Skip to content

พลิกปฐพี 628

ตอนที่ 628

แค้นของมู่เทียนอิน

ในเรือนที่ลั่วเฉา มู่ชิงเกอกับซือมั่วเก็บตัวไม่ได้ออกไปไหน แทบจะไม่เคยปรากฎตัว

เหล่ามนุษย์ธรรมดาที่ปรนนิบัติในเรือนมีมากมายที่ไม่รู้ว่าในบ้านมีแขกพิเศษอยู่สองคน

ระยะนี้ สายสืบของซือมั่วยังคงติดตามข่าวคราวของมู่เทียนอิน ส่วนมู่ชิงเกอก็รีบใช้เวลาช่วงนี้ ประทับตราทาสบนร่างของทุกคน

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรได้หลอมรวมตราทาสเรียบร้อยแล้ว

แต่เนื่องจากขั้นบำเพ็ญพวกเขายังไม่ถึงขั้น ดังนั้นถึงแม้หลอมรวมตราทาสแล้วก็ยังไม่ถึงขั้นบำเพ็ญที่มีในแผ่นดินเทพมารอยู่ดี

ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มีเพียงอย่างเดียวคือ พวกเขาสามารถบำเพ็ญในแผ่นดินเทพมารได้

ตามที่ราชครูพูดไว้ ขอเพียงให้เวลาเขาบ้าง เขาก็จะทำให้มู่ชิงเกอมีไพ่เหนือขั้นที่ทรงพลังสูงยิ่ง เวลานี้คนที่สามารถอยู่ข้างกายนาง ให้นางเรียกใช้ได้ นอกจากพวกหยินเฉินสามคนแล้วก็คงมีพวกซ่งเทียนจี๋เท่านั้น

ในโลกใบเล็ก มู่ชิงเกอเรียกซ่งเทียนจี๋มาพบเพียงลำพัง

ซ่งเทียนจี๋ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกออย่างเรียบร้อย เม้มปากไม่เอ่ยคำ

เขาเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวมาก ก่อนนั้นเขาเป็นศัตรูกับมู่ชิงเกอได้ แต่หลังจากประทับตราทาสแล้ว เขาก็สามารถปรับตัวรับสภาพการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทันที ไม่เหลือความบาดหมางใดๆ ในจิตใจอีก

‘ตราทาสนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ คงไม่ใช่เพียงแค่ให้พวกเราสามารถบำเพ็ญได้เท่านั้น’ ซ่งเทียนจี๋คิด ในขณะที่มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

จริงดังนั้น มู่ชิงเกอเอ่ยปากบอกให้เขาทราบถึงการคาดเดานี้

“ซ่งเทียนจี๋ เจ้าคงอยากรู้มากสินะว่าตราทาสนี้หากทรยศข้าแล้วจะเป็นอย่างไร” มู่ชิงเกอเอาสองมือไพล่หลังค่อยๆ หันมา ดวงตาที่ใสกระจ่างจ้องมองเขา “ข้าบอกเจ้าได้ หากทรยศข้าตราทาสบนตัวเจ้าจะระเบิดออกเอง ทำลายทุกอย่างของเจ้า ทั้งร่างกาย วิญญาณ แม้กระทั้งปัญญาเทวะล้วนสูญสิ้นทั้งหมด”

ตาดำซ่งเทียนจี๋หดลงรีบคุกเข่าแสดงท่าที “นายน้อยโปรดวางใจ ในเมื่อพวกเราถูกตีตราทาสแล้ว ชาตินี้จะไม่ทรยศนายน้อยอย่างเด็ดขาด”

มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ “ดีมาก จำคำพูดวันนี้ของเจ้าไว้ให้ดี”

ซ่งเทียนจี๋แอบผ่อนลมหายใจ

เขาเข้าใจดีว่า เขายังมีคนอื่นที่ไม่ได้ขึ้นกับมู่ชิงเกอ ทั้งไม่ได้เป็นผู้ใกล้ชิด หากจะให้นางเปลี่ยนทัศนคติหรือเชื่อถือพวกเขาจริงจัง ย่อมต้องมีผลพิสูจน์ ผลงานตัวเองที่เห็นได้ชัด

คนอื่นเขาไม่สามารถรู้ได้ แต่ตัวเอง…

แววตาซ่งเทียนจี๋แปรเปลี่ยน ในเมื่อเป็นนายบ่าวแล้วเขาก็จะต้องทำผลงานอะไรให้มู่ชิงเกอได้เห็น ไม่ใช่อยู่อย่างไร้ค่า เสียเวลาไปชาติหนึ่ง

“รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าจึงเรียกเจ้ามาคนเดียว” มู่ชิงเกอถาม

ดวงตาซ่งเทียนจี๋เปล่งประกาย

ทำไมเขาจึงถูกเรียกมาที่นี่นั้น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร นี่เป็นโอกาสของเขา ถึงแม้จะเข้าใจ แต่หลังจากแอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่งแล้วก็สั่นศีรษะช้าๆ “ข้าน้อยไม่ทราบ ขอนายน้อยช่วยไขข้อสงสัยด้วย”

การเป็นนายบ่าว บางเวลาแม้รู้เรื่องก็ยังต้องแกล้งโง่ อย่าทำตัวเหนือเจ้านาย

คำตอบของเขาทำให้มุมปากมู่ชิงเกอเชิดขึ้น แฝงรอยยิ้มเยาะ ดวงตาหรี่ลงแล้วพูดเยาะว่า “อยู่ต่อหน้าข้า รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ไม่ต้องมาเอาใจข้า ไม่ต้องปิดบังความคิดตัวเอง”

กลเล็กๆ แค่นี้ทำไมนางจะดูไม่ออก

ซ่งเทียนจี๋สะดุ้ง ไม่กล้าเล่นลิ้นอีก เขาลุกขึ้นยืนตามที่มู่ชิงเกอให้สัญญาณ “นายน้อยให้ข้ามาเพียงลำพัง คงเห็นฝuมือเล็กน้อยที่ข้าพอมี อยากให้เทียนจี๋ดูแลพวกนั้นให้ดีๆ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “พวกเจ้าอยู่ในโลกแห่งยุคกลางล้วนเป็นผู้กล้าชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่เคยถูกใครควบคุมมานานหลายปี เวลานี้มาทำงานเป็นลูกน้องข้าก็ไม่อาจไร้ระเบียบวินัยได้ หากเอาแต่ใจจะสั่งสอนได้อย่างไร ข้าไม่มีเวลาจึงขอมอบให้เจ้าแทน จำไว้ว่า ที่นี่คือแผ่นดินเทพมารไม่ใช่โลกแห่งยุคกลาง ความหยิ่งยโสที่พวกเจ้าเคยมีก็จงเก็บมันเอาไว้ให้ดี”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ซ่งเทียนจี๋หลุบตาพูด

“เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด คนฉลาดทำมักเรื่องฉลาด ไม่ว่าในใจพวกเจ้าจะยอมรับข้าหรือไม่ เวลานี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งปี ภายในหนึ่งปี เจ้าต้องทำให้คนทั้งหมดแทรกซึมเข้าไปในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรให้หมด” มู่ชิงเกอมองเขา แววตามืดลงพลาง พูดว่า “เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

เขาเข้าใจความหมายจากสายตาทั้งมืดหม่น และใสกระจ่างของนาง นางจะใช้พวกเขาเป็นตัวหมาก วางกระดานหมากไว้ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร

“นายน้อย ไม่ให้พวกเราคุ้มกันอยู่ข้างกายนายน้อยหรือ” ซ่งเทียนจี๋สะท้านใจ อดถามไม่ได้

มู่ชิงเกอส่ายหน้า

ไม่ต้องพูดว่าฝีมือพวกซ่งเทียนจี๋มีพอคุ้มกันนางได้หรือไม่ ต่อให้มีพอนางก็ไม่ใช่พวกมีนิสัยจะต้องมีคนคุ้มกันมากมาย

อีกทั้ง นางยังมีทั้งหุ่นเทพมาร มีโห่ว มีไป๋สี่ กับหยินเฉิน นี่เพียงพอแล้ว

“ภารกิจพวกเจ้าคือเพิ่มตบะบำเพ็ญตัวเองให้เร็วที่สุด แล้วเข้าไปในแดนเทพต่างๆ ของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร โดยเฉพาะแผ่นดินเทพตะวันตก เจ้าต้องวางกำลังคนไว้หนึ่งในสาม ที่เหลือสองในสามเจ้าก็กระจายไปอีกสามแผ่นดินเทพ” วิธีนี้มู่ชิงเกอหัดมาจากซือมั่ว

วางกำลังคนฝังตัวเองเข้าไปในที่ต่างๆ ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจะสามารถจู่โจมข้าศึกให้ถึงตายได้

