Skip to content

พลิกปฐพี 31

ตอนที่ 31

แหวนซวีหมี ป้ายไร้อักษร

ท้องฟ้า ค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว

พอรู้ว่าจะถึงเวลาที่โย่วเหอและฮวาเยวี่ยจะมาช่วยแต่งตัว มู่เกอก็รู้ว่าเวลาที่จะมาเตร่อยู่ข้างนอกแบบนี้หมดลงแล้ว

ถํ้าถูกทำลายเสียจนราบคาบ

พอมู่เกอเดินมาหยุดตรงหน้าศพของผู้เฒ่าเป่ยหมิง ก็คุกเข่าลง มือทั้งคู่คลำสำรวจบนตัวเขาอย่างละเอียด

ปกติแล้วของมีค่าที่สุดจะต้องพกติดตัวเอาไว้

แม้ว่าคุณชายตระกูลมู่จะไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง แต่ว่าเจ้าเฒ่าบัดซบนี่ทรมานเธอมาทั้งคืนและยังทำให้เธอเกือบตาย ยังไงก็ต้องได้ของอะไรมาปลอบประโลมจิตใจดวงน้อยที่ได้รับการกระทบกระเทือนของเธอเสียหน่อย

แต่ว่า พอมู่เกอค้นทั่วร่างกายของผู้เฒ่าเป่ยหมิงดูแล้ว กลับต้องเศร้าที่พบว่าเจ้าเฒ่าบัดซบนี่ ไม่ได้พกอะไรติดตัวเลย

ซือมั่วมองท่าทางของมู่เกอ ก็เดาออกว่านางคิดจะทำอะไร

เขายิ้มมุมปาก ในแววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ไม่ได้มีท่าทีจะห้ามปรามแต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อเห็นมือทั้งคู่ที่นุ่มนิ่มเนียนละเอียดลูบไปตามศพของผู้เฒ่าเป่ยหมิง รอยยิ้มในดวงตาเขาก็ถูกแทนที่ด้วยไอสังหารทันที เขาจ้องมองศพของผู้เฒ่าเป่ยหมิงเหมือนอยากจะลงมือกับศพของเขาเพื่อระบายความแค้น

ตอนที่มู่เกอยังไม่ยอมแพ้อยากจะตรวจสอบดูอีกรอบนั้น จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดผ่านที่ด้านหลัง มือที่เธอยื่นออกไปถูกฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นกุมเอาไว้ข้างหูมีเสียงอันน่าดึงดูดดังขึ้นว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ร่างกายของมันสกปรกเกินไป อย่าทำให้มือของเจ้าต้องแปดเปื้อน”

สรรพนามที่ชวนขนลุกนี้ ทำให้มู่เกอขมวดคิ้ว กัดฟันพูด “อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์อะไรแบบนี้อีก”

“ได้ข้ารับปาก บนโลกใบนี้จะมีเพียงข้าคนเดียวที่สามารถเรียกเจ้าแบบนี้ได้หากใครกล้าเรียกเจ้าแบบนี้ ข้าจะฆ่ามัน” ซือมั่วตอบอย่างจริงจัง

หน้า ด้าน มาก!

มู่เกอโกรธจนอารมณ์ขึ้น ดึงมือของตนเองออกอย่างรุนแรงและจ้องมองคนผู้นั้น “อย่างนั้น เจ้าก็ฆ่าตัวเองก่อนเลย”

เสียดายที่ซือมั่วทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาจ้องมองไปที่ผู้เฒ่าเป่ยหมิง หัวเราะแล้วพูดกับมู่เกอว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ได้อะไรกลับไปเลยหรือ?”

“พูดมาก” มู่เกอไม่พอใจ คำตอกกลับที่ไร้เหตุผลนี้ซือมั่วไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่กลับยิ้มน้อยๆ แล้วชี้ไปที่นิ้วมืออันผอมแห้งของผู้เฒ่าเป่ยหมิง

ทันใดนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น

ตอนแรกมู่เกอเห็นว่านิ้วมือของท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย แต่อยู่ๆ ก็มีแหวนโบราณสีดำวงหนึ่งปรากฏขึ้น

มู่เกอรีบไปดึงแหวนวงนั้นออกจากนิ้วมือของผู้เฒ่าเป่ยหมิงอย่างไม่ลังเล แล้วมองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างอึ้งๆ

“ก็แค่วิชาลวงตาธรรมดาๆ” ซือมั่วพูดนิ่งๆ

แต่ว่าในใจของมู่เกอรู้ดีว่า คำเปรียบเทียบว่าธรรมดาๆ ของเขานั้นไม่ใช่ว่ายอดฝีมือทุกคนจะดูออกได้ เป็นอีกครั้งที่มู่เกอรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของซือมั่ว ในใจพลันเกิดแรงกดดันบางอย่างขึ้น แต่มันก็เป็นแรงผลักดันด้วยเช่นกัน ‘ข้าจะเก่งขึ้น แล้วสักวันหนึ่งข้าจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของ โลกใบนี้!’

