ตอนที่ 29
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ดื้อ
ลมหายใจที่รุนแรงกดทับทุกสรรพสิ่งในป่า
มู่เกอแอบด่าในใจ ‘ซวยแล้ว!’ แล้วอยู่ๆ มู่เกอก็ได้ยินเสียงที่ยากจะลืมเสียงหนึ่ง
“เสียวเกอเอ๋อร์ดื้ออีกแล้ว”
นํ้าเสียงที่ควรจะสูงส่งและเย็นชานั้นกลับมีความรักใคร่หวานเลี่ยนชนิดหนึ่งเจือปนอยู่ด้วย
มู่เกออึ้ง วินาทีต่อมา เธอก็รู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดกว้างอันอบอุ่น แม้จะห่างกันเพียงแค่เสื้อผ้ากั้นแต่เธอก็รู้สึกได้ชัดเจนถึงความกำยำของอีกฝ่าย
กลิ่นหอมประหลาดที่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะจมูก แล้วใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นหนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอ ใบหน้านั้นงดงามไร้ที่ติราวกับเทพเซียน หาจุดบกพร่องไม่เจอแม้แต่น้อย ราวกับส่องแสงประกายออกมาจางๆ
“ไอ้ถํ้ามอง!” มู่เกอกัดฟันพูดสามพยางค์นี้ ผู้มาอึ้งไป คำว่า ‘ไอ้ถํ้ามอง’ ราวกับมดตัวเล็กๆ ที่ไหลผ่านเข้าไปในหูเขา และเข้ายึดครองจิตใจ สามพยางค์ที่เธอกัดฟันพูดออกมา ทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน
สาวน้อยที่ร่างกายสกปรกมอมแมม ยืนล้างตัวอยู่ในแม่นํ้าเพียงลำพัง ท่ามกลางแสงจันทร์และแสงจากหิ่งห้อย นางเป็นคนเดียวที่กล้าสบตาและกล้าตั้งคำถามกับเขา แต่คนผู้นั้นกลับฝึกฝนพลังไม่ได้แม้กระทั่งขั้นสีแดง ตอนที่เขาแสดงพลังอันแข็งแกร่งต่อหน้านาง ที่เขาเห็นไม่ใช่ความหวาดกลัวและหวั่นเกรง แต่เขากลับเห็นเพียง การอยากเอาชนะอันแรงกล้าจากกตัวนาง
และที่ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางได้เห็นใบหน้าอันงดงามน่าตื่นตะลึงของเขาแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกหลงใหลเคลิ้บเคลิ้มเหมือนกับหญิงสาวคนอื่นๆ นอกจากแวบแรกที่ดูตกใจแล้ว เขาก็มองไม่เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกอย่างอื่นบนใบหน้าของนางเลยแม้เศษเสี้ยว สายตาที่ดูสงบนิ่งคู่นั้น ทำให้จิตใจที่มั่นคงมาตลอดหลายปีนี้พลันเต้นแรงขึ้น ราวกับว่าเขาอยากให้เงาของตนเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของดวงตาคู่นั้น อยากเห็นสายตาคู่นั้นแสดงความรู้สึกออกมา
นาง…ช่างพิเศษ
ใบหน้าที่หล่อเหลาดวงนั้นพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ เขาก้มหน้าลงมองคนชุดแดงในอ้อมกอดที่บาดเจ็บมาไม่น้อย สีแดงสดเป็นสีที่เขาเกลียดมากที่สุด แต่เมื่อมันอยู่บนตัวนาง เขาไม่เพียงแต่เกลียดไม่ลง แต่ยังรู้สึกว่ามันสวยงามมาก
ราวกับว่า บนโลกใบนี้มีแค่สีแดงสดสีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถแยกนางออกจากคนธรรมดาทั่วไปได้
ชุดสีแดงที่ฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี มีเลือดสดและดินโคลนเปื้อนอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสแต่ใบหน้าอันงดงามดวงนั้น กลับยังเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและไม่ยอมแพ้
“ปล่อยข้านะ ไอ้ตัวประหลาดเฒ่า!” มู่เกอที่อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มชุดขาวดั่งหิมะไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย รู้ว่าสู้คนตรงหน้าไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่ใช้นํ้าเสียงแสดงถึงความไม่พอใจ
ตัวประหลาดเฒ่า?
