Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 309


บทที่ 309 ประกาศสภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรง! (ปลาย)

สงครามการรบเต็มรูปแบบ! อธิบายง่ายก็คือ ถ้าพวกเขาต่อสู้อย่างที่กำลังต่อสู้อยู่ในขณะนี้ มิใช่แค่ต่อสู้กับคนในขั้นพลังต่ำกว่าผนึกยุทธ์ หากแต่พวกเขาก็ยังต้องสู้ แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นยอดยุทธ์ที่มีขั้นพลังเหนือกว่าผนึกยุทธ์ และการขืนสู้ทำนองนี้ต่อไป จะมีคนอีกมากมายต้องตาย! สำนักอัปสรเมรัยไม่ปรารถนาการต่อสู้เช่นนี้ เพราะรังแต่จะเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง!

ภายหลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จ้าวหอชั้นสี่กล่าวเบาๆ ขึ้นมาว่า “น้ำหยดเดียวแต่ส่งแรงกระเพื่อมไปทั้งแม่น้ำ สำนักอัปสรเมรัยไม่อาจเข้าร่วมสงครามเพราะเมื่อเกิดการรบ ความเสียหายมิใช่เพียงได้รับบาดเจ็บแขนขาหรืออะไรทำนองนั้น แต่หมายถึงพวกเราทั้งหมดอาจต้องตาย แน่นอนพวกเราสามารถช่วยเขาได้ เราจะยังคงให้ความช่วยเหลือเหมือนเช่นเคย อย่างเช่น ช่วยหาซื้อหรือขายของล้ำค่า แม้แต่การสืบข่าว แต่เราจะไม่ส่งคนของเราไปช่วยต่อสู้กับฉางมู่และดินแดนอันธการอีกต่อไป”

จากนั้น ผู้พูดเบนสายตาไปทางจ้าวหอชั้นห้า “หลังจากที่พวกเราคุยกันวันนี้ ท่านก็ตามข้ากลับไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้ฝึกฝนขั้นผนึกยุทธ์ได้อย่างสบายใจเสียที” ผู้ฟังนิ่งฟังเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นว่า “เขาต้องการศาสตราวุธขั้นประกายแสงจำนวนหนึ่ง!” จ้าวหอชั้นสี่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ตกลง ข้าจะให้คนไปหามาให้”

กล่าวจบ จึงได้ขยับลุกขึ้นและเดินตรงไปทางประตู ขณะมาหยุดที่ทางออก จ้าวหอชั้นสี่ชะงักเท้า “จำไว้ให้ดี อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวให้มากเกินไป ท่านเป็นตัวแทนของสำนักอัปสรเมรัย การตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจนำมาซึ่งความสูญเสียของทั้งสำนักเรา” ขาดคำร่างของเขาพลันเลือนหายไปจากสถานที่ทันที

ภายในห้อง จ้าวหอชั้นห้าฝืนยิ้มมุมปาก เสียงของจ้าวหอชั้นแปดเอ่ยแผ่วเบามาจากอีกด้าน “สำนักอัปสรเมรัยเอง ใช่ว่าจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ!”

จ้าวหอชั้นห้าพยักหน้า “ข้าเข้าใจดี อนิจจา ไม่คิดว่าสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการจะมีความมุ่งมั่นถึงขนาดนี้” อีกฝ่ายจึงว่า “เยี่ยฉวนเป็นคนน่ามหัศจรรย์ ที่สำคัญเขามีอาจารย์เป็นเซียนกระบี่ นี่แหละที่ทำให้ฉางมู่และดินแดนอันธการเกรงกลัวหนักหนา จนไม่ยอมให้เยี่ยฉวนมีโอกาสพัฒนาขั้นฝีมืออีกต่อไป พวกมันจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดเยี่ยฉวนคนนี้!”

จ้าวหอชั้นห้าหันมองมา จ้าวหอชั้นแปดพูดสืบไป “บางทีอาจมีสาเหตุอื่นที่ทำให้สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ พวกมันอาจเกรงว่าถ้าเยี่ยฉวนไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจอื่น อย่างสถานศึกษาฉางหลานแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้น ฉางมู่อาจได้ศัตรูเพิ่มขึ้นที่มิใช่แค่เซียนกระบี่คนนั้น แต่ตอนนี้ทั้งฉางมู่และดินแดนอันธการได้แสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้เสียแล้ว เกรงว่ากลุ่มอำนาจในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยากจะยอมรับเยี่ยฉวน”

จ้าวหอชั้นห้าถอนใจใหญ่ แม้แต่สำนักอัปสรเมรัยยังกลัวที่จะออกมาปกป้องเยี่ยฉวน อย่าว่าแต่กลุ่มอำนาจอื่นเลย เพราะพวกเขาต้องเตรียมรับมือกับสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการจวบจนสิ้นสุด เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง จ้าวหอชั้นห้าขยับลุกขึ้น “งั้นก็รีบไปดูกันเถอะว่าจะช่วยอะไรเขาได้อีก!” คนพูดหันหลังและหายวับไป

.

ชายแดนทางตอนใต้ของแคว้นเจียง

เมืองไค่หยาง

เจียงจิ่วยืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตากำลังมองเพ่งพิจารณาไปยังกลุ่มดำทะมึนของทหารม้าจำนวนมหาศาล ทหารม้าเกราะเหล็กแห่งแคว้นชูในที่นั้นประมาณแสนนาย! โดยแท้จริงแล้วแคว้นชูได้เคลื่อนกองทัพทหารม้าเข้าประชิด! อีกทั้งทหารราบแวดล้อมอยู่รอบกองทหารม้า ล้วนเหล่านั้นเป็นพลซุ่มโจมตี!

