ตอนที่ 629
ข้าห่วงหาอาวรณ์เจ้า
ภายในถํ้า เงียบสงบยิ่งนัก
ผู้เฝ้ามองมือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งถือกล่อง
เขามองมู่เทียนอิน มือที่ถือไม้เท้ายกไม้เท้าแตะกล่องในมืออีกข้างเบาๆ พลังเทพปลิวออกมาจากไม้เท้าวนเวียนกล่องครู่หนึ่ง แล้วเปิดกล่องออกอย่างง่ายดาย
พอฝากล่องเปิด สิทธิ์แห่งเทพภายในก็เผยโฉมให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง
สิทธิ์แห่งเทพนี้เหมือนของมู่เทียนอินไม่มีผิด ดูจากภายนอกไม่มีอะไรต่างกันเลย ขณะที่เปิด ฝากล่องออก สิทธิ์แห่งเทพภายในก็พยายามดิ้นรน แต่ก็ถูกกักไว้ด้วยอาคมของกล่องทำให้ไม่สามารถหนีรอดไปได้
ไม้เท้าในมือของผู้เฝ้ามองแตะลงที่กล่องอีกครั้ง ตาข่ายสีแดงที่กักสิทธิ์แห่งเทพไว้หายไป พอหลุดจากพันธนาการ สิทธิ์แห่งเทพก็หนีออกจากกล่องอย่างรวดเร็ว คิดจะพุ่งออกจากถํ้า
มู่เทียนอินอยู่ในสมาธิโดยสมบูรณ์ไม่รับรู้เรื่องโลกภายนอกทั้งหมดแล้ว
ส่วนสิทธิ์แห่งเทพของเซิ่งจิ่งขณะที่กำลังหลบหนีไปด้านนอกนั้นก็ถูกกระแสพลังสายหนึ่งดึงกลับเข้ามา พลังนั้นมาจากสองนัยน์ตาแดงของสัตว์ประหลาดที่หัวไม้เท้าของผู้เฝ้ามอง สองตาของมันปล่อยแสงสีแดงออกมาสองสาย มัดสิทธิ์แห่งเทพเอาไว้และค่อยๆ ดึงมันกลับมาที่เบื้องหน้าผู้เฝ้ามอง
“ถึงมือข้าแล้ว ยังกล้าดื้อดึงอีกรึ” ผู้เฝ้ามองยกไม้เท้าตีลงไปบนสิทธิ์แห่งเทพอย่างแรงโดยทันที ปัญญาเทวะที่เหลืออยู่บนสิทธิ์แห่งเทพของเซิ่งจิ่งถูกตีจนแตกสลายกลายเป็นแสงระยิบระยับหายไป สิทธิ์แห่งเทพถึงแม้จะยังดิ้นรนอยู่ แต่ไม่ได้พยายามหนีไปแล้ว
การดิ้นรนของสิทธิ์แห่งเทพนั้นเป็นสัญชาตญาณ เนื่องจากมันพยายามจะเข้าไปในสุสาน เพื่อรอเจ้านายคนต่อไป มันขึ้นอยู่กับที่นั้น สิ่งนั้นเป็นทางเลือกของมันตามสัญชาตญาณ
เวลานี้มันดิ้นจนสุดแรงก็ยังไม่สามารถหนีรอดไปได้จึงจำต้องยอมสงบลง
เห็นสิทธิ์แห่งเทพค่อยๆ สงบลง ผู้เฝ้ามองก็แค่นเสียงฮึไปทีหนึ่งแล้วนำมันกลับมาที่เบื้องหน้ามู่เทียนอิน
ในเรือนที่ลั่วเฉา มู่ชิงเกอได้ออกมาจากช่องว่างแล้ว นางยืนอยู่ในลานและกำลังแหงนหน้ามองหมู่ดาวอยู่
ซือมั่วอยู่ข้างกายนาง ไม่ได้พูดจา
มู่ชิงเกอ มองหมู่ดาว แต่เขามองมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างกาย
เป็นเวลานาน มู่ชิงเกอจึงถอนสายตาแล้วมองไปที่ตัวเขา เมื่อเห็นเขาจ้องมองตัวเองอย่างจริงจัง นางก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “เจ้ามองอะไรหรือ”
“แน่นอนว่ามองเจ้า” ซือมั่วตอบโดยไม่ลังเล การตอบตรงๆ ไม่อิดเอื้อน ไม่มีสะดุดทำให้ มุมปากมู่ชิงเกอเชิดขึ้นแล้วบ่นออกมาว่า “ข้ามีอะไรน่าดูกัน”
“ในใจข้า ในสายตาข้า เจ้าน่าดูที่สุด” ซือมั่วพูดต่อ
คำพูดของเขาทำให้แววตามู่ชิงเกอฉายแววประหลาดใจขึ้น นางถามอย่างงุนงง “คืนนี้เจ้าเป็นอะไรไปจึงพูดจาเหมือนเคลือบด้วยนํ้าผึ้งเช่นนี้”
ซือมั่วยิ้ม “ข้าพูดคำหวานกับเจ้าไม่ได้หรือ”
มู่ชิงเกอสั่นศีรษะช้าๆ “ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ข้าไม่ชิน”