คิ้วตรงราวกับกระบี่ของซือมั่วขมวดมุ่นเบาๆ ตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดเฒ่าตั้งแต่เมื่อใดกัน
“เจ้าบาดเจ็บ” แม้ในใจจะมีคำถาม แต่ซือมั่วก็เก็บคำถามนั้นเอาไว้ แล้วเอ่ยเตือนมู่เกอ
มู่เกอแอบกลอกตาในใจไม่ต้องเตือนเธอก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองกำลังบาดเจ็บ
“ไร้สาระ” มู่เกอลืมตาขึ้นพูดอย่างเย็นชา
แต่เสียงนั่นไม่เพียงแต่ไม่สามารถยั่วให้ซือมั่วโกรธได้ แต่ยังทำให้เขาเกิดความสนใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น
“เขาทำเจ้าบาดเจ็บหรือ?” พอละสายตาจากมู่เกอ สายตาของซือมั่วก็กลับไปเย็นชาและสูงส่งอีกครั้ง ในขณะที่มองศพของผู้เฒ่าเป่ยหมิง ส่วนลึกของดวงตาอันน่าดึงดูดนั่นมีไอสังหารวนเวียนอยู่
มีคนกล้าทำร้าย คนที่เขาให้ความสนใจงั้นรึ?
“อืม มันทำร้ายข้า แล้วข้าก็ฆ่ามัน ก็ถือว่าไม่ติดค้างต่อกันแล้ว” มู่เกอตอบอย่างเย็นชา เธอก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ตนเองต้องอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังด้วย
ซือมั่วอึ้ง และแอบหัวเราะในใจ
แบบนี้ก็ได้แล้วรึ? มีคนทำร้ายนางแล้วนางก็ฆ่าอีกฝ่ายเสีย ก็ถือว่ายุติธรรมแล้วหรือ แม้ว่าดูเหมือนจะมีอะไรไม่ถูกต้องนัก แต่ซือมั่วก็ไม่ปฏิเสธ เขาชอบวิธีคิดแบบนี้
และยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นมู่เกอที่คิดแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดีแล้ว
แน่นอนว่าหากเป็นนางที่ทำร้ายคนอื่นเล่า?
อืม ทำร้ายไปแล้วก็ช่างสิ ถ้าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ได้ฆ่าคนๆ นั้น เจ้านั่นก็ควรจะซาบซึ้งในบุญคุณและขอบคุณที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์เมตตาไม่ใช่หรือ?
หากตอนนี้สิ่งที่ซือมั่วคิดในใจ ถูกกูหยาและกูเย่ที่แอบติดตามเขามาอย่างลับๆ ล่วงรู้เข้าล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงจะกุมหัวร้องไห้เสียใจที่ตรรกะความคิดของท่าน ประมุขถูกทำเสียจนผิดเพี้ยนไปได้ถึงเพียงนี้ “เด็กดี กินยานี่เสีย”
ระหว่างที่พูด บนฝ่ามือกว้างของซือมั่วก็มียาที่ส่องประกายสีเขียวเพิ่มขึ้นมาเม็ดหนึ่ง กลิ่นหอมของตัวยารุนแรงมาก
มู่เกอมองยานั่นแล้วหันหน้าหนีปฏิเสธ “ไม่จำเป็น”
สำหรับการปฏิเสธของมู่เกอ ในสายตาของซือมั่วแล้วก็เหมือนกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจเท่านั้น เขาขมวดคิ้ว พูดปลอบเสียงเบาว่า “หากกินยาแล้วก็จะหาย”
“ไม่จำเป็น ไม่ต้อง ไม่กิน”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าดื้อนะ กินเม็ดเดียว”
“ไม่กิน! ข้าขอเตือนเจ้านะ ว่าอย่าเรียกข้าด้วยคำสรรพนามที่น่าขนลุกแบบนั้นอีก!”
“ถ้าเจ้ายอมกินยา ข้าก็จะเก็บข้อเสนอของเจ้าไปลองคิดดู”
“ไสหัวไปซะ!”
บทสนทนาราวกับเด็กน้อยกำลังคุยกันแบบนี้ ลอยตามลมมาเข้าหูขององครักษ์ทั้งสองที่คอยเฝ้าอยู่ลับๆ
ทั้งสองอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้พร้อมแลกเปลี่ยนสายตากัน
‘ท่านประมุขป่วยจริงๆ เสียแล้ว’
‘ป่วยไม่น้อยทีเดียว’
‘ทำอย่างไรดี’
‘ข้าก็ไม่อาจตอบได้…’
คนเศร้าทั้งสองคนส่ายหน้าไปมาพร้อมกัน เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนเทพแห่งการต่อสู้ที่แสนเก่งกาจ ท่านประมุขที่สูงส่งในใจผู้นั้น กำลังค่อยๆ ห่างไกลพวกเขาออกไปกันนะ