ส่วนทำไมต้องวางกำลังคนไว้ที่แผ่นดินเทพตะวันตกมากกว่าหรือ นั่นก็เพราะที่นี่เป็นแผ่นดินเดิมของตระกูลมู่ อีกทั้งศัตรูของตระกูลมู่ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นี่กัน

“ตัวเจ้าเองก็จงอยู่ที่แผ่นดินเทพตะวันตก” มู่ชิงเกอบอกซ่งเทียนจี๋

การจัดการของนางทำให้ซ่งเทียนจี๋ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นว่า มู่ชิงเกอให้ความสำคัญกับแผ่นดินเทพตะวันตกมาก

ซ่งเทียนจี๋ผงกศีรษะยอมรับการจัดแจงของมู่ชิงเกอ

ที่แผ่นดินเทพตะวันตก ในเมืองมนุษย์ธรรมดา ใต้ดินของเรือนเปลี่ยวที่มีเส้นทางมากมายนั้น มู่เทียนอินตื่นขึ้นจากการบำเพ็ญ สีแดงบนใบหน้าลดลง ปรากฎสีหน้าที่อึมครึมของเขา

ดวงตาของเขากลอกกลิ้งไปมา เต็มไปด้วยความรุนแรงโหดเหี้ยม

เวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา

มู่เทียนอินมองไปเห็นไม้เท้า เมื่อรู้ว่าใครมาสีหน้าจึงผ่อนคลายลง

“เทียนอิน ยังเคลื่อนลมปราณได้ไม่คล่องหรือ” ผู้เฝ้ามองเดินมาเบื้องหน้ามู่เทียนอินแล้วขมวดคิ้วถาม

ใบหน้ามู่เทียนอินอึมครึมยิ่งนัก เขาผงกศีรษะช้าๆ มือซ้ายกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว แขนขวาที่ใหญ่กว่าแขนซ้ายกลับยังคงสงบนิ่ง

เขานึกไม่ถึงว่าการรบที่หานชุ่นครั้งนั้นจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้

แค่มดปลวกตัวเล็กๆ ในโลกแห่งยุคกลางถึงขนาดทำให้เขาบาดเจ็บได้เพียงนี้

แววตามู่เทียนอินมืดคลํ้าส่องประกายความแค้นที่สุมอยู่เต็มอก ในใจเขานั้นได้จับมู่ชิงเกอมากระทำทารุณไปแล้วไม่รู้กี่รอบ

เวลานี้ คนที่เขาแค้นจนเข้ากระดูกมาถึงแผ่นดินเทพแล้ว ทั้งยังเป็นถึงราชาเทวะน้อยแดนฮ่วนเยวี่ย ของแผ่นดินเทพตะวันออกด้วย

เป็นไปได้อย่างไร

ทำไม

ทำไมในเมื่อเขาเองก็แซ่มู่ อยู่ในแผ่นดินเทพมาตั้งแต่เกิดกลับต้องซ่อนอยู่ใต้ดินที่มืดมิดเหมือนหนูตัวหนึ่งเพื่อเอาชีวิตรอด วันๆ พบแต่การตามฆ่าล้างที่ไม่เคยจบสิ้น

ส่วนมดปลวกตัวนั้นหรือ เกิดที่โลกข้างล่างแท้ๆ กลับสามารถมาถึงแผ่นดินเทพมาร ทั้งยังเข้าแดนเทพมาอย่างสง่าผ่าเผย ได้เป็นถึงราชาเทวะน้อย

ทำไมชะตาชีวิตของสองคนจึงต่างกันราวฟ้ากับดินเช่นนี้

“อาจารย์ ข้าต้องการให้ท่านทำเรื่องหนึ่ง” มู่เทียนอินใช้สายตาที่เคืองแค้นจ้องผู้เฝ้ามอง

ผู้เฝ้ามองไม่ได้เอ่ยคำเพียงมองเขา

“ข้าอยากให้ท่านเปิดเผยเรื่องฐานะของมู่ชิงเกอออกไป ข้าต้องการให้เขาตกจากปุยเมฆไปสู่ก้นเหว ให้เขาลิ้มรสการถูกตามสังหาร ต้องหลบซ่อนเพื่อเอาชีวิตรอดตลอดทุกคืนวัน” มู่เทียนอินพูดด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน

ประกายตาผู้เฝ้ามองเกิดแสงวูบหนึ่ง จุดเล็กน้อยนี้ มู่เทียนอินที่กำลังคลั่งแค้นไม่ทันได้สังเกตเห็น

เขาบอกมู่เทียนอินว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน ที่เร่งด่วนเวลานี้ก็คือจัดการปัญหาของตัวเจ้าก่อน”