“ต่อไปก็ชินเอง” ซือมั่วเข้ามาใกล้นาง จับมือนางมากุมไว้ในมือตัวเอง เคียงคู่ชมดาวด้วยกัน
ท้องฟ้า แผ่นดินเทพมารราวกับอยู่ใกล้กว่าแผ่นดินของโลกอื่น
ดวงระยิบระยับบนท้องฟ้า คล้ายเอื้อมมือจับถึง
“ดวงดาวพวกนี้ เป็นดาวที่พวกเราเห็นในมหาสมุทรดวงดาวหรือไม่” มู่ชิงเกอถาม
“บางส่วนใช่ บางส่วนไม่ใช่” ซือมั่วตอบ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “ดวงดาวเป็นตัวแทนถึงสิ่งใดกันแน่”
“เป็นโลกแต่ละแห่ง” ซือมั่วอธิบาย
“โลกหรือ” มู่ชิงเกอพึมพำ คิดในใจว่า ‘หากดวงดาวเหล่านี้เป็นตัวแทนโลกแต่ละแห่ง เช่นนั้น ข้าจะสามารถหาดาวที่ชาติก่อนข้าเคยอยู่ในมหาสมุทรดวงดาวนี้ได้หรือไม่นะ ดาวโลกนั้นยังมีข้าอยู่หรือเปล่านะ’
“เมื่อไหร่กันนะ พวกเราจึงจะวางเรื่องทั้งหมดลงได้ แล้วไปเที่ยวดูบนดาวเหล่านั้น” มู่ชิงเกอบอกความใฝ่ฝันของตัวเอง
นางไม่เพียงอยากท่องเที่ยวไปในโลกทั้งสามพันใบ แต่ยังอยากหาเจียงหลีให้พบด้วย ยังมีอีก…โลกที่เคยเป็นบ้านเดิมของนาง
“คงมีสักวัน” ซือมั่วกุมมือนางแน่นขึ้น “รอให้เจ้าจัดการเรื่องทั้งหมดให้แล้วเสร็จ รอให้ลูกของเราสืบทอดตำแหน่งเจ้าแห่งแดนมารแล้ว พวกเราก็สามารถไปดูโลกทุกแห่งที่ต้องการด้วยตาของเราเอง
พอเอ่ยถึงลูก ใบหน้ามู่ชิงเกอแดงเรื่อขึ้นมา
เมื่อนางนึกถึงเรื่องเผ่ามารตั้งครรภ์สามปีขึ้นมา ทั้งนึกถึงเรื่องที่ปลอมว่ามีครรภ์เข้าไปอาศัยในวังไท่ฮวงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“รอจนถึงวันนั้น พวกเราก็แก่ชราแล้ว” พูดคำนี้จบมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าพูดผิดไป เนื่องจากผู้ชายข้างกาย นางมีอายุหลายหมื่นปีแล้ว
นึกถึงจุดนี้แล้วนางก็แกล้งกระแอมแก้เขิน
ยังดีที่ซือมั่วไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิด เพียงแค่ตอบอย่างมั่นคงว่า “ไม่หรอก พวกเรายังมีเวลาอีกยาวนาน เพื่อเจ้า ข้าจะไม่ยอมจากไปก่อน เพราะข้าอาลัยอาวรณ์เจ้า”
คำพูดที่จริงจังของซือมั่วทำให้มู่ชิงเกอเกิดตกใจ รู้ลึกไหวหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
นางมองไปที่ซือมั่วดวงตาดำขลับสะท้อนภาพงดงามไม่มีที่ติของเขา ความไม่สบายใจไม่ใช่ เพราะคำว่า ‘อาลัยอาวรณ์’ ของซือมั่ว แต่เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจนาง ที่นางไม่สามารถปลดเปลื้องออกไปได้ต่างหาก
เช่น…เคราะห์เป็นตายของซือมั่วคืออะไรกันแน่
เช่น สิ่งที่นางเห็นที่น้ำพุแห่งอนาคตในถํ้าจิ่วเฉวียนจะปรากฎในอนาคตเวลาใดเวลาหนึ่งจริงหรือ แล้วนางจะต้องทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือ เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต
เรื่องนี้เป็นความลับที่เก็บอยู่ในใจ แม้แต่ซือมั่วนางก็ไม่ยอมบอก
“อายุขัยสูงสุดของขั้นศักดิ์สิทธิ์มีกี่ปีหรือ” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยถาม
ดวงตาสีอำพันของซือมั่วผุดความสงสัย เขามองนางยิ้มแล้วบอกว่า “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามเรื่องนี้”
มู่ชิงเกอยิมเรียบๆ “ไม่มีอะไร แค่อยากรู้เฉยๆ”
ซือมั่วยื่นมือมาจัดผมที่หน้าผากนาง กระซิบถามว่า “เจ้ากลัวว่าข้าจะจากไปเร็วเกินไปหรือ ไม่ต้องกลัวเสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้ายังอยู่ได้อีกหลายแสนปี อีกทั้งข้าจะไม่ยอมให้วันนั้นมาถึง เพื่อเจ้า ข้าจะพยายามบำเพ็ญ ก้าวเข้าไปในด่านนั้นยืดอายุขัยของข้าไม่ให้สิ้นสุด เนื่องจากมีเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่ยอมตายง่ายๆ”
“ด่านไหนหรือ” มู่ชิงเกอถาม
ซือมั่วผงกศีรษะนิดๆ ตั้งใจจัดผมมู่ชิงเกอ แล้วพูดง่ายๆว่า “เหนือขั้นศักดิ์สิทธิ์ ยังมีขั้นตาม ตำนาน ที่ถูกเรียกว่าขั้นบรรพเทพ เล่าลือกันว่าหากเข้าสู่ขั้นนี้แล้วก็จะเป็นอมตะ ไม่ตายไม่ดับสุญ มีอายุขัยเทียบเท่าฟ้าดิน”
“ตามตำนานเคยมีใครไปถึงหรือไม่” มู่ชิงเกอถาม
“ไม่รู้” ซือมั่วสั่นศีรษะ
คำตอบนี้…
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ถอนหายใจ ‘เวลานี้จะคิดมากไปทำไม ขั้นนี้อยู่ห่างจากข้าไกลเกินไป ส่วนซือมั่ว…เขายังมีอีกหลายแสนปีเพื่อแสวงหา ที่ข้าต้องคิดคือจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร เพื่อจะได้ยกระดับความแข็งแกร่ง’
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” ทันใดนั้น ซือมั่วก็เรียกมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาที่ใสแจ๋วสะท้อนเงาร่างที่ใหญ่โตของเขา
“ข้าอาจจะอยู่กับเจ้าได้อีกเดือนหนึ่งเท่านั้น” ซือมั่วพูดอย่างอาลัยอาวรณ์
“เจ้าจะไปแล้วหรือ” เสียงมู่ชิงเกอเครียดลง นางรู้ว่าซือมั่วยุ่งมาก รู้ว่าเขาไม่สามารถอยู่เคียงข้างนางได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในแผ่นดินเทพ การอยู่ที่นี่ตลอดสามารถมีอันตรายได้ทุกเวลา เพิ่มความเสี่ยงในการเปิดเผยตัวตน สตินางบอกนางว่าซือมั่วควรจากไปให้เร็วที่สุด กลับไปสู่แดนมาร แว่นแคว้นที่เป็นของเขาเอง แต่ในความรู้สึก นางก็สุดแสนอาลัย ไม่อยากให้ซือมั่วจากไปเร็วเช่นนี้…
‘ข้ากลายเป็นคนขี้อ้อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ’ มู่ชิงเกอตำหนิตัวเองในใจ
ซือมั่วผงกศีรษะ “ระยะนี้ข้าคล้ายจะทะลวงขอบเขต ข้าจะเตรียมกลับไปปิดประตูบำเพ็ญ ดูว่าจะทะลวงด่านสุดท้ายนั้นได้หรือไม่ ถึงแม้มีความเป็นได้ที่จะล้มเหลวสูงมากแต่ก็ไม่เป็นไรประสบการณ์ที่สะสมไว้แต่ละครั้งจะทำให้เข้าใกล้จุดนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ”
“เจ้าจะปิดประตูบำเพ็ญหรือ” มู่ชิงเกอร้องเสียงหลง นางเข้าใจได้ในทันทีว่า ทำไมซือมั่วจึงเสี่ยงภัยมาอยู่ด้วยกับนางซํ้าแล้วซํ้าเล่า เนื่องจากพวกเขาอาจจะไม่ได้พบกันอีกนาน
ซือมัวว่า “อืม เวลาที่ใช้ในการปิดประตู บำเพ็ญ ข้ายังไม่รู้ว่าจะนานเท่าไร อาจจะหนึ่งปี สิบปี หรือร้อยปี อย่างไรก็ตาม เวลาที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ พวกกู่หยากู่เย่จะคอยรับคำสั่งเจ้าตลอดเวลา ไป่สือเจ้าก็รู้จักแล้ว หากมีความจำเป็นก็ให้เขาทำงานให้เจ้าได้หากเจ้าเจอคนที่สู้ไม่ได้ก็อย่าเสี่ยง รอข้าออกมาจัดการให้เจ้าเอง”
