Skip to content

พลิกปฐพี 879

ตอนที่ 879

บุคคลชั้นยอดเผ่าเทพมาร!

“แม้ว่าเผ่าอี้และเผ่าเทพของเรา…” ราชาเทวะจินกวงเอ่ยปาก สายตากวาดผ่านซือมั่วปราดหนึ่ง เสริมอีกหนึ่งประโยค “รวมถึงเผ่ามาร จะขัดแย้งสู้รบกันหลายครา แต่ตลอดมาก็ไม่เคยเกิดการใช้อำนาจคุกคามแผ่นดินเทพมารจริงๆ สักครั้ง ราชาเทวะมู่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

ราชาเทวะจงซานก็กล่าวเช่นกัน “เผ่าอี้เป็นแคว้นด้านนอก ใช่คู่ต่อสู้ของเราที่ไหน”

ราชาเทวะเหล่านี้วิจารณ์ต่อไปหลายรอบ มู่ชิงเกอฟังจนเข้าใจถ่องแท้แล้วพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเผ่าอี้เลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ

แม้จะรู้ว่าเผ่าอี้แปลกประหลาด เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่กลับยังคงรู้สึกมั่นใจว่าตนจะต้องชนะแน่นอน

แม้แต่ราชาเทวะจงซานยังคิดเช่นนี้นับประสาอะไรกับคนที่เหลือ

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ ไม่มีหลักฐาน พวกเขาไม่มีทางเชื่อ แม้ข้าจะบอกเรื่องที่มียอดฝีมือเผ่าอี้แฝงตัวเข้ามาลอบสังหารซือมั่ว พวกเขาก็ไม่อาจเชื่อว่าเผ่าอี้มี แผนการร้าย

ไม่คิดจะเสียเวลาพูดหัวข้อสนทนานี้แล้ว มู่ชิงเกอกล่าว “ให้คนจำนวนมากเข้าไปในแสงแห่งวิถี เรื่องนี้ไม่มีผลเสีย ทุกท่านอย่าได้โต้แย้งอีกเลย”

ผลเสียไม่มี สามารถเลื่อนระดับคนทั้งหมดในแผ่นดินเทพสี่สมุทรได้พวกเขาเองก็ยินดี

ปัญหาก็คือ ที่มู่ชิงเกอเสนอออกไป ยังต้องการให้บุคคลชั้นยอดเผ่ามารในแดนมารเดินทางไปด้วย นี้กลับผิดปกติเล็กน้อย

“คนเผ่าเทพของเราย่อมได้ แต่ว่าเผ่ามาร…” ราชาเทวะเฝินไห่บ่นพึมพำเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าว “ราชาเทวะมู่ ท่านไม่อาจถือหางพรรคพวกเช่นนี้ เพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับแดนมาร แสงแห่งวิถี อย่างไรเสียก็เป็นสมบัติเผ่าเทพของเรา”

“แสงแห่งวิถีคือบ่อเกิดแห่งวิถี เป็นของประชาชนทั้งหมดบนแผ่นดินเทพมาร กลายเป็นของเผ่าเทพของท่านได้อย่างไร” ในที่สุดซือมั่วก็เอ่ยปาก

เพราะว่าอยู่ที่เก้าชั้นฟ้า เพราะว่าอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอ เพราะว่าเผชิญหน้ากับราชาเทวะหนึ่งกลุ่ม เขาจึงนิ่งเงียบไม่พูดมาโดยตลอด มอบทุกอย่างให้มู่ชิงเกอจัดการ

แต่ว่า กลับไม่คิดว่า ในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญจำนวนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าราชาเทวะเหล่านี้โต้แย้งไม่หยุด ทำให้เขาไม่สบายใจจนถึงที่สุดจริงๆ

ตอนนี้สีหน้าของมู่ชิงเกอก็เย็นเยียบลงแล้วเช่นกัน เอ่ยปากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เงื่อนไขของข้า หากตอบรับก็ไปแสงแห่งวิถี หากไม่ตอบรับพวกท่านก็ไปกันเองเถิด”

เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกไป คนหลายคนก็หน้าเปลี่ยนสีในชั่วพริบตา

