บทที่ 377 ช่างเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าอายสิ้นดี! (ปลาย)
……
ตู้ม!……
……
ฉับพลันที่สิ้นเสียงพูด รังสีพลังพุ่งวาบออกจากกายของมู่ซ่วนชิง อากาศที่เบื้องหน้าจ้าวหอชั้นหกสั่นระริกและร่างของเขากระถดถอยออกไปกว่าเก้าจั้ง พลันพื้นที่รอบๆ มู่ซ่วนชิงในรัศมีเก้าจั้งบังเกิดหลุมลึกขึ้นแห่งหนึ่ง!……
..
ขณะนั้นมู่ซ่วนชิงยืนนิ่ว มือสองข้างกำหมัดแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวดุดันสั่นระริกไปทุกอณู
“เยี่ยฉวนไปแล้ว!”
เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยฉวนจะหลบหนีไปจริง!
“เยี่ยฉวนหนีไปแล้ว!”
“แต่เขาบอกพวกเราว่ารุ่งเช้าของวันนี้ จะออกมาท้าสู้ประลองเป็นตายกับเรา!”
“เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงหรือ?”
“เป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับกลัวความตายอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้ฝึกกระบี่จะมาถอนคำพูดอย่างนี้ได้อย่างไร?”
“เยี่ยฉวนทำเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ!”
“เขาเป็นคนที่ไว้ใจอะไรไม่ได้!!”
มู่ซ่วนชิงโมโหจนแทบระเบิด
คนที่ยืนยิ้มอยู่ในระยะไกล จ้าวหอจึงพูดขึ้นว่า “อย่างโกรธไปเลยอาจารย์ใหญ่มู่ ผู้เยี่ยมยุทธ์เยี่ยฝากข้อความไว้ให้ท่านด้วย เขาฝากมาบอว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย เอาไว้พวกเราค่อยมาสู้กันวันหน้าก็แล้วกัน เขาบอกสถานที่มาด้วยคือที่สถานศึกษาฉางมู่ ข้าว่าพวกท่านรีบกลับไปคอยเขาที่นั่นเสียจะดีกว่า! ฮ่าฮ่า……”
พูดจบคนก็หันกลับออกไปทันที
ในตอนนั้นถึงแม้ว่ามู่ซ่วนชิงจะยังกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง หากคนเริ่มมีท่าทีอ่อนลง
ต่อมาจ้าวทมิฬปรากฏขึ้นที่ด้านข้างมู่ซ่วนชิง “ผ่านไปแล้วสองชั่วยาม ข้าคิดว่าป่านนี้เยี่ยฉวนน่าจะไปถึงเมืองสุยอินแล้ว”
“เมืองสุยอิน!”
คนฟังเมื่อได้ยินเขาหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย “เมืองสุยอินอยู่ใกล้เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นมากแล้ว! ถ้าเยี่ยฉวนผ่านเมืองนี้ไปได้ เขาจะต้องผ่านเมืองเล็กๆ ใกล้กันอีกสองเมือง และใช้เวลาอีกหนึ่งวันจึงจะถึงเมืองหลวงอาณาจักรต้าอวิ๋น!”
“เมื่อเขาไปถึงเมืองหลวงแห่งต้าอวิ๋น ก็จะไปที่สถานศึกษาฉางมู่……”
อย่างไรก็ตาม ความคิดของมู่ซ่วนชิงสะดุดลง เพราะไม่กล้าคิดต่อ!
“นิสัยของเจ้าเยี่ยฉวนคนนี้ เมื่อไปถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น เขาย่อมทำมันอย่างแน่นอน!”
พลันมู่ซ่วนชิงเงยหน้าขึ้น “ตามมันไป พวกเราต้องขัดขวางเขาไว้ ต้องถ่วงเวลารอกำลังเสริมจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาช่วยให้ได้!”
จ้าวทมิฬผงกศีรษะ ก่อนจะหันหลังออกไปจากสถานที่ทันที
คนที่ยังยืยนิ่งอยู่ที่เดิม มู่ซ่วนชิงหันมองไปทางสำนักอัปสรเมรัยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “ทุกคนในสำนักอัปสรเมรับจงฟัง พวกเจ้าอย่าได้ให้ความช่วยเหลือเขาเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องเสียใจ!”
