บทที่ 375 คำเดียวสั้นๆ สู้โว้ย!
……
ชายวัยกลางคนได้แต่จ้องคนตรงหน้าจนนัยน์ตาแทบประทุออกมานอกเบ้า ทว่ายังไม่กล้าเคลื่อนไหวก่อนอยู่ดี……
……
เขาเคยเห็นพิษสงอันร้ายกาจของเหล่าสิบสองมนุษย์ทองคำพวกนี้ ถ้าพลังอยู่ในขั้นผนึกยุทธ์ เขาไม่กลัวพวกมันอย่างแน่นอน!……
..
แต่ปัญหาในตอนนี้เขาได้ลดขั้นพลังปราณของตนเสียแล้ว ส่วนเจ้ามนุษย์ทองคำสิบสองตนก็มีขั้นพลังเทียบเท่ากับสุดยอดผสานเทพ อีกทั้งยังเป็นผสานเทพระดับยอดคนด้วย!
ถ้าให้สู้กันจริงๆ หนึ่งมนุษย์ทองคำเขายังสามารถรับมือได้ หรืออาจได้ถึงสามด้วยซ้ำ!
ในตอนนี้มีสิบสองมนุษย์ทองคำ เป็นไปได้หรือที่เขาจะรับมือได้ทั้งหมด?
ไม่มีทางแน่นอน!
อย่าว่าแต่กระบี่บินของเยี่ยฉวนซึ่งอยู่ไม่ไกลนั่น ด้วยมันเท่ากับกำลังเผชิญหน้ากับสองมหันตภัยก็ว่าได้!
ถึงกระนั้นเขายังอดเสียดายไม่ได้หากต้องล้มเลิกกลางครัน!
เพราะสภาพร่างกายที่กำลังบาดเจ็บของเยี่ยฉวน จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะสังหารคนผู้นั้น หากพลาดไปในครั้งนี้ เมื่อเยี่ยฉวนฟื้นพลังกลับคืนมาได้การสังหารคนจะยากขึ้นไปอีก
ชายวัยกลางคนมีท่าทางลังเลไม่แน่ใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ออกมา!”
ขณะที่เสียงนั้นจางหายไป สองยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์ปรากฏขึ้นในลานโล่งทันที ทว่าจากนั้นคนที่มาใหม่ทั้งสองจัดการลดขั้นพลังของแต่ละคนเทียบเท่าชั้นผสานเทพทันที
เพราฉะนั้น เวลานี้ภายในลานจึงมีสามคนขั้นสุดยอดผสานเทพเท่ากัน!
หรือหากกล่าวให้ถูก คือเป็นคนขั้นผนึกยุทธ์ปลอมแปลงมานั่นเอง!
คนที่เห็นทั้งหมดนี้มาจากสถานศึกษาฉางมู่ ความเป็นจริงพวกเขาคิดทบทวนมาเป็นอย่างดีแล้ว เพราะในเวลานี้ฉางมู่มีคนในขั้นผนึกยุทธ์เก้าคนเท่านั้น ส่งมาที่นี่ถึงสี่คนย่อมแสดงให้เห็นว่าสถานศึกษาฉางมู่คงตั้งรางวัลการสังหารเยี่ยฉวนไว้อย่างงาม สาเหตุที่ทำไมฉางมู่เลือกที่จะไม่ส่งยอดยุทธ์ทั้งหมดออกมาครั้งนี้ด้วยเป็นเพราะสถานศึกษาไม่กล้าเดิมพันด้วยการทุ่มหมดหน้าตัก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันตนเองจากมหาอำนาจกลุ่มอื่น!
ชายวัยกลางคนยังนิ่งขึงจ้องสิบสองมนุษย์ทองคำอย่างไม่คลาดสายตา ความวิปโยคหวาดหวั่นเต้นระริกอยู่ในดวงตาคู่นั้น ยอมรับว่ามนุษย์ทองคำเหล่านี้พลังอำนาจของมันนั้นเหลือล้น ทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ ทว่าเขาไม่อยากปล่อยโอกาสอันเยี่ยมยอดขณะที่เยี่ยฉวนกำลังบาดเจ็บเช่นนี้ให้หลุดลอยไป!
ภายหลังจากเงียบงันไปด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่ ชายวัยกลางคนจึงกล่าวกับคนด้านข้าง “เจ้าสองคนจัดการสิบสองมนุษย์ทองคำ ส่วนข้าจะจัดการเยี่ยฉวนเอง!”
