Skip to content

พลิกปฐพี 30

ตอนที่ 30

ผู้ชายที่น่ากลัว!

“โว๊ย! นี่เจ้าคิดจะทำอะไร” มู่เกอที่ทนชายหนุ่มบ่นไม่ไหว ในที่สุดก็ระบิดออกมา

“กินยา” ซือมั่วยังคงมองเธอแล้วยิ้มด้วยความเอ็นดู ในมือยังถือยาสีเขียวส่องประกายเม็ดนั้นเอาไว้

“…” มู่เกอพลันรู้สึกหมดหวัง

เธอไม่เข้าใจจริงๆ เธอกับชายคนนี้เคยมีความสัมพันธ์กันสักนิดไหม ทำไมต้องตื๊อให้เธอกินยาขนาดนี้ ถ้าเธอจะไม่กินยาและตายอยู่ที่นี่ก็มันเป็นเรื่องของเธอนี่ “ถ้าเจ้ามีความเห็นใจมากนัก ก็ไปหาคนอื่น ข้าไม่ต้องการ” มู่เกอกัดฟันพูดกับซือมั่วอย่างดุร้าย

แล้วซือมั่วก็พูดประโยคหนึ่ง ที่ทำให้เธอสะดุ้ง!

“ข้าต้องการทำดีแค่กับเจ้าเท่านั้น”

ร่างอันผอมบางรีบดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มทันที ดวงตาใสกระจ่างของมู่เกอเต็มไปด้วยความตื่นตัวเตรียมพร้อม

“ไอ้วิปริต ไอ้ตัวประหลาดเฒ่าที่พันปีไม่ตาย ไสหัวออกไปไกลๆ ข้าเลยนะ!”

ตัวเขาเป็นโรคติดต่อรึไงกัน?

ซือมั่วมองมู่เกอที่หลบหลีกตนเองพลางยิ้มขมขื่น เขาก็แค่รู้สึกว่านางน่าสนใจ จึงยินยอมที่จะเข้าใกล้นาง หลายปีมานี้ คนที่สามารถทำให้เขาสนใจได้นั้นมีน้อยยิ่ง กว่าน้อยเสียอีก ยากที่จะพบเจอสักคน แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยไป

‘ไอ้วิปริต’ ‘ไอ้ตัวประหลาดเฒ่า’ อืม ไม่เคยมีใครว่าเขาแบบนี้มาก่อน

ซือมั่วตัวแข็งทื่อ สายตาที่ใสราวกับแก้วของเขาเป็นประกาย ทำให้มองไม่ออกว่าจริงๆแล้ว ตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

“หากเจ้าไม่ยอมกินเอง ข้าก็คงต้องป้อนเจ้าด้วยตัวเองแล้วล่ะ” ซือมั่วอมยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่ ทำให้มู่เกอใจกระตุก

ข้าสู้มันไม่ได้!

ม่เกอถูกคำขู่ของซือมั่วทำให้ตกใจ ในใจแม้โศกเศร้าแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง จึงรีบดึงแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นท่อนแขนผุดผาดดั่งหยก แล้วพูดกับเขาว่า “เจ้าดู ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกินยาหรอก จริงๆ นะ!”

ซือมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย

ความจริงแล้ว หากดูจากสภาพเสื้อคลุมที่ฉีกขาดของนาง แขนของนางได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน และที่สำคัญคือมือขวาน่าจะสาหัสที่สุด แต่ตอนนี้มือทั้งสองข้างของนางรวมทั้งท่อนแขนมีบาดแผลเสียที่ไหนกัน

ซือมั่วเก็บความสงสัยไว้ในใจ ยื่นมือใหญ่ของตนเองออก มาดึงแขนเสื้อของมู่เกอให้ปกปิดผิวกายอันเนียนนุ่มในขณะที่เธอเผลอ เอ่ยเตือนเสียงตํ่า “ระวังหนาว” พูดจบ สายตาอันเยียบเย็นที่เต็มไปด้วยการข่มขู่และไอสังหารก็กวาดมองไปทางตำแหน่งที่ชายหนุ่มทั้งสองเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อย่างแนบเนียน

ชายหนุ่มทั้งสองที่หลบซ่อนตัวอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงรังสีสังหารอันเย็นเยียบที่กรีดผ่านผิวหนังไป ทำให้พวกเขาอดหวาดระแวงขึ้นมาไม่ได้ในใจรู้สึกราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “ท่านประมุข ข้าน้อยไม่ได้ให้คุณหนูท่านนั้นถลกแขนเสื้อขึ้นเสียหน่อย!”

