ตอนที่ 32
ยาวิเศษสืบทอดพลัง
“ข้าก็เป็นคนที่โชคดีมาโดยตลอดอยู่แล้ว” มู่เกอหรี่ตาแลดูน่าดึงดูด
แม้จะไม่รู้มูลค่าของสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ แต่หากสามารถทำให้ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลินชวนพูดแบบนี้ได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก มู่เกอก็รู้เลยว่าตนเองเจอของมีค่าเข้าให้แล้ว
ริมฝีปากแดงเรื่อของมู่เกอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ มอง ไปที่ป้ายและยาในกล่องไม้ มู่เกอในเวลานี้ได้ลืมความโกรธหลายๆ ครั้งที่มีต่อชายผู้นี้ไปชั่วขณะ
มู่เกอเขี่ยยาเม็ดนั้นไปไว้ข้างๆ แล้วยื่นมือไปหยิบป้ายไร้อักษรขึ้นมาเป็นอันดับ แรก
‘หนักมาก’
เมื่อหยิบป้ายนั้นขึ้นมา มู่เกอรู้สึกว่าของในมือเธอน่าจะมีนํ้าหนักไม่น้อยกว่า 50 กิโล ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอเป็นระดับชั้นสูงสุดของขั้นเหลือง เธออาจจะถือป้ายนี้ไม่ไหวและขายหน้าต่อหน้าชายตรงหน้านี้อีกครั้ง
มู่เกอขมวดคิ้วรู้สึกสงสัยกับนํ้าหนักของป้ายแผ่นนี้ ในขณะเดียวกันก็ใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับตัวผิวของป้ายเพื่อวิเคราะห์ว่ามันทำมาจากอะไร
แต่ทว่าคลำอยู่นานมู่เกอก็ยังไม่แน่ใจว่าป้ายทำจากอะไร
ป้ายนี้เรียบลื่น แต่สีสันของมันดูซีดจางไปไม่น้อย เมื่อสัมผัสดูก็รู้สึกถึงได้ความเย็นเล็กน้อย แต่กลับไม่เนียนละเอียดเหมือนหยก
โลหะเหรอ? มู่เกอปฏิเสธในใจ แม้ใม่รู้ว่าโลหะในโลกนี้มีวิธีการผลิตอย่างไร แต่ ประสบการณ์เมื่อชาติที่แล้วของเธอกำลังบอกเธอว่าสิ่งที่อยู่ในมือเธอนั้นไม่ใช่โลหะ
หิน? แต่ความเงาของมันนั้นมีมากกว่าหิน และที่สำคัญคือสิ่งที่ดูเหมือนจะมีค่ามากกว่าที่เห็นนี้ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับอะไรที่เธอรู้จักได้เลย
“ป้ายอันนี้มันมีประโยชน์อย่างไร?” ถ้าเทียบกับวัตถุดิบที่ใช้ทำแล้ว มู่เกอสนใจประโยชน์ใช้สอยของมันมากกว่า
พอเธอคลายมือ ป้ายที่หนัก 50 กว่ากิโลก็ตกไปอยู่ในมือของซือมั่ว มือที่ดูสวยงามของเขาดูเหมาะสมกับป้ายนี้มากเป็นพิเศษ
มู่เกออึ้งไป พอรู้สึกตัวก็คำรามว่า “นี่! เจ้าแย่งของของข้าทำไม”
ชือมั่วมองท่าทางที่เหมือนสัตว์ตัวน้อยถูกรังแกของมู่เกอแล้วหัวเราะชอบใจแล้วถามกลับว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
“ไร้สาระ ข้าจะรู้ได้อย่างไร?” มู่เกอตอบอย่างไม่ชอบใจ
“ถ้าเจ้าไม่รู้ข้าจะบอกให้เอาไหม?” ซือมั่วไม่ใส่ใจนํ้าเสียงของมู่เกอ
“เจ้ารู้หรือ?” มู่เกอตาเป็นประกาย ใช่ เธอลืมไปได้อย่างไรว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นเจ้าตัวประหลาดเฒ่า ที่มีชีวิตยาวนานมาร่วม 1000 กว่าปีแล้ว จะยังมีอะไรที่เขาไม่รูอีกหรือ เป็น Google เวอร์ชั่นมนุษย์เลยก็ว่าได้ ซือมั่วพยักหน้า ป้ายเมื่อมาอยู่ในมือเขาก็เหมือนกลายเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง
ถ้าอย่างนั้นก็รีบพูดมาสิ!
