บทที่ 376 ช่างเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าอายสิ้นดี! (ต้น)
……
ในห้องพัก จ้าวหอชั้นหกเหลือบมองไปทางชายวัยกลางคน คนผู้นั้นจึงพูดอีกว่า “พวกมันเป็นพลม้าเพลิงโลกันตร์จากอาณาจักรต้าอวิ๋น มีกันทั้งหมดห้าสิบม้า นอกเหนือจากนั้นยังมีพวกที่สามารถอำพรางพลังแสงในความมืดได้ ซึ่งน่าจะเป็นมือสังหารจากดินแดนอันธกาล” ……
……
“พลม้าเพลิงโลกันตร์ห้าสิบนาย!” ……
..
ทันทีที่ได้ยินสีหน้าของคนจ้าวหอเปลี่ยนเคร่งเครียดฉับพลัน
ในอาณาเขตแผ่นดินชิงนี้ พลม้าเพลิงโลกันตร์นับว่าถือเป็นที่สุดด้วยไร้คู่แข่งยกเว้นยอดยุทธ์ผนึกยุทธ์ อย่าว่าแต่แผ่นดินชิง พลม้าเพลิงโลกันตร์ถ้าอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกมันก็มิได้อ่อนด้อยแต่อย่างใด อย่างน้อยๆ สามารถเทียบชั้นได้กับขุนศึกเต๋าของสำนักอัปสรเมรัยและสถานศึกษาฉางมู่ทีเดียว!
“พลม้าเพลิงโลกันตร์ห้าสิบนาย!”
คนเป็นจ้าวหอชั้นหกเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเยี่ยฉวนจึงล่าถอยกลับมาหน้าตาเฉย!
อันว่าความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวน ณ เวลานี้ยังยากจะต่อกรกับพลม้าทั้งห้าสิบข้างนอกนั่น ทหารม้าธรรมดายังไม่เทียบไม่ได้กับพลม้าเพลิงโลกันตร์ แต่ละคนฝีมือระดับพระกาฬ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สวมใส่ติดตัว ล้วนเป็นชนิดดีที่สุด สมรรถนะในการต่อสู้ทหารม้าธรรมดาเทียบไม่ติด
ถ้าเยี่ยฉวนต้องออกไปต่อสู้กับพลม้าเพลิงโลกันตร์เหล่านี้ เขาคงทำได้เพียงถ่วงเวลาหรือทำให้พวกมันอ่อนกำลังลงบ้างเท่านั้น!
“เจ้าจะทำอย่างไร?” ชายวัยกลางคนหันมาถามชายหนุ่ม
พลอยให้จ้าวหอหันมามองด้วยสายตาตั้งคำถามเช่นกัน เยี่ยฉวนจึงตอบหน้าตาเฉย “หนีขอรับ!”
ทั้งชายวัยกลางคนและจ้าวหอชั้นหกเมื่อได้ยินดังนั้น คนทั้งคู่สีหน้าเหยเกพากันอ้ำอึ้งต่างฝ่ายต่างพูดไม่ออกเป็นนาน
เยี่ยฉวนนิ่วหน้าพลันถามเสียงแปลกใจไม่น้อย “หนีไม่ได้หรือขอรับ?”
คราวนี้จ้าวหอชั้นหกตอบพลางฝืนยิ้ม “ได้สิ หนีได้แน่นอน แต่ว่าข้าก็แค่……เจ้ามีแผนรับมือบ้างไหม?”
ส่วนลึกในจิตใจ ชายหนุ่มเป็นคนมีใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว!
เขาส่ายหน้าตอบคำถาม “พลม้าเพลิงโลกันตร์มาเพราะข้า เรื่องนี้ข้าไม่โง่พอที่จะไม่รู้!”