ซือมั่วไม่ไต้สังเกตว่ามู่เกอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่กลับมองไปที่แหวนวงนั้น พูดยิ้มๆ ว่า “ที่หลินชวน ผู้ที่มีแหวนซวีหมีวงนี้ไว้ในครอบครอง ถือว่าเป็นผู้ที่มีโชควาสนามาก” มู่เกอเบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจ วาสนาดีแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือของเธอและมู่ชิงเกอ

แล้ว…ก็แค่แหวนจะมีอะไรพิเศษ?

มู่เกอมองแหวนสีดำในมือด้วยความสงสัย

พอเห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ซือมั่วก็อธิบายว่า “แหวนซวีหมีนั้น ความจริงแล้วเป็นแหวนที่จะทำมาจากวัสดุพิเศษบางชนิด เป็นอาวุธวิญญาณแห่งช่องว่างที่จอม ขมังเวทย์ได้สร้างขึ้น สามารถจุสิ่งของไว้ด้านในได้”

ถ้าอย่างนั้นก็เป็นแหวนที่มีพลังช่องว่างน่ะสิ!

มู่เกอเข้าใจแล้ว นอกจากพลังสายฟ้า เธอเองยังมีพลังช่องว่างอีกด้วย ตรรกะเกี่ยวกับการเก็บสิ่งของไว้ในช่องว่างนั้น เธอเข้าใจ แต่ว่าเธอไม่คิดว่าทะลุมิติมายังคนละโลกแบบนี้แล้วจะยังมีช่องว่างที่ทำมาจากของวิเศษแบบนี้

เธอคิดทบทวนคำพูดของซือมั่วแล้วรู้สึกว่าแหวนซวีหมีในมือเธอก็คงจะเหมือนกับตุ้มหูสีม่วงบนหูซ้ายของเธอที่หาได้ยากมากในหลินชวน

แหวนซวีหมีนี้เธอไม่ต้องการหรอก ตัวเธอเองก็มีพลังช่องว่างอยู่แล้ว และยังดูปลอดภัยกว่าด้วย แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอสงสัยคือ ในแหวนซวีหมีที่ผู้เฒ่าเป่ยหมิงซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีนี้มันมีสมบัติอะไรอยู่ข้างในกันแน่

“เปิดอย่างไร?” มู่เกอถือแหวนขึ้นมา แล้วถามซือมั่วที่อยู่ข้างๆ

เธอพบว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ผู้ชายคนนี้ไม่รู้เพราะ อย่างนี้เธอจึงต้องใช้ Google เคลื่อนที่นี้ให้เป็นประโยชน์

มู่เกอชวนคุยก่อน ทำให้ซือมั่วอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก พร้อมตอบว่า “ปกติแล้ว แหวนซวีหมีจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ และนอกจากเจ้าของของมันแล้ว ก็ไม่มีใคร สามารถเปิดได้ แต่ว่าตอนนี้เจ้าของของมันได้ตายไปแล้ว แหวนซวีหมีนี้ก็ไม่มีเจ้าของ ขอเพียงเจ้าเพ่งพลังจิตก็จะสามารถเปิดแหวนและเอาของข้างในออกมาได้”

พลังจิตเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมากสำหรับมู่เกอ

อย่าลืมว่า เมื่อชาติที่แล้ว การที่เธอจะสามารถพัฒนาฝีมือได้นั้นต้องอาศัยการฝึกฝนพลังจิต จนเธอแอบสงสัยว่าที่เธอตายแล้วสามารถฟื้นคืนชีพได้นั้น เป็นเพราะว่าเธอมีพลังจิตเข้มแข็งกว่าคนธรรมดา

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากซือมั่ว มู่เกอปล่อยจิตให้ว่าง ค่อยๆ ปลดปล่อยพลังจิตของตนเองออกมา

พลังจิตที่ไม่มีรูปกายในจิตสำนึกของมู่เกอส่งผ่านพลังไปที่แหวนซวีหมีในมือของเธอราวกับเส้นใย

เมื่อพลังจิตที่รวบรวมไว้มาอยู่ที่แหวนซวีหมี มู่เกอไม่ได้ รีบร้อนเข้าไปในทันที แต่ค่อยๆสังเกตการณ์จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย เธอจึงเข้าไปยังอาณาเขตของแหวนซวีหมี

เพราะพลังจิต ทำให้มู่เกอรู้สึกว่าตนเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่เกือบ 10 กว่าตารางเมตร ในช่องว่างนี้เหมือนกับช่องว่างของเธอ คือไม่มีประตูและหน้าต่าง