ภายในเมืองไค่หยาง มีกองกำลังประจำการราวแสน จัดว่ายังมีความได้เปรียบด้านแนวต้านรับ ถึงกระนั้นคนที่อยู่บนกำแพงต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดไปตามกัน! ด้วยในกลุ่มทหารที่เห็นอยู่ไกลลิบต้องมียอดยุทธ์จากอาณาจักรต้าอวิ๋นแฝงอยู่ด้วย

อาณาจักรต้าอวิ๋น! สุดยอดแห่งดินแดนที่ทรงอิทธิพลในแผ่นดินชิง! ความน่าหวาดกลัวที่สุดของอาณาจักรแห่งนี้ก็คือกองทหารลึกลับและทรงพลังซึ่งมีชื่อว่า กองทัพเพลิงโลกันตร์ ในอดีตกองทหารนี้เพียงร้อยก็สามารถถล่มแคว้นทั้งแคว้นให้ล่มได้ในพริบตา! ช่างเป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้?

กองกำลังแห่งต้าอวิ๋นไม่เคยครั่นคร้ามต่อกองกำลังหน้าไหนทั้งสิ้น! แต่ในตอนนี้ แคว้นเจียงไม่มีทางเลือกนอกจากหันหน้าเข้าสู้ เพราะหากไม่สู้ก็จะเหลือหนทางคือตายกับตาย! เจียงจิ่วหันมาพูดกับรองแม่ทัพที่ยืนข้างกาย “สถานการณ์ทางด้านตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง?”

ผู้เป็นรองแม่ทัพรายงานว่า “แม่ทัพอาวุโสหลินเซียวตรึงกำลังไว้พะย่ะค่ะ แต่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เพราะในหมู่ทหารของแคว้นชูมียอดยุทธ์ผสานเทพแฝงกายปะปนมาไม่น้อย ถือว่าจำนวนมากทีเดียวก็ว่าได้ ทั้งเป็นพวกที่มีวรยุทธ์กล้าแกร่งทหารเลวธรรมดาไม่สามารถต้านทานได้! แต่หลังจากที่ส่งแม่ทัพเป่ยเสี่ยวหู่ลงพื้นที่แล้ว ดูเหมือนสถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงป้องกันแนวชายแดนไว้ ไม่กล้าออกจู่โจม ฝ่ายโน้นเองตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างใด พะย่ะค่ะ!

ผู้ฟังพยักหน้า “ดีแล้ว!” ทันใดนั้น กลุ่มทหารม้าที่เห็นไกลลิบเริ่มมีความเคลื่อนไหว คนบนกำแพงต่างตื่นตัว หันมาจับตามองด้วยความสงสัย

ทางด้านหน้ากองทัพม้าแคว้นชู ปรากฏพลซุ่มโจมตีจำนวนหนึ่งคาดว่ามีราวสองหมื่น ซึ่งทัพที่นำหน้ากลุ่มพลที่ว่าเป็นคนนับพัน! คนมากมายที่ออกสู่สายตามิใช่ทหารแต่เป็นพลเรือน! พลเมืองแคว้นเจียง!

ท่ามกลางพลเรือนมีทั้งคนแก่ สตรีและเด็ก.ทันทีที่สายตาเห็นภาพนั้น สีหน้าของเจียงจิ่วหม่นมัวลงถนัดตา

ทหารซึ่งประจำการเพื่อสังเกตการณ์ก็พากันหน้าเคร่งไม่แตกต่างต่อความเคลื่อนไหวที่เห็น กองทัพแคว้นชูกำลังผลักดันพลเมืองแคว้นเจียงที่อยู่นอกเมืองให้กลับเข้าเมือง และทันทีที่พลเรือนเหล่านั้นมองเห็นทหารที่สังเกตการณ์มาจากบนกำแพง จึงพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตตรงมาทางประตูเมือง!

พวกเขาวิ่งราวกับว่านี่เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย! เมื่อเห็นเช่นนั้น พลันสายตาทุกคู่หันมาทางเจียงจิ่วราวกับรอการตัดสินใจของคนตรงหน้า

พลเรือนกลุ่มใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้เข้าทุกที ขณะที่ด้านหลังตามมาด้วยกองทัพทหารราบ หากพลเรือนผ่านเข้าเมืองมาเมื่อใด กองทหารจะฉวยพังประตูเมืองเข้าสู่ภายในได้ทันที ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องมีพลเมืองไค่หยางจำนวนมากที่ต้องสูญเสีย ทว่าหาใช่เพียงเมืองไค่หยางแห่งเดียว ด้วยจากนั้นกองทัพทหารม้าแคว้นชูจะต้องบุกตะลุยลงทางใต้เพื่อตรงเข้ายึดเมืองหลวงของแคว้นเจียง!

บัดนี้ ทั้งพลเรือนทั้งกองทหารมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ.ทันใดนั้น เจียงจิ่วก้าวขึ้นมายืนเบื้องหน้าแถวทหารสีหน้าสงบเยือกเย็น เสียงสั่งการเด็ดขาดยิ่ง “ยิงเกาทัณฑ์!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version