Skip to content

สู่วิถีอสุรา 717

ตอนที่ 717 สองขั้วที่ต่างกันของความหัวรั้น

ซูหมิงไม่รู้ว่าตนสังหารไปแล้วเท่าไร เขาเดินมาสามร้อยก้าว ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนตรงเข้ามา ทว่ากลับสลายไปจากการกวัดแกว่งกระบี่สังหารในมือ ในเวลาเดียวกัน มีศีรษะคนลอยขึ้นมาพร้อมกับโลหิตมากขึ้นภายใต้เสียงร้องโหยหวน

ตัวซูหมิงเป็นสีโลหิต นั่นคือโลหิต เป็นโลหิตสดของศิษย์สำนักชุมนุมเซียน กระบี่สังหารในมือก็เป็นสีแดง ทั้งยอดเขาสำนักชุมนุมเซียนกลายเป็นสีแดงฉาน

ด้านหลังซูหมิงเป็นเศษซากขั้นบันไดสามร้อยขั้น ราวกับเป็นตัวแทนความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวของเขา จุดที่ผ่านไป ทุกสิ่งมีชีวิตจะแหลกลาญเหมือนกับหินขั้นบันไดนั้น

โลหิตไหลไปตามภูเขา กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นอบอวลอยู่รอบๆ แม้แต่เกล็ดหิมะรอบด้านยังเหมือนใกล้จะถูกย้อมเป็นสีแดง

ซูหมิงเดินไปอย่างสงบนิ่ง วาดปลายกระบี่ไป ชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบคนหนึ่งศีรษะหลุดจากบ่าตรงหน้าซูหมิง นัยน์ตาเขาสับสนและขมขื่น ก่อนล้มลงกับพื้น

“เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน แต่เจ้าไม่ควรเป็นคนสำนักชุมนุมเซียน”

ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ใช้มือซ้ายคว้าไปด้านข้าง คนที่ใช้อภินิหารแปลงเป็นหงส์หลากสีตรงเข้ามาพลันถูกมือซ้ายเขาทะลวงผ่านร่างไป แล้วบีบคอบุคคลที่อยู่ภายใน

นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าค่อนข้างงาม ทว่าซูหมิงไร้ซึ่งความสงสารใดๆ ความเย็นเยียบจากมือซ้ายลุกลามไปทั่วร่างนาง ขณะนางกำลังตัวสั่นเทิ้มและสิ้นหวัง ลำคอก็แหลกละเอียด พลังทำลายล้างทะลวงเข้าสู่ร่างกายและบดขยี้จิตแรกของนาง

ซูหมิงคลายมือแล้วเดินจากมา

ไม่มีถูกผิด ไม่มีดีเลว มีเพียงการเลือกของตัวเองภายใต้จุดยืนต่างกัน สำนักชุมนุมเซียนเป็นสำนักของตี้เทียน จึงลิขิตเอาไว้แล้วว่า นี่คือโชคชะตาของสำนักนี้

ในจิตสำนึกของซูหมิงไม่มีความคิดว่าใครสร้างเรื่องจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ มีเพียงความเย็นชาที่จะทำลายสำนักของผู้ล่วงเกินให้สิ้นซาก ความคิดของเขาสุดขั้ว หัวรั้น และไร้ปรานีต่อศัตรู

สำนักซ่อนมังกรก็ดี สำนักเทียนหลันก็ช่าง และยังมีสำนักอสูรอีกสามสำนัก การทำลายสำนักเหล่านี้ เขาแทบไม่ได้ลงมือเลย ส่วนใหญ่จะเป็นคนเผ่าหมานที่ลงมือสังหารอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงสำนักชุมนุมเซียนที่เขาไม่พาชาวเผ่าหมานมาสักคน ต่อให้เป็นเผ่าชะตาชีวิตก็ให้รออยู่ข้างนอก เพราะความแค้นต่อสำนักชุมนุมเซียน แม้ไม่ได้สังหารเพียงคนเดียว เขาก็ยังรู้สึกเสียดาย

เพราะความแค้นต่อคนคนหนึ่ง เลยเกิดความแค้นต่อสายเลือดและสำนักทั้งหมดของอีกฝ่าย บางทีนี่อาจไม่ถูกต้อง ทว่าในความทรงจำซูหมิง ตอนที่ยังไม่ได้มาแดนมรณะหยิน ท่ามกลางความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ภายใต้เสียงของน้องสาวเขาและยังมีความรู้สึกของตัวเอง ทุกคนที่โอบล้อมตัวเขากับน้องสาวกลืนกินกลิ่นอายพลังบางอย่างในร่างกายไป จากนั้นน้องสาวเขาก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ทุกอย่างทำให้เขาเกิดความคิดขบถขึ้นแล้ว