“ท่านประมุข ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าน้อยไม่ทันได้ปิดตา!”

“ท่านประมุข พวกเราไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ นะขอรับ!”

ทั้งสองส่ายหน้าแรงๆ อย่างแข็งขัน ในขณะเดียวกันก็แอบร้องไห้อยู่ในใจ ท่านประมุขที่เย็นชาไม่ยอมเข้าใกล้ผู้หญิงของพวกเขาหายไปไหนแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังถูกครอบงำด้วยความต้องการมากมายถึงเพียงนี้ ห่างกันไกลถึงเพียงนี้ มืดก็มืด พวกเขามองอะไรไม่ชัดเลยจริงๆ นะ และอีกอย่างก็เพียงแค่ท่อนแขนสองข้าง เอง ต้องเคร่งเครียดขนาดนี้เลยหรือ?

มู่เกอออกแรงดึงแขนเสื้อของตนเองออกจากมือของซือมั่ว แล้วถอยหลังไปสองก้าว เอ่ยเตือนซือมั่วว่า “เจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าไม่เป็นอะไร ไปได้แล้ว”

แม้ว่าท่านปู่จะเคยบอกว่าให้สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับชายคนนี้เอาไว้ เพี่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยในอนาคตของเธอ แต่ในใจมู่เกอนึกรังเกียจความคิดที่จะอาศัยพี่งพิงผู้มีอำนาจแบบนี้มากที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อพบชายคนนี้อีกครั้ง เธอจึงไม่ได้ตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย แทบจะอยากให้เขาหายไปจากสายตาของเธอให้เร็วที่สุดเสียด้วยซํ้า

ซือมั่วพิจารณาสายตาของเธอ แล้วดวงตาก็พลันเปล่งประกาย หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วพูดเสียงอบอุ่นว่า “จู่ๆ ก็ได้ครอบครองความสามารถเยียวยาตัวเองที่แข็ง แกร่งถึงเพียงนี้อีกทั้งยังสามารถฝึกเวทพลังได้แล้วด้วย”

คำพูดราวกับไม่ใส่ใจนี้ทำให้ใจของมู่เกอกระตุก ดวงตากระจ่างของมู่เกอแผ่ไอสังหารรุนแรงออกมา

ผู้ชายคนนี้…น่ากลัวมากจริงๆ

ราวกับว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้ว เธอไม่สามารถมีความลับอะไรได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ เขาสามารถมองมันออกได้อย่างง่ายดายและชัดเจน

แต่ ซือมั่วไม่ได้สนใจไอสังหารนั้นเลยแม้แต่นิด เขาพูดเองเออเอง “ดูเหมือนว่า ช่วงระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าจะไปพบเจอเรื่องราวอัศจรรย์อะไรเข้าสินะจึง

สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ว่า…”

แต่ว่า? แต่ว่าอะไร?

มู่เกอใจกระตุกอีกครั้ง จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า

จู่ๆ ซือมั่วก็ยิ้ม มือใหญ่บีบปลายจมูกโด่งของมู่เกออย่างอดใจไม่ไหว กว่ามู่เกอจะรู้ตัว เขาก็ดึงมือกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เจ้าไม่เชื่อฟังข้า ใช้รากวิญญาณสายฟ้าอีกแล้ว”

“…” ในหัวของมู่เกอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

ไอ้โรคจิตนี่มาปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่การต่อสู้จบลง และที่สถานที่ต่อสู้ถูกระเบิดเสียจนกลายเป็นสภาพนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะความโหดเหี้ยมของผู้เฒ่า เป่ยหมิงทั้งนั้น

แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าเธอใช้พลังสายฟ้า? เขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!

