ตอนที่ 634
แผนของมู่เทียนอิน
ตอนที่มู่เทียนอินกับมู่หลินเข้าไปในเซียนลู่ไจนั้นพวกเขาตรงขึ้นไปยังชั้นบนเลย ไม่ได้ผ่านลานกลาง
เวลานี้ มู่ชิงเกอกับหยินเฉินจึงยังไม่รู้ว่า ศัตรูคู่อาฆาตได้มาปรากฎตัวอยู่ที่ด้านล่างนี่เอง
“ชิงเกอจะลองถามหาองค์หญิงชูเนี่ยน แล้วขอพบดูไหม” หยินเฉินถาม ในเมื่อมู่ชิงเกอคิดสืบหาข่าว เขาก็ย่อมต้องหาวิธีให้พวกเขาได้พบกัน
แต่มู่ชิงเกอกลับสั่นศีรษะช้าๆ “ไม่ต้องรีบรออีกหน่อย”
“รอหรือ” หยินเฉินขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าจะรออะไร
มู่ชิงเกอตอบไม่ตรงคำถาม สายตามองไปที่คนดีดพิณบนเวทีแล้วยิ้มน้อยๆ “เพลงนี้ไม่เลวจริงๆ ฟังแล้วมีผลดีนัก”
หยินเฉินไม่ค่อยเช้าใจความหมายมู่ชิงเกอนัก แต่ในเมื่อนางบอกไม่รีบก็คือไม่ต้องรีบ
มู่เทียนอินกับมู่หลินเข้ามาแล้วก็ไม่ได้หาที่นั่ง แต่กำลังมองหาองค์หญิงชูเนี่ยน
หากันอยู่นานก็ยังไม่พบ พวกเขามาถึงชั้นสามเอ่ยรั้งมนุษย์เทพรับใช้คนหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากห้อง
“บอกมาสิ องค์หญิงชูเนี่ยนอยู่ห้องไหน” ข้อศอกมู่หลินกดคอเขาเอาไว้ที่มุมห้องแล้วเอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงเหี้ยมโหด
มู่เทียนอินเอาสองมือไพล่หลังมองดูเหตุการณ์ด้วยความเย็นชา
ด้านหลังมีสายตาที่โหดร้ายจับจ้องอยู่ ดวงตามู่หลินหลุบลงเล็กน้อยแล้วกลับสู่ท่าทียามปกติพลางเอ่ยถามคนที่ถูกคุมตัวไว้ต่อ
“ข้า… ข้าไม่รู้” มนุษย์เทพที่ถูกจับไว้พูดด้วยความหวาดผวา
เขาเป็นเพียงคนสามัญถึงแม้จะสามารถบำเพ็ญได้ แต่ในเมืองอู๋หวานี้ก็ทำได้เพียงงานจิปาถะ ตบะบำเพ็ญจะสูงเท่าไรกันเชียว
เขาคงนึกไม่ถึงว่าตัวเองทำงานในร้านอยู่ดีๆ กลับต้องมาประสบเหตุร้ายเช่นนี้ “ไม่รู้หรือไม่อยากบอก” เสียงมู่หลินเข้มขึ้น
“ข้า…ข้า…” มนุษย์เทพที่ถูกจับตัวไว้มีสีหน้าตื่นตกใจ แววตาสั่นไหวไม่หยุด
มู่หลินเตือนว่า “ชีวิตเจ้าสำคัญหรือชีวิตคนอื่นสำคัญ แล้วก็พวกเราไม่ได้คิดร้ายต่อองค์หญิงชูเนี่ยนเพียงแค่ชื่นชมในชื่อเสียงจึงอยากพบบ้างก็เท่านั้น”
คำอธิบายของเขาทำให้มนุษย์เทพโล่งอก คิดว่าชายหนุ่มสง่างามที่ยืนข้างหลังมู่หลินอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบในตัวองค์หญิงชูเนี่ยน แต่คำพูดที่เย็นเฉียบของมู่เทียนอินกลับทำให้เขาหวาดผวายิ่งกว่าเก่า
“เสียเวลากับเขาทำไม หากไม่บอกก็ฆ่าทิ้งไปเสีย เซียนลู่ไจเล็กเพียงเท่านี้ ในเมื่ออยู่ในนี้แล้วจะหาไม่พบได้อย่างไร”
คำพูดนี้ทำเอามนุษย์เทพกลั้นหายใจแล้วมองเขาอย่างหวาดหวั่นสุดแสน
แววตาของมู่หลินสั่นไหว แสดงสีหน้าเหี้ยมโหดและ ข่มขู่อีกครั้งว่า “พูดเร็ว!”
