Skip to content

บุรุษน่าตาย 7

Cover Bn For Web

Chapter 7

ร่วมงานเลี้ยงของเทียนจวิน

“ใช่” ตี้โฮ่วพยักหน้า ตี้จวินจึงบอกเฉินมู่อิ๋ง “เจ้าอย่าใช้พลังต้านข้า ข้าเพียงแค่จะดูเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”

เฉินมู่อิ๋งจึงเก็บมือทารกเล็กๆ คู่นั้นไป ตี้จวินใช้พลังกวาดผ่านร่างเฉินมู่อิ๋ง 1 รอบ แล้วดึงพลังกลับมา “ข้าได้กลิ่นอายของผู้เฝ้ามองบนตัวนาง”

“หือ? ผู้เฝ้ามอง?” ตี้โฮ่วขมวดคิ้ว “ใช่ ผู้เฝ้ามองที่ตามผู้อาวุโสจางอี้ปินไหม?”

“น่าจะใช่ กลิ่นอายเหมือนกัน” ตี้จวินพยักหน้า

“หือ?” เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วไม่พูดอะไร เขานึกขึ้นได้ว่า จริงซิ! ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฝ้ามองบอกว่าจะไปตามหาชิงชิงอะไรนี่แหละ แล้วก็หายไปเลย หรือว่าเขาจะอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้!? หากว่าอาจารย์ผู้เฝ้ามองอยู่ที่นี่จริงๆ เขาก็อยากจะเจออาจารย์สักครั้ง อาจารย์นับว่ามีบุญคุณกับเขาเหลือล้น ที่เขาฉลาดเฉลียวเช่นทุกวันนี้ก็ล้วนเป็นเพราะอาจารย์ผู้เฝ้ามองให้เขาเฝ้ามองชีวิตของผู้คนมากมาย ทำให้เขาได้ประสบการณ์จากชีวิตของคนเหล่านั้น ได้กราบอาจารย์เฟยเทียน กราบอาจารย์กู่เสียนฟาง และรู้จักพี่สาวมังกรก็เพราะเหตุเนื่องมาจากการเฝ้ามองในอดีตเช่นเดียวกัน หลอมกระบี่เทพมารได้ก็เพราะการเฝ้ามองชีวิตของฮองเฮาหลิวอีกเช่นกัน

แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกไป เพราะไม่รู้ว่าตี้จวินมีความคิดเห็นกับอาจารย์ผู้เฝ้ามองอย่างไร เป็นมิตร? หรือว่าเป็นศัตรู? แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบอาจารย์ผู้เฝ้ามองของเขาสักเท่าไหร่ เช่นนั้นก็ควรจะเงียบไว้ก่อนดีกว่า

“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับผู้เฝ้ามองคนนั้น?” ตี้จวินถาม มองเฉินมู่อิ๋งอย่างจับสังเกต เฉินมู่อิ๋งก็ทำหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ตี้จวินเป็นใคร เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งของแดนเทพเชียวนะ อีกทั้งอยู่มานานมาก พบเจอคนมาทุกรูปแบบ ทั้งความเจ้าเล่ห์ของฮูหยินของเขา เขาก็พบเจอมาเสียจนคุ้นชินยิ่ง ดังนั้นลูกไม้เล็กๆ ของเด็กเฉินมู่อิ๋งเขาย่อมมองออก เพียงแต่ไม่พูดอะไรเท่านั้นเอง

ตี้โฮ่วก็มองเฉินมู่อิ๋งออกเช่นกัน เธอเห็นแววตาวูบไหวในดวงตาเด็กสาวคนนั้นหลังจากได้ยินคำว่า ‘ผู้เฝ้ามอง’ หากไม่รู้จักดวงตาจะวูบไหวได้อย่างไร เพียงแต่เธอก็ไม่ซักถามอะไรอีก คนทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นล่วงรู้ ผู้เฝ้ามองคนนั้นก็ไม่ได้ทำตัวมีพิษภัยอะไรกับแดนเทพ สองคนนี้จะรู้จักกันหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสนใจนัก รู้แค่ว่าสองคนนี้มีความเกี่ยวพันกันบางอย่างก็พอแล้ว