ในตำหนัก สงบนิ่งลง เงียบสงัดจนไม่มีเสียงใด

ครู่หนึ่ง ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจึงกล่าวช้าๆ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้เถอะ ภายในสามวันนี้ พวกเราต่างคนต่างไปเรียกประชุมบุคคลชั้นยอดในดินแดน ขณะเดียวกันก็ประกาศต่อสาธารณะ ให้บุคคลชั้นยอดที่ไม่เคยเข้าดินแดนถือโอกาสเข้ามา สำหรับแดนมารฝังนั้น…” เขาเหลือบตาขึ้นมองซือมั่ว กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ก็ รบกวนเจ้าแห่งมารเตรียมการด้วย”

พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน กล่าวกับมู่ชิงเกอ “พบกันในอีกสามวัน”

หลังจากนั้น เขาก็หมุนตัวจากไป ราชาเทวะจงซานก็รีบเดินตามหลัง หลายคนที่เหลือเห็นสองคนนี้ พยักหน้ารับปากจากไปอย่างไม่ลังเลก็เร่งรีบออกจากเก้าชั้นฟ้าเช่นกัน

เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว มู่ชิงเกอก็สบตาซือมั่วปราดหนึ่ง มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะดัง ‘พรืด’ ออกมา

“ขำอะไร” ซือมั่วกล่าวถาม

“ไม่มีอะไร” มู่ชิงเกอส่ายหน้า อันที่จริงนางเองก็ไม่รู้ว่าขำอะไร เพียงแต่จู่ๆ ก็อยากหัวเราะ

“ข้าไม่ชอบเขา” จู่ๆ ซือมั่วก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

มู่ชิงเกอหยุดหัวเราะ มองเขาด้วยความสงสัย แล้วกล่าวถาม “ไม่ชอบใคร”

“ฮ่วนเยวี่ย” ซือมั่วตอบตรงๆ

มู่ชิงเกอนิ่งอึ้ง กะพริบตา ในสมองย้อนคิดอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าความเกลียดชังของซือมั่วมาจากไหน ดังนั้น นางจึงถามอย่างหยั่งเชิง “ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามีเรื่องบาดหมางกันหรือ”

อย่างไรเสีย วันเวลายาวนานก่อนหน้านี้ ตอนที่นางยังไม่ปรากฎตัว ซือมั่วพบเจออะไรมาบ้าง นางก็รู้ไม่แน่ชัด

แต่ว่าซือมั่วกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่มี”

“เขาเคยให้ร้ายเจ้าหรือ เคยพูดจาว่าร้ายเจ้าหรือ” มู่ชิงเกอถามต่อ

ซือมั่วยังคงส่ายหน้า

มู่ชิงเกอแบมือกล่าว “เช่นนั้นเจ้าเกลียดเขาทำไมเล่า”

สายตาของซือมั่วเคลื่อนไปเบาๆ ตกลงบนร่างมู่ชิงเกอ มองนางอย่างตั้งใจแล้วกล่าว “พูดตามตรง น่าจะไม่ชอบสายตาที่เขามองเจ้า และไม่ชอบที่เจ้าคบค้า สมาคมกับเขา”

เอ่อ…

“เขามองข้าด้วยสายตาแบบใด” มู่ชิงเกอถามอย่างสงสัย

ซือมั่วเม้มปาก มู่ชิงเกอมีท่าทางทึ่มทื่อเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกตื่นตัวชนิดหนึ่ง อย่าเตือนนางจะดีกว่า “ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าเจ้ารู้ว่าข้าไม่ชอบ หลังจากนี้ สนิทสนมกับเขาให้น้อยลงก็พอ”

มู่ชิงเกอกะพริบตาปริบๆ พลันยิ้มกล่าว “ดังนั้น อามั่วเจ้ากำลังหึงอยู่หรือ”

ใครจะรู้ เมื่อคำพูดนี้ออกไป แก้มของซือมั่วก็มีสีแดงเลือดฝาดสองฝั่งแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาทำหน้าขรึมเบือนศีรษะหนีเบาๆ หลบเลี่ยงสายตาสืบเสาะของมู่ชิงเกอ “เวลากระชั้นชิด ข้าจะกลับแดนมารไปเตรียมทุกอย่างก่อน สามวันนี้ เจ้าพักผ่อนให้ดี อย่าหักโหมเกินไป อีกสามวันข้าจะมารับเจ้า”

พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไปทันที

ความเร็วนี้ทำให้มู่ชิงเกอเห็นสภาพจนตรอกราวกับวิ่งหนีหลายส่วน ไม่รู้เพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าซือมั่วแบบนี้ก็น่ารักอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