“ข้า…ข้าพูด” มนุษย์เทพยอมแล้ว เขายกมือแล้วชี้ไปยังห้องที่ปิดประตูมิดชิด พลางบอกทั้งคู่ว่า “อยู่…อยู่ นั่น…”
มู่หลินมองไป จิตสังหารในตัวมู่เทียนอินพุ่งขึ้นสูงอีกครั้ง เมื่อเห็นเขาเตรียมฆ่าคนปิดปาก มู่หลินก็รีบร้องเตือนว่า “นายน้อยอย่า”
สายตาเหี้ยมโหดของมู่เทียนอินย้ายมาที่มู่หลินแทน มู่หลินกดความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ กัดฟันพูดว่า “นายน้อย หากฆ่าเขาจะนำความยุ่งยากมาอีกมาก เซียนลู่ไจ มีชื่อเสียงมากในเมืองอู๋หวา หากพบว่าคนของพวกเขาตายโดยไม่มีสาเหตุในร้านจะต้องเป็นที่สนใจของคนอื่นๆ ยิ่งเป็นการคุกคามต่อพวกเรา ดังนั้นเขาจะตายไม่ ได้”
“อ้อ แต่เขาเห็นพวกเราแล้ว หากปล่อยเขาไปเขาจะต้องพาคนมา พวกเราก็จะต้องถูกเปิดโปง เจ้าว่าควรทำอย่างไรเล่า” มู่เทียนอินหรี่ตาด้วยสีหน้าน่ากลัว
มนุษย์เทพที่ถูกจับเอาไว้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เขากลั้นหายใจฟังทั้งคู่สนทนาเงียบๆ รอฟังชะตาชีวิตตัวเองที่คนอื่นเป็นผู้ตัดสิน
“พวกเราสามารถลบความจำของเขาได้” มู่หลินรีบพูด ถูกลบความจำย่อมดีกว่าตายมากนัก คนที่ถูกจับไว้รีบผงกศีรษะ แววตาเต็มไปด้วยความหวัง
แววตามู่เทียนอินอึมครึม ทำให้คนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มู่หลินเองก็รอคอยการตัดสินใจของเขาด้วยใจที่สั่นไหว
ไม่ใช่ว่าเขามีใจเมตตาหรือมือไม้อ่อน แต่เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าคนไปเรื่อยเช่นนี้
อีกทั้งก็เป็นจริงตามที่เขาว่า หากฆ่าคนในเซียนลู่ไจ พวกเขาจะเคลื่อนไหวได้ยากมากขึ้น
“นายน้อย” มู่หลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
มุ่เทียนอินยกมือตัดบทคำพูดเขา นิ้วมือข้างที่เกิดจากไหมโลหะถักนั้นขยับเพียงนิดพลังเทพสายหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในสมองของคนคนนั้น
คนคนนั้นนิ่งไปทันที สองตาเลื่อนลอย มุมปากมีฟองขาวผุดขึ้น ล้มลงไปทันที
มู่หลินมองอย่างตกตะลึง
มู่เทียนอินกลับพูดเรียบๆ ว่า “ให้เขากลายเป็นปัญญาอ่อนก็เหมือนกัน”
พูดจบเขาก็หันกายเดินอย่างเชื่องช้าไปยังห้องที่คนคนนั้นชี้บอก เงาร่างด้านหลังแผ่กระไอความเชื่อมั่นและโหดร้ายออกมา
มู่หลินยืนมองดูเงาหลังของมู่เทียนอินอยู่ที่เดิมแล้วมองไปยังคนที่นอนกองอยู่กับพื้น
“เหมือนกันหรือ?” เขาถามตัวเอง
แม้ความจำหายไปคนคนนี้ก็ยังสามารถใช้ชีวิตปกติทั้ง ยังบำเพ็ญได้เหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อเขากลายเป็นปัญญาอ่อนไปแล้ว ต่อแต่นี้เขาก็จะเป็นคนปัญญาอ่อน ไปตลอดชีวิต ไม่สามารถใชชีวิตแบบคนปกติทั่วไปได้ นั่นยิ่งทำให้เขาลำบากมากเสียกว่าการฆ่าเขาเสียอีก
“ยังไม่รีบตามมาอีก” คำพูดที่เย็นชาของมู่เทียนอินดังแว่วมาจากด้านหน้า
มู่หลินถอนใจทำได้เพียงเก็บอารมณ์แล้วตามไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขามาหยุดอยู่ที่ข้างมู่กายเทียนอินนั้นก็ได้มาถึงประตูบานนั้นแล้ว
คนในห้องนั้นก็คือองค์หญิงชูเนี่ยนแห่งดินแดนอู๋หวา
สองตาที่โหดเหี้ยมของมู่เทียนอินจ้องประตูที่ปิดแน่น มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น