อันที่จริงเยี่ยฉวนไม่ได้กลัวพลม้าเพลิงโลกันตร์ สิ่งที่เขากังวลคือเหล่าปีศาจเฒ่าขั้นผนึกยุทธ์พวกนั้นต่างหาก ถ้าคนพวกนั้นผนึกกำลังกับพลม้าเพลิงโลกันตร์ละก็……หรือถ้าบอกว่ามีพวกนั้นแฝงกายปะปนมากับพลม้าเพลิงโลกันตร์ เยี่ยฉวนก็หวั่นเกรงไม่น้อย หากแต่ประเด็นสำคัญก็คือเหตุใดเขาจะต้องต่อสู้กับกองกำลังที่เหี้ยมโหดที่นี่ด้วย?!
ถ้าสามารถรับมือได้เขาต้องออกไปจัดการพวกมันแน่ไม่น่าสงสัย แต่นี่เขาสู้ไม่ได้จึงถึงเวลาที่จะต้องหนีบ้าง!
จ้าวหอชั้นหกผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “สหาย ในอาคารสำนักอัปสรเมรัยแห่งนี้มีอุโมงค์ทางออกทั้งหมดหกแห่ง อุโมงค์แต่ละแห่งต่างมุ่งออกนอกเมืองไปได้หกสถานที่ ตามข้ามาทางนี้!
“รอก่อนขอรับ!”
เยี่ยฉวนทักท้วงขณะลุกขึ้นจากที่ “คอยข้าสักเดี๋ยว!”
หลังจากนั้นจึงหยิบกระบี่หลิงซิ่วและเดินตรงไปที่ประตู
คนข้างหลังชายวัยกลางคนและจ้าวหอชั้นหกหันมองหน้ากันไปมา สีหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความงงงันอย่างที่สุด
ภายนอกอาคารสำนักอัปสรเมรัยเยี่ยฉวนเดินถือกระบี่ออกไปทางประตู ไม่ไกลออกไปนักเป็นพลม้าเพลิงโลกันตร์ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ อยู่ครบถ้วนตามจำนวนทั้งสิ้นห้าสิบตัว!
พลม้าเพลิงโลกันตร์ทุกคนสวมเครื่องแต่งกายสะอาดเอี่ยม รังสีอำมหิตเปล่งประกายเจิดจ้าออกมาภายนอก
ซึ่งเยี่ยฉวนเองยังต้องยอมให้ในความแข็งแกร่งของพลม้าเพลิงโลกันตร์กลุ่มนี้ ถ้าต้องต่อสู้กันในสนามรบ เชื่อได้ว่าลำพังเขาคนเดียวคงรับมือคนทั้งห้าสิบเบื้องหน้าไม่ไหวแน่นอน ความกล้าแกร่งของพวกเขาเหนือกว่าบรรดาอัจฉริยะที่ติดทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ของแผ่นดินชิงเสียอีก!
เมื่อเห็นคนที่เดินออกจากประตูมา สายตาของพลม้าเหล่านั้นได้เบนมาจับจ้องอยู่ที่เขาเป็นจุดเดียว ชายหนุ่มยกกระบี่หลิงซิ่วชี้ตรงไปทางพลม้าเพลิงโลกันตร์ทั้งห้าสิบ “รุ่งเช้าพรุ่งนี้ข้าขอท้าประลองเป็นตายกับพวกเจ้า!”
เมื่อพูดจบเยี่ยฉวนหันหลังขวับ เดินกลับเข้าสู่ภายในอาคารสำนักอัปสรเมรัยเช่นเดิม
ที่ในมุมมืดบริเวณด้านนอกอาคาร เสียงจ้าวทมิฬเอ่ยเบาๆ กับมู่ซ่วนชิง “รุ่งเช้างั้นหรือ?”
คนด้านข้างตอบเสียงราวกระซิบ “พวกมือสังหารแห่งดินแดนอันธกาลมีความได้เปรียบเมื่ออยู่ในความมืด ขณะที่เยี่ยฉวนรู้ตัวว่าด้อยกว่าในเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ยอมออกมาสู้ในเวลากลางคืน ในเมื่อเขาขอเวลารุ่งเช้าฉะนั้นก็รอจนกว่าจะเช้า ข้าก็คิดเอาไว้เช่นนั้นเหมือนกัน!”
