Skip to content

สู่วิถีอสุรา 768

ตอนที่ 768 พึ้งพิษผนึกจิต

ขณะเดียวกับที่สัตว์ร้ายทั้งดาวแดงเพลิงกำลังคำรามและพากันพุ่งออกมาจากพื้นที่ผนึก ม่านแสงทุกสีจากผนึกล้วนขยับประกาย หลังจากขยับแสงวูบวาบติดกันเก้าครั้งแล้วก็เกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว

ท่ามกลางเสียงครึกโครม ผนึกสัตว์ร้ายเผ่าประหลาดทั้งหมดบนพื้นผิวดาวแดงเพลิงล้วนขยับแสงวูบวาบแล้วพังทลายลง จากนั้นดาวแดงเพลิงเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อีกทั้งตรงใจกลางของอาณาเขตสี่ทิศบนดาว ไม่รู้ว่าเถียนหลินทำอย่างไรถึงเปิดช่องยักษ์บนพื้นดินหนึ่งช่อง ช่องนี้เป็นรอยแยกใหญ่รอยหนึ่ง มีความยาวหลายหมื่นจั้งและลึกจนไม่อาจคาดเดา

ปราณปฐพีที่เข้มข้นถึงขีดสุดปะทุมาจากในรอยแยกโดยพลัน มันเข้มข้นจนรวมเป็นสีสัน หมอกปราณปฐพีสีเหลืองดินแผ่กระจายมากกว่าครึ่งฟ้าในพริบตาเดียว ทำให้ที่นี่ขมุกขมัวจนมองไม่เห็นมือตัวเอง

ภายในหมอกสีเหลืองดินขมุกขมัวนี้มีเสียงของเถียนหลินดังกังวานอย่างร้อนรน

“ผนึกถูกทำลายแล้ว พวกเรารีบเข้าไปส่วนลึกของพื้นดินแล้วไปรวมกันข้างล่าง” เถียนหลินว่าจบ หมอกก็ส่งเสียงเล็กแหลม นั่นคือเสียงของทุกคนยามพุ่งเข้าไปในรอยแยกด้วยความเร็ว

หมอกสีเหลืองดินของที่นี่อบอวลอยู่บนฟ้า ทำให้ฟ้าขุ่นมัวของดาวแดงเพลิงเป็นสีเหลืองเทียนไขคล้ายกับใบหน้าคนชรา

ซูหมิงอยู่ในหมอก สัมผัสได้ผ่านดวงวิญญาณ แม้โดยรอบจะเลือนราง ทว่าคนอื่นๆ ก็น่าจะเข้าไปในรอยแยกแล้ว มีเพียงเขาที่ยังอยู่ข้างนอก

หงส์งูเพลิงด้านหลังจ้องไกลออกไป กลิ่นอายพลังฉุนเฉียวเล็กน้อย ทั้งยังไม่สงบ นอกจากนี้ตัวมันยังใหญ่เกินไป จึงยากจะตามซูหมิงเข้าไปยังส่วนลึกใต้ดินได้

ซูหมิงตบบนศีรษะใหญ่ของหงส์งูเพลิง นัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนจะกลายเป็นสายรุ้งทะยานเข้าไปในรอยแยก กระเรียนขนร่วงตามอยู่ด้านหลัง ส่วนหงส์งูเพลิงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็รออยู่นอกรอยแยก

ปราณปฐพีที่นี่เข้มข้น กลิ่นอายเหล่านี้โถมใส่ร่างซูหมิงจนรู้สึกเคลื่อนไหวลำบาก เขาจึงต้องชะลอความเร็วลงเหมือนเดินอยู่กลางน้ำ พอเข้าไปในรอยแยกแล้ว สุนัขร่างแปลงกระเรียนขนร่วงข้างกายก็ทำจมูกฟุดฟิดดมปราณปฐพี แววตาเผยความสับสน

‘ย่ามันเถอะ เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ เหมือนกับว่าข้าเคยอาบปราณปฐพีที่เข้มข้นกว่าที่นี่? จำได้ว่าตอนอาบข้างกายยังมีแม่นางน้อยอีกหลายคนด้วย….’ กระเรียนขนร่วงสะบัดศีรษะ มันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพอมาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตแล้วมักจะเกิดความรู้สึกคุ้นเคย