จบประโยคนั้นเอง คนพูดจึงหันกลับออกไป
ภายในห้องพัก จ้าวหอชั้นปล่อยหัวเราะพรื่ด “เสียใจงั้นหรือ? คนที่ต้องเสียใจเห็นจะเป็นฉางมู่เสียละมากกว่า!”
เพียงไม่กี่สิบอึดใจต่อมา พลม้าเพลิงโลกันตร์ก็เคลื่อนออกจากเมืองและเหยาะย่างไปตามทาง
พวกเขากำลังไล่ติดตามเยี่ยฉวน!
.
บนทางราบม้าเพลิงโลกันตร์ของเยี่ยฉวนกำลังห่อตะบึงอย่างสุดฝีเท้าไปตลอดทาง กระทั่งเห็นเป็นเปลวเพลิงสีดำลุกโชนเป็นทางยาวเบื้องหลัง……
คนที่นั่งอยู่บนหลังม้า เยี่ยฉวนสีหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดกับตนเอง
“ถ้าใช้ความเร็วเช่นนี้ หากไม่มีอะไรมาขัดขวางคาดว่าข้าจะถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นภายในหกหรือเจ็ดวันเป็นอย่างมาก! เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้ว เห็นจะต้องเปิดลานประลองที่สถานศึกษาฉางมู่เป็นที่แรก!”
ทันใดนั้นเองเยี่ยฉวนสะบัดหน้าเงยขึ้นมองอย่างรวดเร็ว ที่เบื้องหน้าลูกศรสีดำสนิทสามดอกพุ่งตรงเข้าหาคนด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าแลบ ทั้งสามดอกพุ่งเร็วมาก! ด้วยขณะที่เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นลูกศรทั้งสามเข้ามาจ่อถึงตรงหน้าแล้ว!!
ชายหนุ่มกระพือเปลือกตาเปิดทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลำแสงกระบี่ลากยาวสองแสงพุ่งวาบออกจากนัยน์ตาทั้งสองข้างด้วยความรวดเร็ว!
ตู้ม!
พลันเมื่อปะทะกันลูกศรที่เข้ามาตรงหน้าเยี่ยฉวนพลันแตกละเอียดกระจัดกระจาย!
ทว่าในเวลานั้นเอง ทวนลำหนึ่งพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าหาร่างเยี่ยฉวน เสียงฉีกชั้นอากาศดังเสียดแทงจนแสบแก้วหู
พลันเยี่ยฉวนเผยฝ่ามือผลักออกไปข้างหน้า ฟู่! กระบี่หลิงซิ่วทะยานออกจากฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตากระบี่สะบัดออกปะทะเข้ากับปลายทวนอย่างถนัดถนี่
เมื่อเข็มแทงเหล็กแหลม!
ผัวะ!
ทวนลำนั้นสั่นอย่างรุนแรงและกระเด็นย้อนกลับไป
ห่างออกไปหลายจั้ง มือของใครคนหนึ่งยื่นออกมาคว้าทวนที่กระเด็นไว้ทันที เจ้าของมือนั้นเป็นสตรีไว้ผมทรงเปียน่าตาแปลกประหลาด บนใบหน้าแต่งแต้มด้วยเส้นสีหลากสีสัน และที่ปลายจมูกสวมห่วงเหล็ก นางสวมใส่เครื่องนุ่งห่มน้อยชิ้นด้วยร่างกายส่วนบนมีเพียงเสื้อทรงชั้นในสตรีทำจากหนังสัตว์ชนิดหนึ่ง ปกปิดบริเวณหน้าอกเท่านั้น และเครื่องนุ่งห่มท่อนล่างสวมกระโปรงสั้นที่เย็บจากหนังสัตว์เช่นกัน!
ทางด้านซ้ายมือของสตรีมีคนห้าคนเป็นชายทั้งหมด สามคนถือคันธนูยาวและอีกสองคนถือทวนยาว
ชายทั้งห้ามีสีหน้าท่าทางดุดันเหี้ยมเกรียม!
สตรีคนที่อยู่ข้างหน้าจับตามองเยี่ยฉวนอย่างสำรวจตรวจตรา จากนั้นจึงเบนหน้าไปพูดกับคนห้าคนทางด้านหลัง ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “นี่หรืออัจฉริยะแห่งแผ่นดินชิง? ข้าว่าเหมือนคนธรรมดามากกว่า!”
