บทที่ 224 ชีวิตนี้ไม่เสียใจ! (ปลาย)
ณ ด้านหนึ่งภายในหอจิตวิญญาณ
หอนี้เป็นอาคารหลังใหม่โดยเป็นส่วนหนึ่งของสถานศึกษาฉางหลาน สถานที่นี้ใช้เพื่อจัดเก็บแผ่นจารึกจิตวิญญาณทั้งสิ้น 100 ชิ้น รวมทั้งแผ่นจารึกจิตวิญญาณของอาจารย์ใหญ่จี้ ซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่โดดเด่นเห็นได้อย่างชัดเจน
ร่างของคนผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแผ่นจารึกจิตวิญญาณ จี้อันซื่อ!
พลันร่างของคนอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาที่ประตูทางเข้า เยี่ยฉวนเดินเข้ามาเงียบเชียบ ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นระริก ท่าเดินกระย่องกระแย่ง
แต่จี้อันซื่อก็มิได้หันไปมองแต่อย่างใด สายตาของนางยังคงจับอยู่ที่แผ่นจารึกจิตวิญญาณที่วางอยู่เบื้องหน้านิ่งเงียบ
ชายหนุ่มเดินเข้ามาพลางค่อยทรุดกายลงนั่งคุกเข่าข้างกัน เขาหันหน้าเข้าหาแผ่นจารึก เสียงเอ่ยแผ่วเบา “เจ้านั่งอยู่ในนี้มาทั้งวันแล้วนะ” ทว่าจี้อันซื่อมิได้ตอบโต้
เยี่ยฉวนเบนหน้าหันไปทางคนด้านข้าง “สักวันหนึ่งข้าอยากชวนเจ้าไปสำนักใหญ่ของฉางหลาน ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่!”
จี้อันซื่อหันขวับมาทันที “พูดจริงหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึก “จริงซี”
ฝ่ายหญิงค่อยผุดลุกขึ้นยืนและหันหลังเดินไป เมื่อถึงหน้าประตูหอพลันนางชะงักฝีเท้า “ท่านปู่เคยบอก ว่าในชีวิตนี้ท่านไม่รู้สึกเสียใจเลย ที่มีพวกเจ้าเป็นศิษย์……” จากนั้นจึงเดินออกประตูไปเงียบๆ
ภายในหอจิตวิญญาณ
เยี่ยฉวนยังนั่งอยู่ที่พื้น พักใหญ่ผ่านไปเขาฉวยไหน้ำเต้าบรรจุสุราที่เหน็บเอวยกขึ้นจิบ ความรู้สึกร้อนวาบลงสู่ลำคอ! ถึงอย่างนั้นก็เถอะ รสชาติไม่เลวนี่นา! ดังนั้นเขาจึงยกขึ้นจิบอีกครั้ง……
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ใบหน้าของเยี่ยฉวนแดงก่ำ เขาไม่เคยดื่มเหล้ามากขนาดนี้มาก่อน ปกติแล้วเขาไม่ดื่มเลยด้วยซ้ำไป เพราะตนเองคิดเสมอว่า การดื่มสุรายิ่งนำพาปัญหา! หลังจากทดลองดื่มไปแล้วหลายอึก เขาจึงพบว่าความรู้สึกนี้ดีอยู่เหมือนกัน!
ขณะที่เยี่ยฉวนดื่มสุราจากไหน้ำเต้าอันนั้น ด้วยความบังเอิญว่าขณะนั้นเขากำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าแผ่นจารึกจิตวิญญาณของอาจารย์ใหญ่จี้พอดี เยี่ยฉวนจึงพลันยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองศีรษะขณะปล่อยร่ำไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เขาไม่เคยลืมภาพการจากไปของอาจารย์ใหญ่ ไม่เคย!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เมื่อเยี่ยฉวนค่อยทรงกายลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนั้นก็หันหลังและเดินตรงไปยังประตูหน้า พลันชายหนุ่มชะงักเท้าขณะมีเสียงแผ่วเบาเหมือนรำพึงกับตนเอง
“อาจารย์ใหญ่จี้ ท่านวางใจเถอะขอรับ สถานศึกษาฉางมู่ในแผ่นดินชิงและดินแดนอันธกาล……พวกมันก่อกรรมทำเข็ญไว้กับเรา ข้าไม่ให้อภัยพวกมันแน่ ข้าจะพาพี่โม่ และพวกเราทุกคนไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ด้วย ไปหาอาจารย์ท่าน ท่านอาจารย์ใหญ่ของพวกเรา ถึงพวกเราจะไม่ยอมรับสถานศึกษาฉางหลานสำนักใหญ่ แต่เรายอมรับท่านอาจารย์ใหญ่ขอรับ” จากนั้นก็เดินออกจากประตูหอไป
ณ ภายนอกหอจิตวิญญาณ พระจันทร์เต็มส่องกระจ่างอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี แสงแห่งจันทราทาบทับลงมา อาบปฐพีจนกลายเป็นสีเงินยวง
เยี่ยฉวนเดินซวดเซ เป๋ปัดไปมา……
เขาเดินเรื่อยมาจนถึงด้านหลังภูเขา อีกฟากของทางเดินสายตาของชายหนุ่มปะทะกับโม่อวิ๋นฉีซึ่งวิ่งมาถึงยังที่นั่นพอดี พลันคนวิ่งหยุดกึก สายตาเพ่งมองมาที่เยี่ยฉวน หัวคิ้วขมวดมุ่น “นี่เจ้าเมางั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนสั่นหัวดิก “เมา? เปล่าซะหน่อย เอิ๊ก!”