‘ข้าช่วยเผ่าหมานเพราะวิญญาณข้าอยู่ที่นี่ เป็นเพราะอาจารย์ข้า ศิษย์พี่ของข้า พวกเขาเป็นเผ่าหมาน เป็นเพราะความงดงามในความทรงจำ แม้จะเป็นของปลอมก็ตามที แต่พวกเขาก็เป็นความทรงจำที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต

ภูเขาในความทรงจำนั้น ภูเขาลูกนั้น คนเหล่านั้น…และยังมีขนบธรรมเนียม ทุกอย่างล้วนเป็นของเผ่าหมาน ฉะนั้น…ข้าจึงช่วยเผ่าหมาน ถึงข้าจะไม่ยอมรับตัวเองเป็นเทพหมานก็ตาม แต่ข้าก็จะช่วยเผ่าหมานให้ผงาดขึ้นเพื่อพวกเขา’

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววหวนคะนึงคิด กวัดแกว่งกระบี่ในมือแล้วเดินหน้าอีกหลายก้าว ตอนนี้ศีรษะด้านหลังมีมากกว่าหลายพันคนแล้ว ทว่าสงครามยังไม่สิ้นสุด

เพราะรู้คุณค่าความทรงจำ เพราะยอดเขาลำดับเก้าเป็นเผ่าหมาน เขาเลยยอมทำเพื่อทั้งเผ่าหมาน นี่คือนิสัยของเขา

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของนิสัยสุดขั้วคือการสังหารของซูหมิงในตอนนี้ เป็นเพราะแค้นคนคนหนึ่ง เขาเลยแค้นทั้งสำนัก หากสังหารก็จะไม่ให้เหลือรอด

“พวกเจ้าไม่ควรเข้าสำนักชุมนุมเซียน” ซูหมิงส่ายศีรษะ แล้วกวาดกระบี่อาบโลหิตในมือ เขาเคลื่อนตัวจนมาถึงยอดเขาที่ขาดครึ่งของสำนักแล้ว การกวาดกระบี่สังหารครั้งนี้มีศีรษะลอยขึ้นหลายสิบคน โลหิตสาดกระจายไปรอบๆ ย้อมหิมะใกล้ๆ จนเป็นสีแดงทั้งหมด

“ซูหมิง!” ช่วงที่ซูหมิงเดินมาถึงยอดเขาขาดครึ่ง ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธกริ้วแว่วมาจากข้างหน้า เสียงนั้นเป็นของ…เป่ยหลิง

เป่ยหลิงตัวสั่น ในมือถือกระบี่ ดวงตาแดงก่ำ เขามองซูหมิงด้วยความซับซ้อนและเคืองแค้น ข้างกายเขาเป็นเฉินซินที่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าสับสนและมัวหมอง

“เจ้าจะต้องสังหารให้หมดสิ้น เจ้าจะต้องทำลายทั้งสำนักชุมนุมเซียนให้ได้เลยรึ!” เป่ยหลิงจ้องซูหมิงเขม็งพลางตะโกนเสียงดัง

ซูหมิงยกเท้า ก้าวเหยียบบนบันไดขั้นสุดท้าย ตอนที่มายืนอยู่บนยอดเขาขาดครึ่ง ขั้นบันไดสุดท้ายด้านหลังก็เกิดรอยร้าว ทว่ากลับไม่พังทลายลง นี่คือ…ขั้นบันไดแรกที่ซูหมิงเดินผ่านแล้วไม่พังลงไป

“หากใช่ เช่นนั้นก็สังหารเราสองสามีภรรยาด้วย พวกข้าจะได้ไม่โศกเศร้ากับการตายของสหายร่วมสำนัก เจ้าลงมือเถอะ ข้าเป่ยหลิงจะไม่โต้กลับ เจ้าลงมือเลย!” เป่นหลิงโยนกระบี่ในมือทิ้งไป ระหว่างตะโกนอยู่ ตรงหาตาเขา..มีน้ำตารินไหล

ซูหมิงเงียบไป กระบี่สังหารในมือแผ่กระจายจิตสังหารออกมาเอง มันแฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณกระหายเลือดน้อยๆ เหมือนกับสายตาเย็นชาที่กำลังมองสองคนตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะซูหมิงหยุดเดิน มันต้องพุ่งออกไปปลิดชีพสองคนนี้อย่างแน่นอน และใช้โลหิตพวกเขามาสร้างความแวววาวให้กับตน