พลันที่สิ้นเสียงนั้นคนสองคนพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคนทั้งคู่ออกไปแล้วนั้นชายวัยกลางคนหันมาทำท่าจะเข้าสังหารชายหนุ่มตรงหน้าอย่างที่บอกไว้ ทันใดนั้น มนุษย์ทองคำตนหนึ่งจับคนสองคนที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่เหวี่ยงไปจนไกลนับหลายจั้ง
คนที่กำลังจะไปทางเยี่ยฉวน ชายวัยกลางคนชะงักงันด้วยความตกตะลึง!
“อะไรกัน เจ้าสิบสองมนุษย์ทองคำจัดการคนสองคนพร้อมกันทีเดียวเลยหรือ?”
เยี่ยฉวนแสยะยิ้ม “มาสิ เข้ามาสู้กัน!”
คนตรงกันข้ามยืนนิ่งมือกำหมัดแน่น จากนั้นมีเสียงคนพูดขึ้นใกล้ตัว เป็นชายชราคนผนึกยุทธ์ซึ่งจวนเจียนจะสังหารเยี่ยฉวนได้นั่นเอง “พวกเราประมาทฝีมือเจ้าหนุ่มนั่นจนเกินไป ทางที่ดีพวกเราถอยไปก่อนดีกว่า ยังมีเวลาให้คิดทบทวนได้อีก!”
ชายวัยกลางคนมองเขม้นมาที่เยี่ยฉวนเป็นครู่ ก่อนมีเสียงตะโกน “ถอย!”
หลังจากนั้น ทั้งสามคนได้กลับคืนสู่ขั้นพลังปราณของตนและหันหลังกลับออกจากสถานที่ไปอย่างรวดเร็ว
“คนพวกนั้นสามารถลดขั้นพลังได้ด้วยตนเอง!”
จากนั้นเยี่ยฉวนรีบจัดการเก็บสิบสองมนุษย์ทองคำเข้าที่ สีหน้าครุ่นคิดหนักขณะที่หัวคิ้วขมวดมุ่นด้วยไม่คาดคิดว่าสถานศึกษาฉางมู่จะใช้กลโกงเช่นนี้
คนขั้นพลังผนึกยุทธ์แต่ลดขั้นพลังลงมาต่อสู้และสามารถกลับคืนสู่ขั้นพลังเดิม เมื่อเห็นว่าตนจวนเจียนพลาดท่าเสียที!
พฤติกรรมน่าละอายนัก!
ถ้าเยี่ยฉวนจะสังหารทุกคน เขาจะต้องจัดการอย่างรวดเร็วและสังหารก่อนที่พวกนั้นจะกลับคืนขั้นพลังเดิม
มิเช่นนั้นเมื่อใดที่คนเหล่านั้นคืนสู่ขั้นพลังผนึกยุทธ์อีกครั้ง เขาจะไม่มีทางกำจัดพวกมันได้เด็ดขาด!
เยี่ยฉวนรับรู้แล้วว่ายังมีช่องว่างที่ใหญ่ยิ่ง ระหว่างขั้นพลังปัจจุบันของตนกับคนในขั้นผนึกยุทธ์!
เขาไม่อาจปิดช่องว่างเหล่านั้นด้วยสิ่งล้ำค่า!
ว่าแล้วเยี่ยฉวนจัดแจงเก็บกลับทั้งสิบสองมนุษย์ทองคำที่อยู่เบื้องหน้าในพลัน……เหตุเพราะขณะที่เยี่ยฉวนใช้งานเครื่องมือพวกนี้ต่อสู้กับศัตรู เขาต้องสูญเสียสุดยอดศิลาจิตวิญญาไปกว่าครึ่งล้านชิ้น นับว่ายังเคราะห์ดีที่ชายหนุ่มระงับการใช้งานไว้ได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นเขาต้องเสียสุดยอดศิลาจิตวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งล้านชิ้นทีเดียว!
แม้ว่ามนุษย์ทองคำสิบสองตัวนี้จะมีความแข็งแกร่งมาก ทว่าการใช้งานพวกมันก็มาพร้อมกับการสูญเสียมากเช่นกัน!
ทุกครั้งที่เยี่ยฉวนเปิดใช้งาน เขาจะรู้สึกเจ็บปวดทุกทีที่สูญเสียเงินทองไปกับเจ้ามนุษย์ทองคำพวกนี้!
“ข้านี่มันยากจนข้นแค้นเต็มที”
จากนั้นจึงมีเสียงถอนหายใจยืดยาว ถึงแม้ในตอนนี้จะมีเหรียญทองคำหนึ่งล้านกับสุดยอดศิลาจิตวิญญาณสองล้าน ข้าก็ได้ชื่อว่ายากจน!