“นายน้อย วิธีนี้…” มู่หลินขมวดคิ้วด้วยท่าทีลังเล มู่เทียนอินคิดจะอาศัยชูเนี่ยนเพื่อเข้าวังอู๋หวา ใกล้ชิดราชาเทวะอู๋หวาและหาข่าวเกี่ยวกับเคล็ดวิชาเทวะส่วน ล่าง
แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันจะทำให้ชูเนี่ยนเทใจให้ถึงขนาดยินดีช่วยเหลือมู่เทียนอินได้อย่างไร
“ในห้องคือองค์หญิงชูเนี่ยนใช่ไหม” แต่ไม่รอให้มู่หลินพูดจบ มู่เทียนอินก็เอ่ยขึ้นก่อนแล้ว ครั้งนี้ นํ้าเสียงเขาไม่โหดเหี้ยม ฟังแล้วรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย
“ใครอยู่ข้างนอก” สาวใช้ด้านในเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่พอใจที่ฐานะถูกเปิดเผย
นํ้าเสียงเช่นนี้ทำให้แววตามู่เทียนอินเย็นเยียบ แต่เขาก็ยังอดทนเอ่ยว่า “ได้ยินนามอันเลื่องลือขององค์หญิงชูเนี่ยนมานาน วันนี้มาที่เซียนลู่ไจได้ทราบข่าวว่าองค์ หญิงอยู่ที่นี่จึงอยากขอเข้าพบ ข้าไม่ใช่ผู้โด่งดังในดินแดนเทพเป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น”
ขณะที่เขาพูดคำสุดท้าย ถึงแม้คำพูดจะถ่อมตน แต่นํ้าเสียงนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนง
ด้านในเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักจึงมีความเคลื่อนไหว ประตูห้องที่ปิด มิดชิดถูกเปิดออก ในนั้นปรากฎร่างสาวใช้คนหนึ่ง สาวใช้คนนี้รูปร่างสูงโปร่ง คล่องแคล่วว่องไว ดูเหนือกว่าคนทั่วไป สายตามู่เทียนอินมองร่างนางแล้วจึงเลื่อนขึ้นไปมองที่ใบหน้าของนาง แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้านางแล้วกลับต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย
สาวใช้นางนี้ใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังรูปโฉมเอาไว้ เหลือเพียงนัยน์ตาหงส์ทั้งสองที่กระจ่างใสราวกับธารนํ้าในฤดูสารทชวนให้คนหลงใหล เหนือนัยน์ตาหงส์นั้นคือสองคิ้วโก่งราวแนวเขาไกล สวยงามน่าชม
เมื่อนางเห็นว่ามู่เทียนอินจ้องมองก็หลุบตาลงช้าๆ ขนตาที่ยาวงอนปิดบังแววตาของนาง
“องค์หญิงชูเนี่ยนไม่สะดวกพบคนนอก คุณชายหากมีคำพูดใด ให้เอ่ยผ่านประตูเถอะ” นางหลุบตาลง เมื่อพูดจบก็เบี่ยงกายหลบไปด้านข้างเผยให้เห็นเงาร่าง เลือนรางในห้อง
มู่เทียนอินยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู ไม่ได้แข็งขืนบุกรุกเข้าไป
เพียงแต่ค่อยๆ ย้ายสายตาจากตัวนางไปยังเงาด้านข้างอันเลือนรางของหญิงสาวที่อยู่หลังฉากกั้น เขายิ้มบางๆ
“ดูแล้ว องค์หญิงชูเนี่ยนคงไม่ยอมพบข้าน้อยแล้ว” ใบหน้าของเขานี้ ความจริงก็ถือว่าสง่างามสมชาย ทั้งแฝงด้วยความแกร่งกล้าสามารถ เขาไม่ใช่ชายงามสุด แสน แต่ก็ไม่เลวนัก ยิ่งเวลานี้เขาเก็บงำความโหดเหี้ยมในแววตาเอาไว้ก็ราวกับเรียกเอาสง่าราศีที่เคยมีแต่ก่อนนั้นกลับคืนมา
เขายังคิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ หลังจากองค์หญิงชูเนี่ยนได้เห็นแล้วจะต้องรู้สึกว่าเขาโดดเด่นในหมู่ชายหนุ่มจนยอมพูดคุยกับเขา จากนั้นก็จะค่อยๆ สร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันผ่านการพูดคุย จนบรรลุวัตถุประสงค์ของตนได้