ซูหมิงห้อเหยียดไป โดยรอบมืดมิด รอยแยกนี้ลึกยิ่ง ทั้งยังจำกัดจิตสัมผัสดวงวิญญาณ ตรวจสอบได้แค่ไม่ถึงร้อยจั้ง นอกจากนี้ยิ่งลงไปลึกเท่าไร ปราณปฐพีจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น เร่งความเร็วไม่ได้ไม่ว่า แต่ขอบเขตจิตสัมผัสกลับลดลงด้วย

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา ทว่านัยน์ตากลับตื่นตัว แม้ความเร็วจะไม่มาก แต่เดินหน้าอย่างมั่นคง กระทั่งตรงหน้าเขายังรู้สึกรางๆ ถึงกลิ่นอายพลังของเยียเซินถงกับคนแคระซุนคุน เห็นได้ชัดว่าแม้สองคนนี้จะมาก่อน แต่ก็เร่งความเร็วอย่างต่อเนื่องไม่ได้ภายในปราณปฐพี

ส่วนเถียนหลินกับชายชราหลงลี่ ถึงจะไม่อยู่ในขอบเขตจิตสัมผัสของซูหมิง แต่ก็คงอยู่ไม่ไกลนัก

ทว่าทันใดนั้นเอง ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี เขาหยุดชะงักโดยจิตใต้สำนึกแล้วมองถุงเก็บวัตถุของตัวเอง วินาทีเมื่อครู่นี้ จิตใจเขารู้สึกถึงเค้าการตื่นขึ้นบางอย่างและแรงสะเทือนจากในถุงเก็บวัตถุ

ซูหมิงอึ้งงันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนัยน์ตาพลันฉายแววยินดี แต่ก็กลับมาเป็นปกติในพริบตา

“สหายซูที่อยู่ด้านหลัง เกิดอะไรขึ้นรึ?” แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงมีสีหน้ากลับมาดังเดิม เพราะเขาหยุดชะงักคนแคระซุนคุนที่อยู่ข้างหน้าจึงหยุดชะงักตาม แล้วเอ่ยเสียงผ่านหมอกมาด้วยความระมัดระวัง

“ไม่มีอะไร เพียงคิดว่าขนาดตรงนี้หมอกยังเข้มข้นขนาดนี้ ลงไปข้างล่างอีกเกรงว่าคงลำบากไม่น้อย” ซูหมิงเคลื่อนตัวทะยานต่อไป

“น่าจะไม่ใช่อย่างนั้น ปราณปฐพีตรงนี้พ่นออกมาเร็วก็จริง แต่หลังจากระบายออกไปพวกเราจะสบายขึ้น” ซุนคุนกล่าวพลางชะลอความเร็วลง รอให้ซูหมิงมาถึงแล้วจะได้เดินทางคู่กัน แม้ร่างเงาเขาจะเลือนรางแต่เสียงกลับดังชัดเจนมาก

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ทันทีที่ซูหมิงตอบกลับ เขาก็มุ่งหน้าไปพร้อมกับซุนคุน

ขณะสองคนกำลังห้อวิ่ง ซุนคุนพลันเบาเสียงลงมาก แล้วเอ่ยกับซูหมิงในระดับเสียงที่ได้ยินกันสองคน

“สหายซูต้องระวังเยียเซินถงไว้ คนผู้นี้เจอหน้ากันก็มองเจ้าเป็นศัตรูแล้ว เขามาที่นี่ไม่ได้ต้องการพลังแห่งโลกมากนัก แต่เขาสนใจพลังแห่งเลือดเนื้อของยอดผู้ฝึกฌานเผ่าประหลาด น่าจะเจอวิธีสูบพลังแห่งเลือดเนื้อเหมือนกับสหายซูแล้ว” ซุนคุนผู้คล้ายเถ้าแก่ร้านเอ่ยเสียงแผ่วเบาจบก็ไม่กล่าวอีก ใบหน้าภายในหมอกยกยิ้มสุภาพอ่อนโยนดังเดิม

“อ้อ? ขอบคุณสหายซุนมากที่เตือน” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ด้วยสีหน้าปกติ

