บทที่ 231
ดื่มเป็นเพื่อนพวกเราสักจอกสิ
ขณะที่เธอครุ่นคิดอยู่ ข้อมือพลันรัดแน่น ถูกตี้ฝูอีเกาะกุมไว้แล้ว เขาดึงเธอไปนั่งข้างกาย “อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย ดื่มเป็นเพื่อนพวกเราสักจอกสิ”
ครั้งนี้กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ด้านขวามือของเขา ส่วนตี้ฝูอีนั่งติดกับหลงซือเย่
สีหน้าของหลงซือเย่แปรเปลี่ยนเล็กน้อย คิดจะลุกขึ้นทำอะไรบางอย่าง แต่ตี้ฝูอีกดไหล่เขาไว้ ให้เขานั่งลงในตำแหน่งเดิม “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำร้ายนางหรอก แค่อยากเจรจาอย่างจริงจังเท่านั้น”
“แล้วที่ท่านบอกว่าจะตอบรับเงื้อนไขของข้าครึ่งหนึ่งคืออะไร?” หลงซือเย่ก็ไม่ได้เผลอเรอ เขาถามเรื่องที่ตนกังวลที่สุดทันที
“ง่ายมาก ถึงแม้ตามหน้าที่แล้วข้าไม่สามารถเอนเอียงเห็นแก่พวกพ้องได้ แต่หลังการทดสอบของนางเสร็จสิ้น หากนางมิใช่ศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน ข้าก็จะไม่ทำลายวรยุทธ์นาง แค่จะนำนางไปปล่อยไว้ในป่าทมิฬเท่านั้น หรืออาจให้ข้าไม่รายงานเรื่องท่าน ท่านจะได้ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์จากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเลือกข้อไหน?”
หลงซือเย่ยิ้มหยัน “พลังวิญญาณในร่างนางต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ท่านจะทำลายหรือไม่ทำลายแล้วต่างกันตรงไหน? นางถูกปล่อยไว้ในป่าทมิฬก็เหมือนนำชีวิตไปทิ้ง! เงื่อนไขครึ่งเดียวของท่านจะมอบให้ หรือไม่ก็ไม่มีอะไรต่างกัน! ส่วนเรื่องที่ข้าลักพาตัวคน ไม่จำเป็นต้องให้ท่านช่วยปกปิด ข้ายินยอมรับโทษด้วยตัวเอง ไม่ต้องนับเรื่องนี้ไว้ในสัญญาของท่าน!”
นี่เขายกโอกาสทั้งหมดให้เธอหรือ?
ไม่ เธอไม่ต้องการความเมตตานี้ของเขา!
อีกอย่างคือยิ่งเขาปกป้องเธอเช่นนี้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจอมโรคจิต ก็จะยิ่งหึงหวงขึ้นไปอีก! ความเป็นไปที่เธอจะกลายเป็นเบี้ยรับเคราะห์ก็มากขึ้น!
กู้ซีจิ่วแค่นหัวเราะ “เรื่องของข้ามิต้องให้ผู้ใดมาแบกรับแทนข้า และมิต้องให้ผู้ใดมาช่วยเหลือด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือเงื่อนไขทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เคยรับปากกับซีจิ่วแล้ว นำมาเป็นเงื่อนไขใหม่อีกครั้งในยามนี้ คงไม่ดีกระมัง?”
ตี้ฝูอีเอียงหน้ามองเธอด้วยท่าทียิ้มไม่เชิงยิ้ม “ช้าเคยรับปากเจ้าเมื่อไหร่?”
คนผู้นี้คงไม่บิดพลิวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้นกระมัง?!
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้ว “เมื่อวาน…”
เธอพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกหลงซือเย่ตัดบททันที “เมื่อวานเจ้าแค่ฝันไปเท่านั้น เอาละเจ้าวังตี้ เงื่อนไขครึ่งเดียวของท่านโหดร้ายเกินไป ข้าต้องการเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อ!”
“ว่ามา”
“หากนางไม่ใช่ศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน ท่านห้ามทำลายวรยุทธ์นาง สามารถนำนางไปปล่อยไว้ในป่าทมิฬได้ แต่ข้าต้องการไปกับนางด้วย”
ตี้ฝูอีหัวเราะ น้ำเสียงเยียบเย็นเล็กน้อย “ถึงแม้ป่าทมิฬแห่งนั้นจะลึกลับคาดเดายาก แต่ด้วยวรยุทธ์ของท่านและข้า อยากจะกลับออกมาจากป่าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าท่านเข้าไปกับนาง เช่นนั้นโทษทัณฑ์นี้ยังจะเรียกว่าโทษทัณฑ์ได้อีกหรือ? หากเรื่องนี้ แพร่กระจายออกไป เกรงว่าคงยากที่จะอธิบายกับปวงชน ท่านจะทำให้สานุศิษย์ตัวปลอมคนอื่นๆ ที่ถูกปล่อยไว้ในป่าทมิฬนอนตายตาไม่หลับหรือ?”
เขารินสุราอีกจอก จิบอีกหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิม “สวมรอยเป็นศิษย์สวรรค์เบื้องบนเดิมทีมีโทษถึงตาย ดังนั้นการเลือกปล่อยทิ้งไว้ในป่าทมิฬก็เป็นเพียงการมอบโอกาสรอดชีวิตอันน้อยนิดให้พวกเขาเท่านั้น อัตราการรอดชีวิตคือหนึ่งในหมื่น เช่นนี้ถึงจะแสดงให้เห็นว่ายุติธรรม ถึงจะไม่ถูกมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ หากว่าผู้สวมรอยทุกคนล้วนมียอดฝีมือร่วมทางไปด้วย เช่นนั้นโทษทัณฑ์นี้จะมีความหมายอะไร?”
หลงซือเย่เถียงไม่ออก
กู้ซีจิ่วลอบกำมือแน่น เจ้าโรคจิตผู้นี้พูดจาสง่าผ่าเผยถึงเพียงนี้ ความจริงแล้วยังคิดสังหารเธอใช่ไหม?! ช่างดื้อดึงไม่เลิกราจริงๆ!
สีหน้าหลงซือเย่ซีดขาวเล็กน้อย “ผ่อนปรนสักนิดไม่ได้จริงๆ หรือ?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองคนทั้งสอง แล้วทอดถอนใจ “เอาแบบนี้แล้วกัน เห็นแก่มิตรภาพของข้ากับท่าน ข้าจะไม่นำนางไปปล่อยทิ้งไว้ในส่วนลึกที่สุดของป่าทมิฬ แต่จะนำไปปล่อยไว้ใต้ยอดเขาที่สามแทน ดีไหม?”