แต่ว่าสิ่งที่ต่างกันคือช่องว่างของเธอมีแสงส่องเป็นประกายระยิบระยับ แต่ช่องว่างในแหวนซวีหมีวงนี้กลับดูมืดทึบ

เมื่อเปรียบเทียบกันเสร็จแล้ว มู่เกอก็เริ่มค้นหาสมบัติของผู้เฒ่าเป่ยหมิง สิ่งที่ผู้เฒ่าเป่หมิงสะสมไว้นั้น ส่วนมากเป็นพวกยาสมุนไพรที่หายากแต่ว่าสำหรับมู่เกอแล้วยาสมุนไพรพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับวัชพืชเลย

นอกจากนี้ก็เป็นพวกเครื่องเงินกับเครื่องทอง

มู่เกอที่ผิดหวังเล็กน้อย รู้สึกไม่อยากจะยอมรับ อย่าบอกนะว่าเสียเวลาไปทั้งคืนกลับได้แต่ของไร้สาระพวกนี้มา

เธอที่ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงค้นหาต่อไป

ทันใดนั้นเธอก็พบว่าตรงมุมของช่องว่างมีกล่องไม้ใบใหญ่ประมาณเท่าฝ่ามือวางอย่างเงียบเชียบ

‘มันคืออะไร’ ความแปลกใจทำให้มู่เกอเดินไปหยิบกล่องไม้ที่ดูแสนจะธรรมดานั้นขึ้นมา แต่ว่าในขณะที่เธอกำลังจะเปิดออก กลับพบว่าไม่ว่าตนเองจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเปิดกล่องไม้ออกได้

“เกิดอะไรขึ้น” มู่เกอขมวดคิ้ว เงียบไปสักพักก็นำกล่องไม้ใบนั้นออกจากช่องว่างของแหวนซวีหมี

พอลืมตาขึ้นในมือของมู่เกอก็มีกล่องไม้ที่เธอเอาออกมาจากช่องว่างวางอยู่

มู่เกอยื่นกล่องไม้ให้ซือมั่วอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย “เปิดไม่ออก”

ซือมั่วยื่นมือมารับพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่โดนสั่งเลยแม้แต่น้อย เขาพิจารณากล่องไม้นั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบข้อสงสัยของมู่เกอ “กล่องนี้มีคนสะกดมันเอาไว้ ต้องคลายมนต์สะกดเสียก่อนถึงจะสามารถเปิดได้

“สะกดไว้?” มู่เกอไม่ค่อยเข้าใจว่ามันแปลว่าอะไร แต่รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คืออะไร “เจ้าคลายมนต์ได้ไหม?” แม้จะเป็นคำถามแต่นํ้าเสียงของเธอยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ซือมั่วพยักหน้ารับ ยืนยันคำพูดของมู่เกอ

มู่เกอยักคิ้วทีหนึ่ง และพยักเพยิดเบาๆ ราวกับกำลังบอกกับซือมั่วว่า ‘ลำบากเจ้าแล้ว’

ซือมั่วถือกล่องไม้มั่นไว้ ดวงตากระจ่างราวอำพันเปลี่ยนไปยามร่ายเวท แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ

“ได้แล้ว” ซือมวยื่นกล่องไม้ให้กับมู่เกอ

เสร็จแล้วเหรอ?

มู่เกอรู้สึกสงสัย เธอคิดว่าจะได้เห็นฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ไม่คิดว่าเพียงพริบตาเดียวก็เสร็จแล้ว?

มู่เกอยังคงสงสัย แล้วจึงยื่นมือไปรับกล่องไม้ใบนั้นมา

พอปลายนิ้วแตะเบาๆ ลงบนฝากล่อง ก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้น

เปิดได้แล้วจริงด้วย

มู่เกอหรี่ตา ในแววตาเต็มไปด้วยความดีใจ

กล่องไม้ที่ถูกเปิดออก ด้านในมีแผ่นป้ายไร้อักษรแผ่นหนึ่งนอนนิ่งสงบอยู่ในนั้น และยังมียาเม็ดที่ส่องแสงประกายระยิบระยับอีกเม็ดหนึ่ง ยาเม็ดนั้นขนาด ประมาณเท่าเม็ดลำไย ส่องแสงสดใสเป็นประกายราวกับแก้วและมีตัวอักษรสีทองจางๆ

เมื่อเทียบกันแล้ว ป้ายไร้อักษรดูด้อยค่ามาก แต่เพราะถูกเก็บไว้ในกล่องไม้ที่มีมนต์ต้องห้ามคุ้มกันอยู่แบบนี้ มันจะเป็นของธรรมดาได้ที่ไหนกัน

สิ่งที่อยู่ในกล่อง ซือมั่วก็เห็นเช่นกัน ในแววตามีความตกตะลึงวาบผ่าน และถอดถอนใจพูดกับมู่เกอ “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าต้องยอมรับจริงๆ ว่าเจ้าช่างโชคดีเหลือเกิน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version