เพราะความที่ต้องชำระหนี้ให้แก่สำนักอัปสรเมรัยด้วยสุดยอดศิลาจิตวิญญาณอีกเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้น ทว่าทุกครั้งที่เปิดใช้งานมนุษย์ทองคำ เขาจะต้องกลายเป็นคนยากจนทุกครั้งทุกคราไป!
“ต้องหารายได้เพิ่ม!”
“ต้องทำงานหนักเพื่อเพิ่มรายได้!”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด จากนั้นจึงกลืนยาเม็ดโอสถเทพประสาน อีกไม่นานต่อมาเขาจึงกลับขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเพลิงโลกันตร์ ก่อนที่ร่างของคนและม้าจะกลืนหายไปท่ามกลางความมืดอันกว้างใหญ่ไพศาล
ในความมืดนั้น เยี่ยฉวนขี่หลังเจ้าม้าเพลิงโลกันตร์พลางขณะกำลังครุ่นคิดหนักจนสีหน้าหม่นวูบ ด้วยตนได้ประจักษ์แก่ใจไม่ว่าเขาจะไปยังแห่งหนตำบลใดก็ตาม สถานศึกษาฉางมู่มักติดตามได้อย่างแม่นยำ กล่าวได้ว่าฉางมู่สะกดรอยตามทุกฝีก้าว!
ถ้าเป็นเช่นนี้เห็นทีเยี่ยฉวนจะต้องอยู่นิ่งๆ บ่อยครั้งขึ้นเสียแล้ว!
หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ อยู่พักใหญ่เยี่ยฉวนกระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้า ซึ่งเมื่อม้าเพลิงโลกันตร์ควบฝ่าความมืดกลางป่าทึบ กลับเป็นการดีมากด้วยจะบังเกิดประกายไฟขึ้นตามทางที่มันวิ่งผ่าน ทว่ายังเคราะห์ดีที่เปลวเพลิงไม่กระจายออกไปและลุกโชนขึ้นเพียงครู่เดียวก่อนที่จะมอดดับไป
หนึ่งชั่วยามให้หลัง เมื่อใกล้เวลาเที่ยงวันเยี่ยฉวนจึงเข้าสู่เขตเมืองเก่าแก่ที่มีชื่อว่า เมืองจิ้งหยวน
เมื่อผ่านเข้าไปในเมืองแล้ว เยี่ยฉวนมิได้มุ่งหน้าออกนอกเมืองเพื่อไปยังเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นอย่างที่แล้วมา หากเขากลับตรงไปยังอาคารสำนักอัปสรเมรัยที่ตั้งอยู่ในเมืองนั้นแทน
ที่นั่นจ้าวหอชั้นหกเป็นคนออกมาต้อนรับเยี่ยฉวนด้วยตัวเอง!
หลังจากเข้าสู่ห้องพักผ่อนส่วนตัว จ้าวหอซึ่งมิได้เอ่ยพูดในตอนแรกพลันเอ่ยขึ้นว่า “สหาย ท่าทางเจ้าจะสลัดการติดตามของสถานศึกษาฉางมู่ได้ยากเสียแล้ว!”
อีกฝ่ายหัวคิ้วขมวดเล็กน้อย “เพราะเหตุใดขอรับ?”
จ้าวหอถอนใจหนักพลางว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่คอยสะกดรอยตามเจ้าเห็นจะเป็นยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์จากฉางมู่และดินแดนอันธการ สำหรับพวกที่มีความแม่นยำเป็นเลิศ มีเพียงยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์จากดินแดนอันธการจึงสามารถสะกดรอยตามโดยที่เจ้าไม่รู้ตัว”
เยี่ยฉวนเอ่ยถามบ้าง “มีวิธีใดที่สามารถสลัดทิ้งพวกสะกดรอยได้บ้างขอรับ?”
จ้าวหอเหยียดมุมปากหากเป็นรอยยิ้มที่ผืดเฝื่อนเต็มที “ขึ้นชื่อว่ายอดยุทธ์ โดยเฉพาะมือสังหารแห่งดินแดนอันธการ พวกนี้มีความสามารถในการพรางตัว ถ้าจะฆ่าคนพวกนี้ต้องมีขั้นพลังควบยุทธ์สะท้านภพ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะสลัดพ้นการสะกดรอยตามของพวกมันได้ง่ายๆ”
ชายหนุ่มผู้ฟังนิ่งเงียบขณะกำลังครุ่นคิดหนัก “อย่างนี้ดีไหม? พวกเราไม่ต้องฆ่าพวกมันแค่ขัดขวางไว้ ข้าจะปลอมตัวและเปลี่ยนเส้นทางที่จะไปเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น”
พลันอีกฝ่ายเบนสายตามาทางคนพูดทันที “ข้าจะพูดตรงๆ ก็แล้วกันสหาย ถึงแม้ว่าเจ้าจะไปถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นแล้วก็ตาม ข้าเกรงว่าเจ้าอาจทำอะไรได้ไม่มากนัก บางที่เจ้าจะยิ่งมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น ดีไม่ดีอาจเสี่ยงอันตรายต่อตัวของเจ้าเองเสียเปล่าๆ……”
ความคิดนั้น นับเป็นวิธีที่ค่อนข้างไม่ฉลาดเอาเสียเลย!