ถ่วงเวลา!
พวกเขามีจุดประสงค์ที่จะใช้วิธีบังคับกับเยี่ยฉวนเพราะเห็นชัดแล้วว่าถึงแม้เป็นพลม้าเพลิงโลกันตร์ การสังหารคนผู้นี้มิใช่กระทำได้ง่ายๆ ใครย่อมรู้ว่าเยี่ยฉวนมีสิบสองมนุษย์ทองคำ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งเป้าเพียงว่า ใช้วิธีบีบบังคับเยี่ยฉวนเพื่อรอกำลังเสริมเท่านั้น!
จ้าวทมิฬนิ่งคิดไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็ได้”
ดังนั้นคนทั้งหมดจึงได้แต่คอยและคอย หลังจากนั้นราวสองชั่วยาม ในที่สุดแสงสีทองของดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏให้เห็น
ทุกคนเฝ้ามองไปทางประตูสำนักอัปสรเมรัยอย่างใจจดใจจ่อ พลม้าเพลิงโลกันตร์ทั้งห้าสิบนายมีท่าทางกระตือรือล้นในการจัดระเบียบแถว เพื่อรอการมาของเยี่ยฉวนเพราะต่างย่อมรู้ดีว่าใครคือคนที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วยในครั้งนี้!
คนที่จะออกมาต่อสู้ด้วยคือจ้าวกระบี่!
เยี่ยฉวนเป็นจ้าวกระบี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในแผ่นดินชิง นอกเหนือจากนี้เขามีมนุษย์ทองคำทั้ง 12 ซึ่งเปรียบเสมือนยอดยุทธ์ในขั้นสุดยอดผสานยุทธ์เลยทีเดียว!
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าประมาท!
ห้าสิบคนของพลม้าเพลิงโลกันตร์จึงจ้องสายตาแน่วนิ่งไปที่ประตูทางออกของสำนักอัปสรเมรัย ทันทีที่ชายคนนั้นปรากฏกาย พวกเขาจะได้ทะยานเข้าใส่โดยไม่ชักช้า!
อึดใจหนึ่งผ่านไป!
สิบอึดใจต่อมา!
ผ่านไปอีกเกือบครึ่งก้านธูป!
ครึ่งก้านธูปก็แล้ว……
แต่หามีคนโผล่หัวออกมาจากประตูสำนักอัปสรเมรัยเลยไม่!
ณ มุมแห่งหนึ่งมู่ซ่วนชิงขมวดคิ้วหน้ามุ่ย
หลังจากเวลาผ่านไปอีกราวครึ่งก้านธูป ก็ยังไม่มีใครออกมาสักที!
ทำให้สีหน้าของมู่ซ่วนชิงยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นทั้งหมองทั้งดำ!
จนครึ่งก้านธูปต่อมา……
ปรากฏชายชราผู้หนึ่งเดินออกจากประตูสำนักอัปสรเมรัย!
จ้าวหอชั้นหก!
จ้าวหอเดินมาหยุดยืนตัวตรงและเบนสายตามองหามู่ซ่วนชิงซึ่งขณะนั้นยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง เมื่อเห็นคนเขาจึงแย้มริมฝีปากทำท่าเหมือนจะยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ อาจารย์ใหญ่มู่!”
อีกฝ่ายถลันพรวดออกไปโผล่ตรงหน้าจ้าวหอชั้นหก พลางกวาดตามองคนตรงหน้าสีหน้าเคลือบแคลงใจยิ่ง “เขาอยู่ไหน?”
“เขาไหน?”
จ้าวหอปั้นสีหน้าฉงนงงงวย ทำท่าเหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “ใคร?”
มู่ซ่วนชิงกัดฟันกรอด เค้นเสียงเกือบเป็นคำราม “เยี่ยฉวน!”
“เยี่ยฉวนงั้นหรือ?”
คนตรงข้ามทำหน้าตกอตกใจได้แนบเนียน “อ้าวท่านไม่รู้หรือ? เขาไปตั้งนานแล้ว”