แต่เขากลับนึกไม่ถึงเลยว่า ชูเนี่ยนจะพบเขาผ่านฉากกั้น แววตามู่เทียนอินเปลี่ยนแปลงไปมาหลายรอบ นํ้าเสียงที่เหมือนกำลังโกรธก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปทันที รีบขออภัยว่า “ก็จริง ข้าน้อยบุ่มบ่ามมา แต่องค์หญิงก็ยังยอมพูด
คุยกับข้าน้อย นับว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่งแล้ว”
พูดจบหางตาเขากวาดผ่านสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างประตูอย่างไร้พิรุธใด
สาวใช้ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาเขา นางหลุบตาเอ่ยว่า “คุณชายอยากพูดอะไรก็เชิญเถอะ”
มู่เทียนอินมองนางแล้วยิ้มน้อยๆ “ที่บุ่มบ่ามมาถึงนี่ เนื่องจากชื่นชมชื่อเสียงเปี่ยมคุณธรรมขององค์หญิง ไม่ได้มีใจเกินเลยแต่อย่างใด เมื่อองค์หญิงไม่อยากให้พบก็ย่อมว่ากันไม่ได้ เพียงแต่สาวใช้ขององค์หญิงท่านนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่ธรรมดานัก นางต่างจากหญิงทั่วไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ข้าหลงรักแต่แรกพบ ข้าน้อยยังไม่มีคู่ครอง ทั้งไม่มีอนุภรรยาใดๆ วันนี้ข้าจึงหาญกล้าขอร้ององค์หญิงให้ทรงอนุญาตยกสาวใช้นางนี้ให้เป็นคู่ครองของข้า บุญคุณขององค์หญิงครั้งนี้ข้าจักจดจำไม่มีวันลืมเลือนตลอดชีวิต”
พอเขาพูดออกมา คนที่ตกใจไม่เพียงแต่มู่หลินที่รู้แผนของเขาเท่านั้น สาวใช้ที่คลุมผ้าคลุมหน้าเองก็ตกใจจนสะดุ้ง แม้แต่องค์หญิงชูเนี่ยนที่ไม่ยอมเอ่ยปากเลยตั้งแต่ต้นยังตกใจจนผุดลุกขึ้นแล้วพูดเสียงสั่นว่า “ไม่ได้!”
ปฏิกิริยาของนางทำให้มุมปากของมู่เทียนอินเชิดขึ้น ในส่วนลึกของนัยน์ตามีแววกระหยิ่มใจวาบผ่าน
สาวใช้ที่สวมผ้าคลุมหน้าเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขาเข้าพอดี
ตาหงส์ที่แสนงามคู่นั้น ไม่ปรากฎระลอกคลื่นใดๆ เพียงเห็นนางค่อยๆ ยกมือขึ้น แขนเสื้อเลื่อนหล่นลงจนปรากฎผิวขาวเนียนลื่น นิ้วมือเรียวยาวนั้นค่อยๆ ดึงผ้า คลุมหน้าออก
แขนที่นิ่มนวลราวไร้กระดูก ทั้งความโดดเด่นของอากัปกิริยาที่พิเศษเฉพาะตัวนั้นดึงดูดความสนใจของมู่เทียนอินอยู่แต่แรกแล้ว
แต่เมื่อผ้าคลุมหน้าถูกดึงลงและใบหน้านั้นปรากฎออกมา นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยแผนการของมู่เทียนอินฉับพลันนั้นก็หายไปจนหมดสิ้น คงเหลือแต่แววตาตกตะลึงในความงามเท่านั้น
เดิมเห็นเพียงนัยน์ตาคู่นั้นก็คิดว่างามสุดแสนแล้ว
แต่เวลานี้ เมื่อรวมเข้ากับจมูกและปากแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่านี่ คือความงามที่อยู่เหนือฟ้าดิน
ความงามของนางช่างดูสูงส่งราวกับกล้วยไม้ในป่าลึก อยู่เหนือโลกโลกีย์ทั้งปวง โดดเด่นเหนือสรรพสิ่งในโลก ไม่ได้งามจนบาดตาแต่งามจนทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสบาย ไม่อาจจะหักใจถอนสายตา
นี่ไม่ใช่ความงามที่สะเทือนไปถึงจิตวิญญาณ แต่กลับสามารถทะลวงเข้าไปถึงก้นบึ้งของจิตใจได้
ในพริบตานั้น มู่เทียนถึงขนาดลืมจุดประสงค์ของตัวเองไป นึกอยากจะแต่งงานกับหญิงสาวเบื้องหน้านางนี้จากใจจริง
หญิงสาวงามเลิศเช่นนี้เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่งหรือ มู่หลินสะดุงตกใจ ในเวลานี้เอง สาวใช้กลับเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “คุณชายทำไมจึงจับได้ว่าข้าเป็นใคร”