ระหว่างที่สองคนกำลังสนทนากัน พลันมีเสียงโครมแว่วมาจากข้างหน้าเหมือนวัตถุบางอย่างแตกหัก จังหวะที่ซูหมิงหรี่ตาลง เสียงของเถียนหลินก็ดังแว่วมาจากข้างล่าง

“ที่นี่สุดทางแล้ว สหายทุกท่านลดความเร็วลงด้วย”

ครู่ต่อมา หลังจากซูหมิงกับซุนคุนเข้ามาใกล้ ตรงหน้าพลันชัดเจนขึ้น ตรงส่วนลึกของรอยแยกนี้ แม้ปราณปฐพียังคงปะทุอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็มองเห็นชัดขึ้นมาก

ที่นี่เป็นก้นรอยแยกยาวคล้ายกับหุบเขา ลากเป็นเส้นแนวขวาง ด้านบนมีอยู่เจ็ดจุดที่มีปราณปฐพีพ่นออกมาประหนึ่งไม่มีสิ้นสุด แล้วม้วนตลบลอยขึ้นด้านบน

ฉะนั้นพอมาถึงก้นรอยแยกแล้ว การมองเห็นจึงแจ่มชัดขึ้นมาก นอกจากจุดที่มีปราณปฐพีพวยพุ่งออกมาเจ็ดจุดแล้ว ส่วนใหญ่ก็มองเห็นได้

เถียนหลินดูห่อเหี่ยว ทว่ารอบตัวเขามีแสงอบอุ่นปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ดูไปแล้วให้ความรู้สึกลวงตา และในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายพลังของเขายังแกร่งกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนมาก

เห็นได้ชัดว่ายามนี้เขาใช้วิชาต้องห้ามจิตแรกสลับร่างแล้ว

ชายชราหลงลี่ข้างกายเขานั่งยองลง สายตามองหินผาบนพื้น หินผาในบริเวณนี้เกิดรอยแตกผืนใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเสียงระเบิดกับเสียงวัตถุแตกหักเมื่อครู่ดังมาจากตรงนี้

เยียเซินถงอยู่ไม่ไกล เขามองไปรอบๆ ส่วนใหญ่จะมองปราณปฐพี ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

พอซูหมิงกับซุนคุนมาถึง เยียเซินถงกับเถียนหลินก็มองมา เยียเซินถงหัวเราะเย็นชาแล้วไม่สนใจอีก ส่วนเถียนหลินพยักหน้าให้พวกซูหมิงสองคน

“ดีว่าที่ข้าคาดเดาเอาไว้ ที่นี่คือส่วนลึกของผลึกปฐพี และก็ถือว่าเป็นธรณีประตู เมื่อครู่นี้สหายหลงลี่ลองแล้ว หินผาที่นี่บางกรอบ โจมตีครั้งเดียวก็น่าจะพังทลาย นี่หมายความว่าตำแหน่งของพวกเราถูกต้องแล้ว ที่นี่…คือขอบของผนึกยอดผู้ฝึกฌานเผ่าประหลาด

มันเหมือนกับเปลือกไข่ อีกอย่างปราณปฐพีจากเจ็ดรูนั้นก็คือกลิ่นอายพื้นดินที่รวมอยู่ในผนึกมาไม่รู้กี่หมื่นปี

พวกเราพักกันที่นี่สักครู่ได้ รักษาพลังให้สมบูรณ์ รอปราณปฐพีสลายไปอีกเล็กน้อย พอพวกเราเข้าไปในผนึกของยอดผู้ฝึกฌานเผ่าประหลาดแล้วจะได้มั่นใจมากขึ้น” เถียนหลินกล่าวจบก็นั่งขัดสมาธิลงข้างๆ หลับตาเข้าฌาน

หลงลี่ผู้หลังค่อมเล็กน้อยและเงียบมาตลอดทางเหมือนตรวจสอบเสร็จแล้ว จึงเดินไปนั่งอยู่ไกลๆ ด้วยความเย็นชา ซุนคุนยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ซูหมิง ครั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็นั่งลงอีกมุมหนึ่ง สามคนนี้นั่งไม่ใกล้กัน เห็นได้ชัดว่ายิ่งเข้าใกล้ผนึกมากเท่าไร ความสัมพันธ์ก็จะยิ่งห่างเหินกันออกไป