จากนั้นนางหันกลับมองมาที่เยี่ยฉวนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “จอมยุทธ์เยี่ย หัวของเจ้าน่ะเวลานี้กองกำลังจิ้งจอกอสูรกำลังจะ……”
ทันใดนั้นเอง เยี่ยฉวนซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าเพลิงโลกันตร์ได้หายวับไปทันที ชั่วขณะหนึ่งลำแสงกระบี่พุ่งวาบตรงไปยังสตรีเบื้องหน้า
จอประสาทตาของสตรีหดตัวลงฉับพลัน ขณะที่ความหวาดกลัวฉายวาบในแววตาคู่นั้น!
พลังปะทะแห่งกระบี่ที่พุ่งวาบบ่งชี้อันตรายถึงแก่ชีวิต ด้วยทันทีที่ลำแสงกระบี่ปรากฏออกเบื้องหน้า นางรับรู้ได้ทันทีว่าไร้ซึ่งความสามารถที่จะต้านทานเสียแล้ว!
กระบี่จะปลิดชีพตนในบัดดล!
ถึงกระนั้นสตรีผู้นี้กลับไม่ปรารถนาความตาย นางกระทบเท้าลงบนพื้น พลันแรงผลักดันกระจายโอบล้อมร่างของนางไว้ทั้งร่าง ขณะเดียวกันคนเสือกพรวดทวนยาวออกไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรง ด้วยการเคลื่อนที่ดังกล่าวทำให้สีหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความรุนแรงของพลัง!
สตรีผลักออกทวนด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดเท่าที่มี!
เพราะนางรู้ดีว่าหากไม่สามารถต้านทานพลังปะทะ ก็ต้องตายสถานเดียว!
ลำทวนถูกผลักออก ขณะเดียวกับกระบี่ทะยานถึงเป้าหมาย
เปรี้ยะ!
เสียงโลหะถูกบดขยี้ดังสนั่นลั่นบริเวณ จากนั้นลำแสงแห่งกระบี่พุ่งวาบทะลุผ่านหว่างคิ้วของสตรีตรงหน้า
ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกตัวแข็งทื่อ พลันเยี่ยฉวนปรากฏกายขึ้นต่อหน้านาง
ริมฝีปากของนางขยับพูด นัยน์ตาเบิกโพลงจ้องเขม็ง “รวด……เร็ว……นัก”
เมื่อสิ้นเสียงคนพูด รอยปริแตกแบ่งครึ่งกลางหว่างคิ้ว โลหิตทะลักพรูออกจากปากแผลจากนั้นร่างคนก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
ชายทั้งห้าคนมองเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความประลาดใจ
“เขาสังหารนางชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาทีงั้นหรือ?”
“นางตายด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที?”
คนทั้งห้ามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทั้งหวาดกลัวทั้งแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
ในตอนนั้นเอง กระบี่เจ็ดเล่มทะยานออกจากหีบกระบี่ที่เยี่ยฉวนสะพายไว้ข้างหลัง……
ฉับ! ฉับ! ฉับ! ฉับ! ฉับ!
ก่อนที่ชายทั้งห้าคนจะตอบโต้ กระบี่ของเยี่ยฉวนไล่สังหารพวกมันจนหมดสิ้นแล้ว
จากนั้นชายหนุ่มจึงจัดการเก็บกวาดลานกว้างจนเกลี้ยง ครานี้เขาเก็บเกี่ยวได้ทรัพย์สินจำนวนไม่น้อยทีเดียว มีทั้งเหรียญทองสี่ร้อยและสุดยอดศิลาจิตวิญญาณอีกหนึ่งล้านชิ้น!
“สุดยอดศิลาจิตวิญญาณล้านชิ้น!”
สิ่งนี้ทำให้เยี่ยฉวนออกจะตื่นเต้น เพราะความขาดแคลนสุดยอดศิลาจิตวิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเปิดใช้งานสิบสองมนุษย์ทองคำนั่นเอง!
“มาช่วยไว้ได้ทันเวลาทีเดียว!”
เยี่ยฉวนหันไปคารวะร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นพลางกล่าวออกมาอย่างจริงใจ “พวกเจ้าก็ดีเหมือนกัน ดีจริงๆ ทุกคนเลย!”
“เหอเหอ!”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหบๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง
เสียงนั้นเข้ามาใกล้มาก โดยห่างออกไปราวสี่จั้งเศษเท่านั้น
ชายหนุ่มหน้าเครียดมือกระชับกระบี่หลิงซิ่วแน่นหนา เขาไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนโผล่เข้ามาด้านหลังอย่างเงียบๆ
“นั่นใคร?”