มู่เทียนอินชะงักไป แววตาเปลี่ยนเป็นเฉียบคม เขาผงกศีรษะช้าๆ บอกผู้เฝ้ามองว่า “ข้าเตรียม

พร้อมแล้ว สามารถเริ่มได้ทุกเวลา”

ผู้เฝ้ามองผงกศีรษะบอกเขาว่า “การหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพ ผลที่ได้สุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครรู้ สิทธิ์แห่งเทพของเซิ่งจิ่ง แม้จะไม่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่คนที่แข็งแกร่งกว่านี้พวกเขาก็ไม่กล้าลงมือกัน เจ้าก็ยอมรับไว้แล้วกัน”

“ยอมรับไว้หรือ” แววตามู่เทียนอินหม่นลง เขาไม่ต้องการแค่ของที่พอฝืนใช้ได้   แต่จะต้องดีที่สุด

แต่ก่อนนี้ เขาอาจพอจะยอมรับได้ แต่เวลานี้รู้ข่าวมู่ชิงเกอแล้ว สิ่งที่เขาอยากได้ต้องดีที่สุด

“อาจารย์” ทันใดนั้นเขาก็บอกผู้เฝ้ามองว่า “ในเมื่อมู่ชิงเกอมาถึงแผ่นดินเทพก็ย่อมได้สิทธิ์แห่งเทพแล้ว ในเมื่อคนอื่นพวกเขาไม่กล้าลงมือก็ให้พวกเขาไปเอาสิทธิ์แห่งเทพของมู่ชิงเกอมาเถอะ”

ผู้เฝ้ามองพูดอย่างคลุมเครือว่า “ในแผ่นดินเทพมาร นอกจากตายเท่านั้น ไม่อย่างนั้นสิทธิ์แห่งเทพจะไม่ยอมจากไป เจ้าอยากให้พวกเขาลงมือ ไม่อยากจบความแค้นนี้ด้วยมือตัวเองแล้วหรือ”

“…” มู่เทียนอินเงียบไป

ทำไมเขาจะไม่อยากฆ่ามู่ชิงเกอด้วยมือตัวเอง

“อีกทั้ง เวลานี้เขาเป็นราชาเทวะน้อยแดนฮ่วนเยวี่ย เรื่องของเซิ่งจิ่งทำให้ทุกคนต่างระวังตัว ก่อนนั้น ราชาเทวะน้อยแดนฮ่วนเยวี่ยหายไป กว่าจะได้มาสักคนหนึ่ง พวกเขาคงไม่ยอมให้มู่ชิงเกอมีอันตรายแน่” ผู้เฝ้ามองบอกมู่เทียนอิน

“เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นราชาเทวะน้อยไม่สำเร็จ” มู่เทียนอินกัดฟันพูด ความอิจฉาริษยาในแววตาทำให้ความคิดเขาเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมา

ผู้เฝ้ามองมองเขาแล้วก็หยิบกล่องที่ใส่สิทธิ์แห่งเทพออกมา “หลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพก่อน”

มู่เทียนอินมองกล่องแล้วสูดลมหายใจลึกๆ ปรับอารมณ์ให้สงบ ผงกศีรษะอย่างแรง นี่เป็นความหวังของเขา หลังจากหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพแล้ว พรสวรรค์ของเขาจะคืนกลับกระทั่งดียิ่งกว่าเดิม ต้องมีสักวันที่เขาจะฆ่ามู่ชิงเกอด้วยมือตัวเอง ล้างแค้นให้ตัว เอง

“ปรับอารมณ์ ความคิดห้ามฟุ้งซ่าน ตั้งสมาธิไว้ ปล่อยร่างกายตามสบาย” ผู้เฝ้ามองเตือน

มู่เทียนอินผงกศีรษะ สูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งหนึ่งแล้วยืดตัวตรง หลับตาสองข้างลง

“ปล่อยสิทธิ์แห่งเทพของเจ้าออกมา” ผู้เฝ้ามองพูด

มู่เทียนอินทำตามที่เขาสั่งปล่อยสิทธิ์แห่งเทพของตัวเองออกมา รูปร่างทรงกระจับเงาใสค่อยๆ ลอยออกมาจากหน้าผากแล้วหยุดนึ่งไม่ขยับเขยื้อน

แสงใสกระจ่างนั้นสาดส่องลงมาปกคลุมทั้งร่างของเขาไว้ ทำให้ความอึมครึมหมดไปจากร่างของเขา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version