ซูหมิงเดินเข้ามาแล้วหาที่นั่งตรงมุมใกล้กับผนังหินเช่นเดียวกัน เขามีสีหน้าเรียบนิ่ง พอนั่งลงแล้วก็เงียบงัน ทว่ากลับขยายจิตสัมผัสออกไปเล็กน้อย ส่งเข้าไปในถุงเก็บวัตถุเพื่อตรวจสอบวัตถุที่สร้างความตื่นตะลึงและยินดีแก่เขา

ภายในถุงเก็บวัตถุ เวลานี้…มีกล่องหยกแตกเป็นเสี่ยงใบหนึ่ง บนเศษชิ้นส่วนมีผึ้งพิษตัวสีแดงฉานนอนหมอบอยู่ตัวหนึ่ง!

ผึ้งพิษกระพือปีกเบาๆ ช่วงที่จิตสัมผัสซูหมิงจับจ้องตัวมัน มันพลัยเงยหน้าขึ้น ก่อนหายวับไปภายในถุงเก็บวัตถุ

แต่ครู่ต่อมา ผึ้งพิษก็ปรากฏตัวอีกครั้ง มันยังคงนอนหมอบอยู่บนเศษซากกล่อง ประหนึ่งว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา มันปล่อยให้จิตสัมผัสของซูหมิงตรวจสอบมัน แล้วยังส่งเสียงร้องเบาๆ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ไม่ได้ต่อต้านจิตสัมผัสของซูหมิง

‘ในที่สุดมันก็ตื่นแล้ว!’ ซูหมิงยับยั้งความตื่นเต้นในใจไว้ ตั้งแต่มาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต เขามีสภาพอารมณ์แบบนี้น้อยครั้งมาก

ผึ้งพิษตัวนี้ก็คือผึ้งที่เขาได้มาจากโลกเก้าหยิน และในตัวมันมีเกสรดอกผนึกจิตอยู่!

ตอนนั้นซูหมิงลังเลใจ แต่ก็เลือกประทับตราบนตัวมันเพื่อจะให้มันเป็นสัตว์เลี้ยง เฝ้ารอให้มันตื่นอย่างช้าๆ เมื่อมันตื่นขึ้นจะได้น้ำหวานดอกผนึกจิตในสภาพสมบูรณ์แบบ

หลายปีผ่านมาในที่สุดมันก็ตื่นขึ้น นอกจากนี้ยามที่จิตสัมผัสโดนตัวผึ้งพิษ เขาพลันรู้สึกหวาดผวา มันดูดน้ำหวานดอกผนึกจิตได้ จะต้องไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาเป็นแน่!

หนำซ้ำเกรงว่าผึ้งพิษคงจะใกล้ตายแล้ว หากไม่ใช่เพราะถูกผนึกอยู่ในหินแดง เกรงว่าคงไม่อาจปรากฏอยู่ในยุคนี้

‘มีผึ้งพิษอยู่ด้วย จะทำให้โอกาสที่ข้าได้รับโชควาสนาเพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย’

ซูหมิงอยู่เงียบๆ ตอนที่ดึงจิตสัมผัสกลับมา นัยน์ตาเพ่งสมาธิโดยพลัน ก่อนจะเห็นว่าเยียเซินถงชายร่างกำยำซึ่งอยู่ไกลออกไปกำลังสาวเท้ายาวเดินเข้าไปใกล้รูเล็กที่พ่นปราณปฐพีที่อยู่ใกล้ที่สุด ปราณปฐพีตรงนี้รุนแรงที่สุด มันพุ่งผ่านร่างกายทำให้เขาหยุดชะงักห่างไปสามจั้ง จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิลง ตรงหน้าผากมีเหงื่อไหลย้อย ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะใช้ปราณปฐพีเป็นแรงกดดันเพื่อฝึกฝนที่นี่

“สหายเยียมีความคิดดี ใช้ปราณปฐพีของที่นี่เป็นแรงกดดันเพื่อฝึกฝน จะทำให้พวกเราชินกับสภาพแวดล้อมในผนึกมากขึ้น” เถียนหลินกล่าวเนิบช้า ดวงตาเป็นประกาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version