วันนี้ มันอาบโลหิตอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้มันตื่นเต้นและยอมรับซูหมิงหมดหัวใจ

“เจ้าไม่สนใจอดีต ไม่สนใจทุกอย่างของภูเขาทมิฬแล้ว เช่นนั้นก็สังหารข้า สังหารเฉินซินที่รู้สึกดีกับเจ้าตอนยังเยาว์วัย สังหารพวกข้าคงกินเวลาเจ้าไม่นานนัก สังหารพวกข้าเสีย ตัดขาดความคิดถึงที่พวกข้ามีต่อเจ้า…” เป่ยหลิงตะโกนเสียงดัง น้ำตาไหลมากขึ้น

“ยังจำตอนที่ข้าสอนเจ้ายิงธนูได้หรือไม่ ยังจำยามที่เจ้ากับข้าร่วมรบกันตอนที่เผ่าเขาทมิฬถูกเผ่าภูผาดำปิดล้อมโจมตีได้หรือไม่ เจ้า…ยังเป็นเจ้าตอนอยู่ภูเขาทมิฬหรือไม่!”

“เจ้าไม่ละอายใจต่อท่านปู่ ไม่ละอายใจต่อชาวเผ่าเขาทมิฬบ้างหรือ มา มาฆ่าข้าเสีย!”

คำพูดเป่ยหลิงทำให้ซูหมิงขณะเงียบงัน ในใจเกิดความเจ็บปวด ความเจ็บปวดนี้คือยาพิษ ยิ่งความทรงจำล้ำค่ามากเท่าไร มันจะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น เป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งคล้ายฉีกทึ้งหัวใจ

ชั่ววินาทีที่เกิดความเจ็บปวด ซูหมิงมองยังเป่ยหลิงอย่างช้าๆ เฉินซินข้างๆ เป่ยหลิงพลันเงยหน้าขึ้น ความมัวหมองในแววตาถูกความซับซ้อนเข้ามาแทนที่ นางซึ่งน้ำตาไหลอยู่เหมือนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ จึงกล่าวบอกซูหมิงด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ซูหมิง รีบไป…” ทว่านางยังกล่าวไม่จบ เป่ยหลิงพลันหมุนตัวมาตบหน้าทีหนึ่ง นางกระเด็นถอยไป ตรงมุมปากมีโลหิตไหล

แทบเป็นช่วงเดียวกับที่เฉินซินเอ่ยเตือน ทันใดนั้นมีกระบี่เล่มหนึ่งโผล่มาจากอากาศด้านหลังซูหมิงด้วยความเร็วดุจสายฟ้า อาศัยจังหวะที่เขายังเจ็บปวดกับคำพูดเป่ยหลิงแทงทะลวงหัวใจจากด้านหลัง

ตรงปลายกระบี่ยังมีเพลิงแสงสีฟ้าอ่อนอยู่ด้วย นั่นคือเพลิงพิษซึ่งสามารถแผดเผาวิญญาณ เพียงถูกกระบี่นี้แทง มันจะแผดเผาวิญญาณได้ทุกคน

กระบี่เล่มนี้เหมือนรออยู่ที่นี่นานแล้ว รอเพียงเป่ยหลิงทำให้จิตใจซูหมิงสั่นไหว จึงจะเปิดฉากสังหารที่เตรียมไว้สำหรับซูหมิงโดยเฉพาะ

เสียงสวบดังขึ้น ตรงหน้าอกซูหมิงมีโลหิตไหลอาบ กระบี่ด้านหลังทะลวงหน้าอกโผล่มาด้านหน้าเกือบครึ่งกระบี่ โลหิตไหลไปตามปลายกระบี่หยดลงสู่พื้น หยดลงเกล็ดหิมะบนพื้นทีละหยด

“ซูหมิง เจ้าไม่ควรมาสำนักชุมนุมเซียน” มีเสียงชราแว่วมาจากด้านหลังซูหมิง เสียงนั้นซูหมิงคุ้นเคย นั่นคือคำพูดของผู้นำกองรักษาการณ์เขาทมิฬหรือบิดาของเป่ยหลิง

แทบเป็นช่วงที่ผู้นำกองรักษาการณ์ใช้กระบี่ทะลวงร่างซูหมิง น้ำเสียงเขาก็ดังกึกก้อง วินาทีที่ซูหมิงก้มหน้ามองปลายกระบี่ เป่ยหลิงตรงหน้ามีสีหน้าเหี้ยมโหดทันที เขาพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าซูหมิงในชั่วพริบตา ก่อนยกมือขวาขึ้นกริชสีดำทึบปรากฏในมือ แล้วแทงเข้าไปตรงระหว่างคิ้วซูหมิง

“ซูหมิง เจ้าตายซะ!”