สายตาที่รอคอยของมู่เกอ ทำให้ซือมั่วอารมณ์ดี เขาพูดนิ่งๆ “แม้ว่าหลินชวนจะจบสิ้นไปแล้ว แต่ของโบราณจำนวนไม่น้อยในตำนานก็ยังคงเหลืออยู่ในพื้นที่ แห่งนี้ ป้ายไร้อักษรนี่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็คงจะเป็นวัตถุโบราณที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ สิ่งที่เป็นวัตถุโบราณทั้งหมดต่างก็เป็นสมบัติลํ้าค่า ป้ายไร้อักษรนี้เป็นป้ายคำสั่งที่ใช้เปิดช่องว่าง”
“ป้ายที่ใช้เปิดช่องว่างแปลว่าอะไร” มู่เกอขมวดคิ้วถาม
หรือว่าป้ายนี้จะทำให้สามารถเข้าไปกระโดดโลดเต้นภายในช่องว่างได้ หรือจะสามารถทะลุมิติเข้าไปในช่องว่างได้?
ซือมั่วมองมู่เกอด้วยสายตาที่กำลังบอกว่า ‘ไม่ต้องรีบร้อน’ แล้วอธิบายต่อว่า “บนป้ายนี้ไม่มีร่องรอยตัวอักษรสลักอยู่เลย ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือความ สามารถในการเปิดช่องว่างของมันได้ถูกทำลายลงไปแล้ว หรือไม่ก็ได้สูญเสียเจ้าของไปแล้ว ถ้าเจ้าสามารถกระตุ้นป้ายนี้ให้กลับมามีพลังได้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าหากโชคดีเจ้าก็จะสามารถกลายเป็นเจ้าของของช่องว่างนั้นได้ อีกทั้งยังสามารถเข้านอกออกในช่องว่างนี้ได้อย่างอิสระ จะทำให้เจ้ามีข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้นมาอีก”
“ร้ายกาจขนาดนี้เลย!” มู่เกอตกตะลึง
แม้ว่าตัวเธอเองก็มีช่องว่าง แต่ช่องว่างของเธอนั้น ใช้จุได้เพียงสิ่งของเท่านั้น ตัวเธอเข้าไปได้เพียงจิตวิญญาณ โดยที่กายเนื้อยังอยู่ภายนอก
แต่หากเป็นไปตามที่เจ้าเฒ่าพันปีนี้พูด หากเธอสามารถทำให้ป้ายนี้กลับมามีพลังได้อีกครั้ง ก็จะสามารถเข้าไปในช่องว่างนั้นได้อย่างอิสระ มันเป็นถึงกระดองเต่า 10,000 ปีเลยนะเนี่ย หากเจอกับคนที่มีความสามารถเหนือตนเองแล้วสู้ไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถเอาตัวรอดได้
“จะคืนพลังให้มันได้อย่างไร” มู่เกอที่ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นถึงข้อดีของมันถามอย่างตื่นเต้น
แต่ครั้งนี้ซือมั่วไม่ไต้ตอบคำตอบที่เธอต้องการ แต่พูดเป็นปรัชญาว่า “วิธีที่จะทำให้ป้ายสามารถกลับมาใช้ได้นั้นไม่เคยมีบันทึกมาก่อน จะสามารถทำได้หรือไม่ก็ต้องดูว่ามันมีวาสนาสัมพันธ์กับเจ้าหรือเปล่า”
มู่เกอสลด
ในใจรู้สึกเหมือนตกลงมาจากยอดเมฆ เจ็บใจจนเธอ อยากจะกระอักเลือด
ความรู้สึกที่มีกุญแจแต่หาช่องเสียบกุญแจไม่เจอ พวกเจ้าเคยเป็นไหม?