“ช่างเถอะ” ตี้จวินเอ่ยแล้วหันไปชวนฮูหยิน “กลับเรือนกันเถอะ”

“อืม” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับ แล้วหันไปสั่งจินเย่ว่า “เจ้าพานางไปพักที่ตำหนักที นางถูกใจตำหนักรับรองหลังไหนก็ให้นางเลือกเอาเองเถอะ ข้าไปล่ะ”

“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” จินเย่รับคำแล้วชวนเฉินมู่อิ๋งว่า “มาซิน้องสาว”

“อืม” เฉินมู่อิ๋งรับคำแล้วเดินตามจินเย่ไป หลงจิ่งเทียนกับเสี่ยวเฟิ่งก็มองตามเฉินมู่อิ๋งไป เสี่ยวเฟิ่งยกศอกวางบนบ่าหลงจิ่งเทียนแล้วเย้าว่า “ดูเจ้าสนใจนางเสียจริง”

“ย่อมต้องสนใจ คนที่เข้าตาเจ้ใหญ่ ต้องมีดีแน่นอน หรือว่าเจ้าไม่สนใจล่ะ?” หลงจิ่งเทียนย้อนถาม เสี่ยวเฟิ่งตอบ “ก็สนใจอยู่ แต่คงไม่มากเท่าเจ้ากระมัง รักแรกพบหรือไร?”

“หึ! รักแรกพบอะไรกัน เจ้าก็พูดไปเรื่อย” หลงจิ่งเทียนสะบัดไหล่ออกแล้วเดินกลับตำหนักของเขาไป เสี่ยวเฟิ่งเดินตามไป พวกเขาสองคนพักอยู่ตำหนักเดียวกัน เพียงแค่อยู่คนละห้องเท่านั้นเอง

จินเย่พาเฉินมู่อิ่งไปถึงหมู่ตำหนักรับรอง แล้วชี้บอก “เจ้าชอบหลังไหนก็เลือกเถอะ”

“อ่อ ขอบคุณมาก” เฉินมู่อิ๋งยิ้มให้จินเย่ มองตำหนักหลังใหญ่โตโอ่อ่าเหล่านั้น แล้วเลือกตำหนักหลังหนึ่งเป็นที่พัก

จินเย่ส่งเฉินมู่อิ๋งเข้าตำหนักไปแล้วก็กลับไป เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าเรือนไป สำรวจที่พักใหม่ที่หรูหราโอ่อ่าสมกับเป็นตำหนักหนึ่งของตำหนักไป๋หยุน

เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เป็นศิษย์ของตี้โฮ่ว การตัดสินใจของเขานับว่าเป็นวาสนาที่หายากยิ่ง ก็เหมือนกับวาสนาที่ได้เจออาจารย์ผู้เฝ้ามอง อาจารย์เฟยเทียน อาจารย์กู่เสียนฟาง พี่สาวมังกร ฯลฯ

เขาอาบน้ำแล้วเข้านอน ไม่นานนักก็หลับสนิทไป

ณ ยมโลก เหยียนหลัวหวางตามลูกน้องไปยังอเวจีนรก ยมทูตที่สืบเรื่องราวชี้บอก “นายท่าน ท่านดูรอยเท้านี่ซิขอรับ”

บนพื้นทรายสีเทามีรอยเท้าจางๆ หลงเหลืออยู่หลายรอยทีเดียว ตรงส่วนนี้เป็นพื้นหินมีทรายปกคลุมจึงมีรอยเท้าหลงเหลือให้เห็น

“เป็นรอยเท้ามนุษย์ขอรับ” ยมทูตบอกแล้วกางมือวัดขนาดรอยเท้า “เล็กกว่าข้า น่าจะตัวเล็กกว่าข้าสัก 1 ช่วงศีรษะขอรับ”

เหยียนหลัวหวางมองรอยเท้าพวกนั้นที่น่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน ไม่มีรอยเท้าอื่นที่ผิดแผกไปจากนี้ปะปนอยู่ เดาได้ว่ามีคนเข้ามาและทำให้อเวจีนรกกลายเป็นเช่นนี้ “เป็นใครกัน?”