สิบปี ร้อยปี…
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึก นางรู้ว่าในแผ่นดินเทพมาร การปิดประตูบำเพ็ญร้อยปีพันปีเป็นเรื่องธรรมดามาก ดังนั้นต่อให้พวกเขามีอายุขัยมากถึงหลายแสนปี ความจริงพอปิดประตูบำเพ็ญก็ใช้ไปแล้วหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในสิบ
จะได้พบใหม่เมื่อไรก็ไม่รู้ ความอาลัยของมู่ชิงเกอในจิตใจราวกับน้ำที่ไหลบ่า ท่วมท้นจนสตินางหายไปหมด
นางอิงแอบอยู่ในอกซือมั่วแล้วกอดเขาแน่น ออดอ้อนออเซาะเขาเป็นครั้งแรก “ปิดประตูบำเพ็ญในช่องว่างข้าได้ไหม” เช่นนั้นแล้ว ในขณะที่นางคิดถึงอย่างน้อยก็ยังไปดูเขาได้
คำพูดเด็กๆ ของนางทำให้ดวงตาสีอำพันของซือมั่วผุดความอบอุ่นขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาแสดงท่าทีพึ่งพิงเขา อาลัยเขาและออเซาะเขา
หากเป็นไปได้ เขาไม่อยากปฏิเสธเลยจริงๆ ไม่อยากให้นางผิดหวัง
แต่…
ไม่รอคำตอบซือมั่ว มู่ชิงเกอก็ควบคุมอารมณ์ได้นางผละออกจากอ้อมกอดซือมั่ว แหงนหน้า เล็กน้อยมองเขาแล้วว่า “ไม่ต้องถือเป็นจริงจังหรอก ข้าแค่พูดเล่น เจ้าปิดประตูบำเพ็ญดีๆ ข้าจะรออยู่ข้างนอก ไม่แน่ว่าพอเจ้าออกจากการบำเพ็ญ ข้าก็ไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว
เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” คำพูดมู่ชิงเกอทำให้ซือมั่ว ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เขาคิดอยากจะแข็งแกร่งมากขึ้น มีพลังที่สูงขึ้น เนื่องจากมีเพียงเช่นนี้เทำนั้นเขาจึงจะเป็นที่พึ่งพิงที่แข็งแกร่งที่สุดของมู่ชิงเกอ เป็นโล่ระวังหลังให้กับนางได้
เมื่อคิดจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขาก็ต้องยอมตัดใจให้จากกันก่อนในวันนี้
“ข้าไม่เป็นไรหรอก รอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จ ไม่แน่ว่าข้าก็จะปิดประตูบำเพ็ญ รอจนข้าออกมา เจ้าก็อาจจะออกมาด้วย” มู่ชิงเกอปลอบใจ
ประกายตาซือมั่ววูบวาบ กลืนคำพูดมากมายกลับลงไป เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง ข้าจะเร่งค้นหาให้เจ้า เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าจำไว้ ความลับของการเข้าสู่ขั้นบรรพเทพหลายคนบอกว่าซุกซ่อนอยู่ในเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง หากเจ้าได้มาแล้วจะต้องเก็บซ่อนไว้ให้ดีอย่าให้คนนอกรู้เด็ดขาด”
เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างถึงขนาดซุกซ่อนความลับการเข้าสู่ขั้นบรรพเทพไว้หรือ
มู่ชิงเกอถูกข่าวนี้ทำให้สะท้านไป แต่เวลานี้ยังไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องนี้นางใช้สองมือประคองใบหน้าซือมั่ว ใช้เท้าตัวเองเหยียบบนรองเท้าซือมั่วแล้ว จูบเขา…
“ราตรีสุขสันต์นั้นสั้นนัก นวลนางอย่าได้พลั้งพลาดไป”