สามวัน ผ่านไปชั่วพริบตา

อาบแสงแห่งวิถีเรื่องดีเช่นนี้ มู่ชิงเกอไม่อาจปล่อยให้ผูใต้บังคับบัญชาของตนพลาดโอกาส กองทัพส่วนตัวของนาง สหายเพื่อนพ้องของนาง ยังมีผู้มีความ สามารถที่สามารถปลุกขั้นได้จำนวนหนึ่งซึ่งเลือกออกมาใหม่ รออยู่ในเก้าชั้นฟ้าอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

สำหรับหยินเฉิน ไป๋สี่ โห่ว ชูเนี่ยน แสงแห่งวิถีมีผลต่อเผ่าอสูรไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ไป อยู่ช่วยมู่ชิงเกอเฝ้าระวังเก้าชั้นฟ้า

ตอนที่มู่ชิงเกอจากมา ยังหยอกล้อหนึ่งประโยค บอกว่าสี่คนนี้คือสี่อสูรยิ่งใหญ่ในเก้าชั้นฟ้าของนาง

ครั้งนี้สถานที่ที่เลือกเปิดแสงแห่งวิถี ยังคงเป็นเกาะโหลวหลานในมหาสมุทรดวงดาว เพราะว่าที่นั่นตั้งอยู่ตรงกลางแผ่นดินเทพสี่สมุทร แม้เกาะจะไม่ใหญ่ แต่ ในแสงแห่งวิถี กลับสามารถจุคนได้นับไม่ถ้วน ขอเพียงตอนที่เปิดแสงแห่งวิถีเข้าไปทันเวลาก็ได้แล้ว

เมื่อมู่ชิงเกอไปถึงเกาะโหลวหลานพร้อมซือมั่ว บนเกาะก็กลายเป็นทะเลมนุษย์สุดลูกหูลูกตา กระทั่งยังมีคนบางกลุ่ม ทำได้เพียงนั่งอยู่บนเรือเปล่า รอวินาทีนั้น ที่แสงแห่งวิถีเปิดออก

มู่ชิงเกอกวาดสายตาผ่านกลุ่มคน ในกลุ่มบุคคลชั้นยอดแดนฮ่วนเยวี่ย นางมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายดวง

มีถงเถิงที่เรียกนางลูกพี่ ยินยอมพร้อมใจติดตามนาง แม้ว่านางจะยุ่งจนไม่มีเวลาไปสนใจการมีอยู่ของเขา ยังมีจวงซาน หลีเฉา เซียนสุ่ย…เหยาชิงไห่และซีเซียนเสวี่ยก็ปรากฎตัวอยู่ในแถวเช่นกัน

มองเห็นพวกเขาสองคน หัวใจมู่ชิงเกอก็เสียดาย หากจีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เว่ยมั่วลี่สามคนสามารถเข้าร่วมโอกาสที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ได้ก็คงดี น่าเสียดาย ตอนนี้พวก เขายังอยู่ในเสี่ยวเทียนอี้หลังจากที่เก้าชั้นฟ้าสถาปนาใหม่ นางเคยส่งคนไปที่เสี่ยวเทียนอี้ คนของนางกลับมาบอกนางว่าทั้งสามคนยังไม่ออกมา

คำนวณดูแล้ว ก็ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่เดือน พวกเขายังอยู่ในเสี่ยวเทียนอี้ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

ไม่มีโอกาสพูดคุยเรื่องในอดีต มู่ชิงเกอเก็บสายตากลับมา มองไปบนร่างราชาเทวะหลายคนที่อยู่ข้างหน้าสุด ซือมั่วก็ยืนอยู่ข้างกายนาง ไม่ไกลนักเป็นบุคคล ชั้นยอดของแดนมาร หวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงก็อยู่ในนั้น กลุ่มเจ้าเมืองย่อยแดนมารก็อยู่เช่นกัน และระหว่างเทพมารสองเผ่า แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ แต่ตรงกลางของสองฝ่ายก็ยังกั้นเส้นแบ่งเขตโปร่งแสงไม่รุกลํ้าซึ่งกันและกันหนึ่งเส้นเอาไว้

“หากราชาเทวะมู่พร้อมแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ” ราชาเทวะจงซานอมยิ้มเอ่ยปาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version