“คนที่คิดช่วยวิญญาณชั่วช้าหรือ?” เขาคิดๆ แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่น่าจะใช่”

“หรือว่าเป็นพวกมาร?” เขาคิดอีกแล้วก็ส่ายหน้า “ก็ไม่น่าใช่ หากว่ามีมารเข้ามาย่อมหลงเหลือไอมารซิ”

“ยิ่งเป็นเซียนจากโลกแห่งนั้น พวกมันก็พลังต่ำต้อยนัก ทันทีที่หลงเข้ามาก็คงถูกเพลิงโลกันตร์เผาจนไม่เหลือขี้เถ้า” เขาคิดแล้วคิดอีก คิดอีกคิดแล้ว คิดจนหัวแทบแตกก็ยังคิดไม่ออก “วะ! เป็นใครกันแน่นะ!? ฮึ่ม!”

เขาหันไปมองลูกน้องแล้วสั่งว่า “สืบหาตัวคนอย่างลับๆ ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ต้องจับมันมาให้มันชดใช้ความผิดของมันให้ได้”

“ขอรับ” ยมทูตรับคำ ในใจหนักอึ้งยิ่งนัก เขาจะตามหา ‘คน’ คนนี้ได้อย่างไร? ไม่มีเบาะแสอะไรเลยนอกจากรอยเท้าจางๆ ไม่กี่รอย นี่มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก! โว๊ย! ข้าล่ะอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย!

เหยียนหลัวหวางมองๆ แล้วก็จากไป งานเขารัดตัวยิ่งนัก

เช้าวันใหม่ เฉินมู่อิ๋งตื่นขึ้นมา เขาอาบน้ำแล้วเดินออกจากตำหนักที่พัก เดินดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าไปใกล้ตำหนักหลังหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงครางรัญจวนดังแว่วมาจากตำหนักนั้น ทำให้เขาหน้าแดงๆ ขึ้นมา รีบสาวเท้าเดินห่างจากตำหนักนั้นไปทันที คิดในใจว่า ‘ใครกัน ล้างหน้าไก่* แต่เช้าเชียว?’

(ล้างหน้าไก่ หมายถึง มีเพศสัมพันธ์ตอนเช้า)

เขาเดินเรื่อยไปจนกระทั่งเข้าใกล้ตำหนักอีกหลังก็ได้ยินเสียงครางรัญจวนอีกแล้ว เสียงครางไม่ได้ดังมาก ต้องโทษหูเขาที่ดีเกินไปต่างหาก เขารีบสาวเท้าเดินให้ห่างจากตำหนักหลังนั้นทันที เขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าใกล้ตำหนักอีกหลัง คราวนี้ได้ยินเสียงดังแว่วมา “อ้า! ตาเฒ่า! พอแล้ว!”

“อีกหนเถอะเย่เอ๋อร์” เสียงบุรุษดังแว่วมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงครางรัญจวนดังแผ่วๆ เฉินมู่อิ๋งหน้าเห่อร้อนอีกหน เขารีบสาวเท้าเดินไปอย่างเร่งรีบยิ่ง ทั้งยังก่นด่าตัวเอง ไม่น่าเดินมาทางนี้เลย!

เขาเร่งรีบเดินไปจนไม่ทันดูดีๆ เมื่อเลี้ยวหัวมุมพุ่มไม้ก็ชนกับคนๆ หนึ่ง พลั่ก!

“อ่ะ!”

“โอ๊ะ!” หลงจิ่งเทียนเซไป

เฉินมู่อิ๋งก็เซถอยหลังไป เขามองไปเห็นว่าเป็นองค์รัชทายาทหลงจิ่งเทียนคนนั้นจึงรีบขอโทษ “ขอโทษด้วยๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

“ช่างเถอะ” หลงจิ่งเทียนมองเฉินมู่อิ๋งแล้วถามว่า “เจ้าเดินหนีใครรึ?”

“อ่า…” เฉินมู่อิ๋งอึกอักไป จะบอกว่าเดินหนีเสียงที่ไม่ควรได้ยินก็พูดไม่ออก หลงจิ่งเทียนเห็นท่าทีอึกอักของอีกฝ่ายจึงไม่ถามอีก เขาชวนว่า “ไปที่ห้องกินข้าวเถอะ ข้าจะไปช่วยท่านน้ารั่วเฟยทำกับข้าว”

“อ่ะ อือ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับ หลงจิ่งเทียนจึงเดินนำไป เฉินมู่อิ๋งมองหลงจิ่งเทียนที่เดินไปทางที่เขาเพิ่งผ่านมา แล้วชี้มือถาม “ทางนี้ไปไหนหรือ?”