“ไม่ต้องรีบ หากมันเป็นของเจ้า อย่างไรเสียมันก็ต้องเป็นของเจ้า” ซือมั่วไม่อยากเห็นเธอหมดหวังจึงคืนป้ายให้กับเธอแล้วปลอบใจอย่างอ่อนโยน
น้ำหนักเกือบ 50 กิโลกรัมของมันไม่ได้ทำให้แขนของมู่เกองอลงเลยแม้แต่น้อย
เธอจับป้ายไว้แน่น ทันใดนั้นป้ายก็หายไปจากมือของเธอ เหมือนกับป้ายนั้นถูกเธอเก็บกลับคืนเข้าไปในแหวนซวีหมีแต่ความเป็นจริงแล้ว เธอเอาป้ายนั้นใส่ไว้ในช่องว่างของตนเอง
พูดเป็นเล่น ของมีค่าแบบนี้จะเก็บไว่ในแหวนซวีหมีได้อย่างไร เก็บไว้ในช่วงของตนเองปลอดภัยที่สุด
แต่ว่าแหวนซวีหมีวงนี้ก็ถือว่าเป็นเครื่องอำพรางชั้นยอด เพราะแบบนี้แล้วก็จะไม่มีใครรู้ว่าเธอมีช่องว่างที่เป็นของเธอเอง มู่เกอแอบมองซือมั่วเห็นเขาไม่ได้สงสัยอะไรก็แอบถอนหายใจ
เธอตั้งใจเก็บป้ายนั้นเข้าไปในช่องว่างของตนเองต่อหน้าเจ้าเฒ่าประหลาดนี่ เพื่อจะดูว่าเจ้าคนน่ากลัวนี่จะดูออกหรือเปล่าว่าเธอมีช่องว่างของตนเอง หากไม่ ช่องว่างของเธอก็ถือว่าปลอดภัยในแผ่นดินหลินชวน
ดูเหมือนว่า เธอจะยังสามารถรักษาความลับเอาไว้ได้ บางส่วน
แต่เธอไม่รู้ว่าในตอนที่เธอเก็บป้ายนั้น แววตาของชือมั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย ช่องว่างที่ไม่เหมือนแหวนซวีหมีนั้น เขารู้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขารู้ว่ามู่เกอไม่ไว้ใจในตัวเขา จึงเก็บ เรื่องนี้เอาไว้ในใจ
หลังจากหยิบป้ายออก ในกล่องไม้ก็เหลือเพียงยาเม็ดที่แผ่ซ่านพลังลึกลับบางอย่างออกมา
มู่เกอเขย่ากล่องไม้ เม็ดยาจึงกลิ้งไปมาอยู่ในกล่อง
“ยานี่ดูแปลกๆ” มู่เกอพึมพำ หลังจากที่เกิดใหม่มาเกือบเดือนกว่า เธอกินยาแปลกๆ เข้าไปมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นยาของมู่ซงหรือยาของเจ้าเฒ่าประหลาดคนนี้ ก็เทียบไม่ได้กับยาในกล่องไม้ใบนี้
“ยานี้ใช้รักษาอะไร” สิ่งสำคัญคือต้องรู้สรรพคุณของมันก่อน มู่เกอหยิบยาเม็ดนั้นออกจากกล่องไม้ แล้วสังเกตอย่างละเอียด
“ยาเม็ดนี้ก็มีมนต์ต้องห้ามปิดผนึกไว้เช่นกัน” จู่ๆ ซือมั่วก็พูดขึ้นมา
มนต์ต้องห้ามอีกแล้ว
มู่เกอขมวดคิ้ว
“มนต์ต้องห้ามมันคืออะไรกันแน่ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ในระยะนี้ เธอก็เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในหลินชวนแห่งนี้มากขึ้น แต่คำว่ามนต์ต้องห้ามนี้เธอได้ยินเป็นครั้งแรกจากปากของซือมั่ว
ซือมั่วหันหน้ามามองเธอ แล้วเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดพร้อมหัวเราะว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์หมั่นฝึกฝนพลังเข้าไว้ สักวันเจ้าจะเข้าใจว่าอะไรคือมนต์ตองห้ามและมันก็ไม่ใช่ของแผ่นดินหลินชวนแห่งนี้”