เยี่ยฉวนต้องต่อสู้กับสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการเพียงลำพัง
ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลย!
พลันชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม “ถ้าข้าไม่ไปเมืองหลวงอาณาจักรต้าอวิ๋น พวกมันจะเลิกล้มฆ่าข้าหรือไม่?”
จ้าวหอชั้นหกเงียบกริบ
เสียงคนตรงหน้าพูดอีกว่า “ไม่มีทาง พวกมันจะสะกดรอยตามข้าอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จะไม่พุ่งเป้ามาที่ข้าเท่านั้น พวกมันจะทำร้ายคนรอบๆ ข้างของข้าด้วย ทางที่ดีข้าควรเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมบ้าง ถ้าไม่กำจัดพวกคนเหล่านี้ ข้าก็ต้องคอยหวาดระแวงอยู่อย่างนี้ร่ำไป มิเช่นนั้นก็ต้องยอมจำนนให้พวกมันกลั่นแกล้ง ซึ่งนั่นจะทำให้ข้าต้องรู้สึกผิดต่อตัวเอง!”
สายตาของจ้าวหอจ้องจับบนใบหน้าของผู้พูดสีหน้าแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มที่ ‘คนคนนี้เปรียบเหมือนสุนัขป่า! แม้ตัวตายก็จะกัดไม่ยอมปล่อย!’
“ฉางมู่และดินแดนอันธการ พวกเจ้าทำให้คนเช่นนี้เกิดความขุ่นเคืองใจ ช่างโชคร้ายเสียจริง!”
หลังจากนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ จ้าวหอชั้นหกจึงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม? ข้าจะส่งคน……ไม่สิ ข้าจะขัดขวางมือสังหารแห่งดินแดนอันธการที่สะกดรอยตามเจ้าด้วยตนเอง ทว่าเจ้าจะสามารถสลัดการติดตามของพวกมันได้สำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
เยี่ยฉวนผงกศีรษะ “ตกลงขอรับ!”
ในขณะที่จ้าวหอชั้นหกทำท่าจะกล่าวออกไป พลันมีชายวัยกลางคนผลุนผลันเข้ามาภายในห้องพัก เขากวาดตามองมาทางเยี่ยฉวนและจ้าวหอชั้นหก ก่อนจะพูดรัวเร็ว “ด้านนอกมีคนกลุ่มหนึ่งมาล้อมสำนักของเราไว้แล้วขอรับ!”
จ้าวหอชั้นหกขมวดคิ้ว พลางถามด้วยความสงสัย “พวกเขามาจากสถานศึกษาฉางมู่ใช่ไหม?”
ชายคนดังกล่าวพยักหน้า “มู่ซ่วนชิงบอกให้เราส่งตัวผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ยฉวนไปให้มัน มิเช่นนั้น……”
พลันเสียงเยี่ยฉวนพูดแทรกขึ้นทันควัน “ข้าไม่กลัวหรอก! และขอตอบคำเดียวสั้นๆ เลย……สู้โว้ย!”
ทันทีที่พูดจบ เขาผุดลุกขึ้นพร้อมฉวยกระบี่และเดินอาดๆ ไปที่ประตูทางออก
ชายวัยกลางคนและจ้าวหอชั้นหกตาตื่น มองตามคนที่กำลังเดินคล้อยหลังไป
ไม่นานต่อมาเยี่ยฉวนย้อนกลับเข้ามาในห้องพัก ชายหนุ่มทรุดตัวลงบนม้านั่งพลางวางกระบี่ลงบนโต๊ะ ท่าทางครุ่นคริดบางอย่างจากนั้นจึงหันมากล่าวกับจ้าวหอชั้นหกและชายวัยกลางคนว่า “ที่นี่มีทางออกด้านอื่นที่พอจะให้ข้าหลบหนีออกไปได้ไหมขอรับ?”
จ้าวหอชั้นหก “……”
ชายวัยกลางคน “……”