“สุดทางนี้เป็นตำหนักข้า” หลงจิ่งเทียนบอก เฉินมู่อิ๋งจึงหมุนตัวกลับเดินตามหลงจิ่งเทียนไป เดินไปอีกนิดเขาจึงพบว่ามีทางแยกอีกทางหนึ่ง เป็นเมื่อกี้เขาไม่ทันมองให้ดีๆ จึงไม่เห็น หลงจิ่งเทียนเดินไปตามทางแยกนั้น เฉินมู่อิ๋งเดินตามไปพลางมองไปรอบๆ ตัว ตำหนักไป๋หยุนช่างกว้างใหญ่จริงๆ แต่คนอยู่น้อยนิดยิ่งหากเทียบกับสถานที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ตำหนักแต่ละหลังเหล่านั้นก็อยู่ห่างกันมาก หากว่าไม่เดินไปใกล้ตำหนักก็คงไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นหรอก เป็นเขาที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเองถึงได้โชคไม่ค่อยดีนัก ดันไปได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินเข้าพอดี

เมื่อไปถึงโรงครัว หลงจิ่งเทียนก็ไปช่วยอาจารย์จ้าวมู่กับท่านน้ารั่วเฟยทำกับข้าว จ้าวมู่เห็นหลงจิ่งเทียนก็ทัก “มาแล้วรึ?”

“ขอรับ” หลงจิ่งเทียนตอบแล้วก้าวไปช่วยหยิบจับอย่างคุ้นเคย เฟิ่งรั่วเฟยยิ้มเอ็นดู “เสี่ยวเฟิ่งยังไม่ตื่นล่ะซิ”

“ขอรับ” หลงจิ่งเทียนตอบ เฟิ่งรั่วเฟยบ่น “เด็กคนนี้ตื่นสายจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว เห็นทีข้าคงต้องเข้มงวดกับเขาบ้างแล้วล่ะ”

เฉินมู่อิ๋งก้าวไปถาม “ให้ข้าช่วยอะไรขอรับ?”

“อ่อ” เฟิ่งรั่วเฟยกับจ้าวมู่มองเฉินมู่อิ๋ง ยิ้มให้แล้วบอกว่า “เจ้ามาช่วยหั่นผักเถอะ”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งจึงหยิบมีดมาแล้วลงมือหั่นผัก หลงจิ่งเทียนเหลือบมองเฉินมู่อิ๋งแวบหนึ่งแล้วรีบเก็บสายตาไปเมื่อเห็นนางมองตอบกลับมา เฉินมู่อิ๋งก็หั่นผักต่อ เฟิ่งรั่วเฟยสังเกตเห็นว่าหลงจิ่งเทียนมองเฉินมู่อิ๋งบ่อยครั้งยิ่ง นางจึงแอบส่งสายตากับสามี ‘ท่านดูจิ่งเทียนซิ’

‘อืม’ จ้าวมู่ส่งสายตาตอบ

‘ดูเหมือนจิ่งเทียนจะสนใจดอกท้อแรกแย้มเสียแล้ว’

‘หึๆๆๆ เขาก็โตแล้วนี่ เริ่มสนใจสตรีก็ไม่แปลกหรอก’

‘นั่นซินะ เด็กๆ ก็โตถึงเพียงนี้แล้ว’

สองคนสามีภรรยาส่งสายตาคุยกันไปคุยกันมาอย่างลับๆ ลอบมองหลงจิ่งเทียนกับเด็กเฉินมู่อิ๋งอย่างเงียบๆ เฉินมู่อิ๋งรู้ตัวว่าถูกจับตาก็ไม่ได้พูดอะไร การเป็นคนใหม่ย่อมถูกจับตาเป็นธรรมดา จนกระทั่งทำกับข้าวเสร็จแล้ว เฉินมู่อิ๋งก็ช่วยยกไปวางที่โต๊ะ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันมา แต่ละคนสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน พวกเขานั่งลงตรงที่ประจำของใครของมัน เฉินมู่อิ๋งก็นั่งข้างๆ ท่านย่าอวิ๋นอวี้ เขาแอบแปลกใจที่ท่านย่าคนนี้ยังดูสาวยิ่งนัก หรือว่านางจะมีวิธีคงรูปลักษณ์ไม่ให้แก่ เช่น ใช้โอสถที่คล้ายๆ กับโอสถโฉมงามของท่านอาจารย์เฟยเทียน?