มู่เกอขมวดคิ้วมากขึ้นอีก เธอมองด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าเคยบอกว่าตุ้มหูของข้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรอยู่ในหลินชวน แล้วบอกว่าการที่แหวนซวีหมีมาอยู่ในหลินชวนเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดขึ้น ตอนนี้ก็บอกว่ามนต์ตองห้ามไม่ควรปรากฏขึ้นที่นี่ ถ้าของพวกนี้ไม่ควรอยู่ในหลินชวน แล้วควรจะไปปรากฏอยู่ที่ใด”
คำถามของมู่เกอทำให้รอยยิ้มของซือมั่วกดลึกมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงไม่ตอบคำถามของเธอและเปลี่ยนเรื่อง “หากเสี่ยวเกอเอ๋อร์ตั้งใจฝึกฝน เจ้าก็จะรู้ว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่กว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้มากนัก หลินชวนก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ มีเรื่องบางเรื่องหากรู้เร็วเกินไปก็ไม่ใช่ผลดีต่อตัวเจ้า”
“เจ้าเคยไปที่โลกอื่นใช่ไหม? ท่านปู่บอกว่าที่หลินชวนไม่มีมังกรพยัคฆ์วายุ แต่เจ้ากลับพาพวกมันมาปรากฏต่อสายตาทุกคน” มู่เกอพูดข้อสงสัยในใจของตนเองออกมา
หากผู้ชายคนนี้สามารถทะลุมิติไปโลกอื่นได้จริง ถ้าอย่างนั้นเขาจะเก่งกล้าถึงขั้นไหนกัน
ซือมั่วส่ายหน้าเบาๆ แล้วหัวเราะโดยไม่พูดอะไร
ขี้งก!
มู่เกอแอบเบะปากในใจ บ่นที่เขามาหยุดเล่าเอาช่วงสำคัญแบบนี้
แต่อยู่ๆ มือข้างที่ถือยาอยู่ของเธอก็สั่นอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เกอตกใจ กำยาไว้แน่น
แต่อยู่ๆ ยาเม็ดนั้นก็หลุดจากการควบคุมของเธอ ยาเม็ดนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพุ่งมาที่ใบหน้าของเธอ เห็นเพียงเงาที่สะท้อนเข้ามาในนัยน์ตากระจ่างใสของเธอเท่านั้น ยานั้นราวกับเป็นกระสุนปืนที่ถูกยิงพุ่งมาทางเธอ
ทันใดนั้น มันก็ฝังเข้าไปอยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของเธอ วินาทีต่อมามู่เกอรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดมิด จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีก
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์!” ซือมั่วรีบเข้ามาพร้อมยื่นมือออกไปรับร่างที่กำลังจะร่วงลงพื้นของมู่เกอไว้ใบหน้าเขาไม่ได้ดูตกใจหรือกังวล เพียงพึมพำอย่างเรียบเฉยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้าบอกแล้วว่าหากโอกาสเป็นของเจ้า มันก็ต้องเป็นของเจ้า”
ในมุมมืด กูหยาพูดกับกูเย่ว่า “เจ้าลองคิดดูว่าในโลกใบนี้ คนที่ทำให้ท่านประมุขของเราถ่ายทอดเวทคุ้มกันให้ด้วยตนเองแบบนี้ คงจะมีแค่คนตรงหน้าใช่ไหม?”