สายตาที่งดงามเป็นหนึ่งในหล้า สามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงอย่างนั้นหรือ ยังมีอะไรอีกไหมที่เขาไม่รู้?

มู่เกอรู้สึกว่าแผ่นหลังของเธอชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น พอลมพัดมารู้สึกเย็นวาบ

แต่ซือมั่วไม่ได้สังเกตว่าคำพูดของตนสร้างความตระหนกให้มู่เกอได้เพียงไหน จึงกำชับอีกครั้งว่า “คราวหลังก็อย่าดื้อ พยายามใช้รากวิญญาณสายฟ้าให้น้อยที่ สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าพึ่งพามันมากเกินไปรู้ไหม คนไม่ผิด ผิดตรงสิ่งที่เขาครอบครอง เหตุผลข้อนี้ เจ้าเข้าใจไหม?”

หมายความว่ายังไง?

คำพูดของซือมั่วยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของมู่เกอ

หรือว่า ความสามารถของเธอ จะดึงดูดความโลภของคนอื่นงั้นหรือ? แต่ว่า แล้วอย่างไรเล่า? จะแย่งความสามารถของเธอไปได้รึไง?

“เรื่องบางเรื่อง ตอนนี้เจ้ายังไม่ควรรู้ เจ้าแค่จำคำพูดของข้าเอาไว้ จำไว้ว่าข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าก็พอ” ซือมั่วพูด สายตาอันกระจ่างใสของมู่เกอมีใบหน้าของซือมั่ว สะท้อนอยู่ เธอจ้องเขาอย่างตั้งใจ เหมือนกำลังแยกแยะความจริงเท็จในคำพูดของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงหลุบตาลงทำให้ขนตายาวงอนบดบังสายตาของเธอเอา ไว้ แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “อืม” บรรยากาศพลันเงียบสงบลง

เพราะบรรยากาศเงียบสงบนั้น ทำให้ความอึดอัดค่อยๆ เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง และยังมีความอบอุ่นที่อธิบายไม่ถูกเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

ครึ่งชั่วยามผ่านไป มู่เกอเงยใบหน้าเล็กๆ ของตนขึ้น แล้วมองไปทางใบหน้าเย็นชาของชายหนุ่ม แต่กลับสบเข้ากับดวงตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มลํ้าลึก ราวกับว่าตัว เธออยู่กลางหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามคํ่าคืนอย่างไรอย่าง

“อะแฮ่ม” มู่เกอลืมตาขึ้นอย่างอึดอัด แล้วยันตัวลุกขึ้น

จนถึงเมื่อครู่นี้หลังจากที่ร่างกายของเธอกลับสู่สภาวะปกติ เธอก็มั่นใจแล้วว่ายาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอนี้นอกจากจะช่วยขับพิษแล้ว ความสามารถที่สองของมันก็คือความสามารถในการเยียวยาตัวเองอันแข็งแกร่ง ในข้อนี้แทบจะไม่ทำให้เธอพ่ายแพ้อย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าจะฆ่าเธอให้ตายในทันที เพื่อตัดโอกาสใน การฟื้นฟูบาดแผลของเธอ มู่เกอลุกขึ้นใช้มือปัดดินโคลนที่ติดอยู่บนตัวเธอ รู้สึกไม่พอใจ ทำไมทั้งสามครั้งที่ได้เจอกับเจ้านี่จะต้องเป็นตอนที่ตนเองกำลังอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ตลอดเลย ชวนให้คนหัวเราะเยาะนัก

สายตาของซือมั่วมองตามมู่เกอไป เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของนางแล้ว ก็พลันรู้สึกว่านางน่ารักเหลือเกิน ชุดสีแดงที่นางสวมอยู่ถึงแม้จะทั้งเปื้อนทั้งขาด แต่ก็ไม่ได้ทำลายความสง่างามของนางลงเลยแม้แต่น้อย

เมื่อรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องตนเองอยู่ มู่เกอก็กัดฟันอยู่ในใจ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินไปทางศพของผู้เฒ่าเป่ยหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version