พลันนั้นเองเขาแบมือ และกระบี่หลิงซิ่วปรากฏออกบนฝ่ามือข้างนั้น คนฉวยกระบี่กระชับแน่นในอุ้งมือและชี้ปลายมาทางคนที่อยู่เบื้องหน้า “เจ้าจอมกะล่อน มา มานี่ มาฝึกกระบี่กับข้าซะดีๆ……” ไม่พูดเปล่า คนพูดพุ่งพรวดเข้าหาอีกฝ่ายรวดเร็ว!
ทันทีที่เห็นว่าเยี่ยฉวนเอาจริง โม่อวิ๋นฉีสีหน้าวูบ ขณะเดียวกันก็ผงะถอยห่างจากเยี่ยฉวนออกไปไกลราวสิบจั้ง “เฮ้ย พี่หัวขโมยเยี่ย อย่าทำเป็นอันธพาลขี้เมาแบบนี้นะ……” เสียงของเขาสะดุดขาดห้วน ด้วยกระบี่ในมือของเยี่ยฉวนถูกทิ่มพรวดมาเบื้องหน้า!
เห็นเช่นนั้นโม่อวิ๋นฉีตาเหลือก พร้อมผงะถอยห่างออกไปอีก ขณะที่กระบี่ซึ่งมีความเร็วปานสายฟ้าไล่จี้ตามติดกระชั้นชิด……โม่อวิ๋นฉีจำต้องหันหลังออกวิ่งจี๋ พลางส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก “พี่หัวขโมยเยี่ย จะบ้าหรือไง! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นข้าจะอัดให้น่วม……”
ทว่าเยี่ยฉวนหาใส่ใจไม่ และยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ ดังนั้นจึงเกิดภาพของชายสองคน คนหนึ่งวิ่งหนี อีกคนไล่ตามไปตลอดทาง ในที่สุดโม่อวิ๋นฉีวิ่งหนีเข้าไปในบริเวณที่ไป๋เจ๋อฝึกฝนพลัง ขณะนั้นคนตัวใหญ่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเยี่ยฉวนกำลังไล่กวดโม่อวิ๋นฉีตรงเข้ามาทางนี้ เขาทำหน้าเป๋อเหลอ งงงัน “จอมกะล่อนโม่ ไปยุ่งอะไรกับเขาอีกล่ะซี!”
โม่อวิ๋นฉีได้ยินเข้าหันขวับไปมองไป๋เจ๋อตาเขียวปั้ด “ยุ่งอะไรเล่า! เจ้าบ้านั่นเมาแอ๋เลย พอเห็นข้าเข้าเท่านั้นแหละ พ่อวิ่งไล่ฟันจนข้าต้องหนีเตลิดมานี่…” คนพูดถึงตอนนั้นพลันหลบวูบอย่างรวดเร็ว และรัศมีกระบี่แปลบปลาบราวสายฟ้าแล่บ
ฉัวะ!
กระบี่ตวัดฉับลงมา ห่างจากไป๋เจ๋อออกไปเพียงสองสามนิ้วเท่านั้น! คนร่างยักษ์อ้าปากหวอ ใจหล่นวูบ ขณะเดียวกันตัวผงะถอยห่างทันที ถึงจะมีร่างกายแข็งแกร่งกว่าคนปกติ แต่กระบี่ของเยี่ยฉวนคมกริบยิ่งกว่าอะไร ที่สำคัญกระบี่นั้นมิใช่ธรรมดา ยังเป็นกระบี่ขั้นประกายแสงระดับกลางเสียด้วย!
ในขณะนั้น เยี่ยฉวนวิ่งตุปัดตุเป๋ไล่ตามโม่อวิ๋นฉีอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำ ในมือถือไหสุราและยกขึ้นดื่มเป็นระยะ…
โม่อวิ๋นฉีหันมาเห็นเช่นนั้น สีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าหัวขโมยเยี่ย จะ เจ้า…”
จังหวะนั้นเยี่ยฉวนพลิกมือข้างขวา พลันกระบี่หลิงซิ่วทะยานลงสงบนิ่งบนฝ่ามือทันที ชายหนุ่มตวัดกระบี่ชี้ปลายใส่หน้าโม่อวิ๋นฉี ส่งเสียงตวาดกราดเกรี้ยว “เจ้าเป็นใคร? บุกรุกเข้ามาในเขตสถานศึกษาฉางหลานทำมายยย เอิ๊ก?!”
เสียงพูดหยุดลง ทันทีที่กระบี่ชี้ปลายแน่วแน่ที่ใบหน้าซีดเผือดของคนตรงหน้า
หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา!
เขาตั้งใจออกปะทะด้วยหนึ่งกระบี่ชี้ชะตา เมื่อเห็นเช่นนั้น โม่อวิ๋นฉีหน้าจ๋อยและหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ขณะที่คนยืนหน้าเหยเกอยู่อีกด้าน ไป๋เจ๋อทำอะไรไม่ถูก เขาตัดสินใจทิ่มหัวพรวดลงกับพื้นดิน พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด เงียบที่สุด มีเพียงเสียงพึมพำงึมงำเบาๆ “อย่าเห็นนะ……อย่าเห็น……”
— จบตอน —
