียนอินยืนอยู่ที่เดิม สมองคิดทบทวนแต่คำพูดของผู้เฝ้ามอง สองมือที่วางอยู่ข้างลำตัวกำแน่นขึ้น
มาโดยไม่รู้ตัว
ในถํ้า มีเสียงข้อกระดูกกระทบกันดังขึ้น
“อยู่ที่นี่หรือ” มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่หอสูงแห่งหนึ่ง มองด้านหน้าที่ไกลออกไป ด้านหลังตัวนางมีหยินเฉินยืนอยู่ ทั้งยังมีหุ่นเทพมาร
บนหอสูงนั้นสามารถมองเห็นภาพส่วนใหญ่ของเมือง ชมทิวทัศน์ได้ทั้งเมือง
แต่ในสายตามู่ชิงเกอเวลานี้มีเพียงเรือนเล็กที่ไม่น่าดูหลังหนึ่งท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น
“อืม เขาพาคนเข้าไปในนั้น จากนั้นกลิ่นอายก็ไม่ได้ขาดหายไป” หยินเฉินผงกศีรษะบอกมู่ชิงเกอ
แววตามู่ชิงเกอเรียบนิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “สถานที่เล็กเช่นนั้น ไม่เหมือนเป็นรังของพวกเขา คงเป็นเพียงสิ่งอำพรางบนพื้นดิน รังของพวกเขาอยู่ที่…”
มู่ชิงเกอไตร่ตรองเล็กน้อยแววตาก็พลันวาววาบขึ้นมา พูดเสียงเครียดว่า “อยู่ใต้ดิน”
“ข้าก็คาดเดาไว้เช่นนี้ เพียงแต่เกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นก็เลยไม่ได้เข้าไปตรวจค้น” หยินเฉินว่า
“เจ้าทำเช่นนี้ถูกแล้ว’’มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ เห็นด้วยกับเขา
ตระกูลมู่หลบซ่อนในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรมานับหมื่นปี มีการตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวในบริเวณรอบๆ ได้ฉับไวยิ่งนัก หากหยินเฉินบุกรุกเข้าไป ทำให้พวกเขารู้ตัวแล้วเกิดพวกเขาหายตัวไปอีกจะทำอย่างไร
นางคิดจะทรมานมู่เทียนอินก่อนแล้วจึงสังหาร
อย่างแรกก็ต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
“ให้ส่งคนมาเฝ้าอยู่ที่นี่ รอจนเขาออกมาก่อนแล้ว ค่อยเคลื่อนไหวไหม” หยินเฉินถาม
มู่ชิงเกอกำลังจะตอบ กลับรู้สึกถึงลมประหลาดที่พัดมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมประบ่าของนางถูกพัดจนปลิวขึ้น นัยน์ตาที่ใสกระจ่างเย็นวาบขึ้นมา
หยินเฉินเองก็รับรู้ได้นัยน์ตาสีเลือดหดลง ยกมือจะโจมตีกลับ
หุ่นเทพมารได้รับความรู้สึกจากมู่ชิงเกอจึงหมุนตัวจะพุ่งขึ้นมา
แต่พวกเขาเพิ่งจะขยับก็มีพลังกระจายขึ้นระหว่างพวกเขา พลังนั้นกวาดผ่านร่างกายพวกเขาและตรึงพวกเขาให้หยุดอยู่กับที่ ไม่สามารถกระดุกกระดิกได้ มู่ชิงเกอเองก็เช่นเดียวกัน
นางตกตะลึงอย่างยิ่ง การประลองแบบที่ไม่อาจโต้กลับได้เช่นนี้นางไม่เคยเจอมานานเท่าไรแล้วนะ
ในเวลานั้นเอง บนยอดหอสูงก็ปรากฎชุดสีขาวค่อยๆ ปลิวพลิ้วลงมา ตามด้วยไม้เท้าและชายชราร่างผอมแห้ง หน้าตาราวไม้สลัก แววตาเย็นชาปนโหดร้าย ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้านาง
ชายชราคนนี้ให้ความรู้สึกลึกลับยากจะหยั่งถึง ราวกับรอบๆ ตัวมีหมอกควันที่ลึกลับสุดจะหยั่ง ปกคลุมความเป็นจริงทั้งหมดเอาไว้
พอเขาปรากฎตัว สายตาก็มองไปที่มู่ชิงเกอ นัยน์ตาคู่นั้นราวกับจะมองนางให้ทะลุปรุ โปร่ง
ความรู้สึกที่เหมือนถูกแยกร่างออกนั้นทำให้มู่ชิงเกอไม่สบายตัวอย่างมาก
“ผู้เฝ้ามอง” ขณะที่มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณนั้นนางจึงพบว่าความจริงตัวเองยังพูดได้
ส่วนหยินเฉินนั้น…
ขณะที่หางตานางกวาดผ่านก็พบว่าเขาแน่นิ่งไม่ขยับ แววตายังคงหยุดนิ่งอยู่ใน ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ นางจึงเข้าใจว่าผู้เฝ้ามองมีเรื่องจะคุยกับตนไม่ต้องการให้มีผู้อื่นรบกวน
“ดีมาก เจ้ารู้จักข้า” ผู้เฝ้ามองค่อยๆ เปิดปาก เกี่ยวกับการปรากฎตัวของมู่ชิงเกอนั้นเขาราวกับจะรู้อยู่แต่แรกแล้ว
มุมปากมู่ชิงเกอโค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ “ผู้เฝ้ามองมาเยือน เพราะมู่เทียนอินมีคำพูดอะไรต้องการให้ท่านบอกต่อหรือ”
“ไม่ เขาไม่รู้ว่าเจ้าหาที่นี่พบแล้ว” ผู้เฝ้ามองสั่นศีรษะช้าๆ
มู่ชิงเกอหรี่ตาสองข้าง ฟังออกถึงความหมายที่แฝงในคำพูด มู่เทียนอินไม่รู้ว่าเขามาหานาง และเขามาโดยปิดบังมู่เทียนอิน
“เช่นนั้น ผู้เฝ้ามองมาหาข้าเพราะอะไรหรือ” มู่ชิงเกอพูดอย่างนึกสนุก
สีหน้าผู้เฝ้ามองไม่ปรากฎอารมณ์ใดๆ นิ่งสงบจนไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขาว่า “ข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่า ระหว่างเจ้ากับเขา รอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”