จังหวะเดียวกับที่กริชทะลวงหว่างคิ้วซูหมิงเข้าไปนั้น พลันมีเสียงคำสาปแว่วมาจากฟ้า เสียงคำสาปดังก้องกังวาน ก่อนปรากฏร่างเงาขึ้นโดยพลัน นั่นคือศิษย์สำนักชุมนุมเซียนเกือบหมื่นคน

พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศ ล้อมเป็นวงกลมในระยะหนึ่งพันลี้ ใช้ยอดเขาสำนักชุมนุมเซียนเป็นใจกลาง สร้างขึ้นเป็นวงแหวนอาคมขนาดยักษ์ วงแหวนอาคมนี้หมุนโคจรช้าๆ ตามการเคลื่อนไหวของคนเกือบหมื่น ครั้นมันหมุนโคจรก็มีพลังผนึกที่ยิ่งใหญ่ส่งลงมายังพื้นดิน อีกทั้งขณะพลังแห่งผนึกแผ่กระจายมายังวงแหวนอาคม คนเกือบหมื่นล้วนชูกระบี่ในมือขึ้นแล้วฟันลงมายังซูหมิงพร้อมกัน

ภายใต้กระบี่เกือบหมื่นเล่มกับการโคจรของวงแหวนอาคม ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหว มันกลายเป็นกระบี่ใหญ่ร้อยจั้ง กระบี่ใหญ่เล่มนี้แผ่กลิ่นอายเรียบง่ายโบราณ พุ่งลงมาหาซูหมิงจากบนฟ้าในพริบตา

“เจ้าไม่ใช่เป่ยหลิงในภูเขาทมิฬ” ซูหมิงไม่สนใจกระบี่ใหญ่จากบนฟ้า เขามองเป่ยหลิงผู้มีสีหน้าเหี้ยมโหดพลางเอ่ยเสียงเบา เป่ยหลิงหัวเราะเสียงดัง ก่อนเบิกตากว้างทันใด เพราะกริชที่ปักเข้าไปตรงระหว่างคิ้วซูหมิงกำลังถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำแข็ง ไอหนาวยังลุกลามออกไป วินาทีที่เขาคลายมือออก น้ำแข็งก็ปกคลุมแขนเขาแล้วแผ่ลามไปทั่วร่าง ไม่นานก็แช่แข็งจิตแรกกับร่างกายจนเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอยู่ตรงหน้า

“เจ้าก็ไม่ใช่ผู้นำกองรักษาการณ์เขาทมิฬ” ตอนซูหมิงกล่าวเสียงเบา ปลายกระบี่ตรงหน้าอกกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว ผู้นำกองรักษาการณ์ด้านหลังคำรามด้วยความตื่นตระหนกแล้วถอยหลังไปอย่างเร่งรีบ ทว่าถอยไปยังไม่ถึงสามก้าว ร่างกายก็ถูกแช่แข็งเหมือนกับบุตรชาย

นี่คืออภินิหารการสร้างชะตาของซูหมิง เขาคือความหนาวเยือก รูปแบบชะตาคือฤดูหนาว สามารถเหนี่ยวนำหิมะหนาวเยือกมาและแช่แข็งได้ทุกสรรพสิ่ง

เว้นแต่อีกฝ่ายจะมีขั้นพลังสูงกว่า มิเช่นนั้นแล้วต่อหน้าขอบเขตพลังสร้างชะตา จะไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ เลย

เสียงกึกๆ ดังกังวาน รูปปั้นน้ำแข็งเป่ยหลิงที่ยังคงอยู่ในท่าทางเหี้ยมโหดแตกเป็นเสี่ยงๆ รูปปั้นน้ำแข็งของบิดาก็เกิดเสียงกึกๆ แล้วแตกกระจายเช่นกัน

กริชตรงระหว่างคิ้วซูหมิงและปลายกระบี่ตรงหน้าอกก็สลายตามไป

เขายืนอยู่ตรงนั้น ยังไม่แยแสกระบี่จากบนฟ้า แต่มองเฉินซินที่มุมปากมีโลหิตไหล

“เหตุใดเจ้าถึงเตือนข้า?” ซูหมิงถามเสียงเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version