จนกินข้าวอิ่มแล้ว ตี้โฮ่วก็พาเฉินมู่อิ๋งไปสอนฝึกหลอมโอสถ หลอมศาสตรา และก็ฝึกพลังจิต ตกเย็นหลังกินข้าวมื้อเย็นแล้วก็ฝึกวรยุทธ์กับพวกจินเย่

วันคืนผ่านไปอย่างสงบ เฉินมู่อิ๋งอยู่ที่ตำหนักไป๋หยุนมา 2 เดือนแล้ว ฝีมือของเขา ไม่ว่าจะเป็นด้านการหลอมโอสถ หลอมศาสตรา พลังจิต หรือวรยุทธ์ล้วนก้าวหน้าไปมากนัก ด้านการหลอมโอสถเขาสามารถหลอมโอสถได้ถึงระดับ ‘นภา’ แล้ว เขารู้สึกว่าหากฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้อีกสัก 2 เดือนคงหลอมโอสถได้ถึงระดับ ‘สวรรค์’ กระมัง ส่วนการหลอมศาสตราก็หลอมได้ถึงระดับ ‘นภา’ เช่นกัน ด้านพลังจิตจากมือทารกเล็กๆ คู่หนึ่งก็ก่อร่างมีแขนขึ้นมาแล้ว ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก อีกทั้งเขายังฝึกแผ่พลังจิตออกไปสำรวจรอบๆ ตัวด้วย

การแผ่พลังจิตออกไปสำรวจเช่นนี้ทำให้เขารับรู้สภาพรอบกายได้ดีกว่าการแผ่ประสาทสัมผัสเสียอีก การแผ่ประสาทสัมผัสใช้การฟังเสียงเป็นตัวชี้นำ แต่การแผ่พลังจิตออกไปทำให้เขารับรู้สภาพรอบกายได้ดีกว่าการฟังเสียงมากนัก อีกทั้งยังแม่นยำยิ่งกว่าการใช้หูฟังเสียงเสียอีก เสมือนเขามองเห็นโลกรอบๆ ตัวราวกับตาเห็นอย่างไรอย่างนั้น ความสามารถเช่นนี้ทำให้เขาพัฒนาฝีมือด้านวรยุทธ์มากขึ้นอีก ใช้พลังจิตจับการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ทำให้รับมือได้ไวยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังโจมตีได้เร็วกว่าเดิม แต่วิธีนี้ก็สิ้นเปลืองพลังจิตมากเช่นกัน

เขาฝึกฝนจนถึงขั้นพลังจิตหมดสิ้นกลายเป็นไร้พลังจิตไปก็มี ตอนแรกเขาตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อตกอยู่ในสภาวะไร้พลังจิตครั้งแรก ทำให้ถูกจินเย่เตะเสียจนเซไปหลายก้าวทีเดียว ตี้โฮ่วจึงเตือนให้เขาใช้ประสาทสัมผัสในการรับมือ ‘ศัตรู’ ทำให้เขากลับมาสู้กับจินเย่ได้อย่างสูสีอีกครั้ง

วันเวลาผ่านไป ตี้โฮ่วกับตี้จวินต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเทียนจวิน ตี้โฮ่วจึงชวนเฉินมู่อิ๋งไปด้วย เฉินมู่อิ๋งก็ตามไปพร้อมกับคนอื่นๆ ตี้จวินฉีกช่องว่าง ทุกคนก็เหินลอยเข้าไปในช่องว่างนั้น เฉินมู่อิ๋งก็ตามไป เขาผ่านช่องทางดำมืดจนกระทั่งเห็นแสงที่ปลายทาง ก็ตามคนอื่นๆ ออกไป เมื่อออกมาจากช่องว่างแล้วตี้จวินก็นำคนของเขาเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า แน่นอนว่าเทียนจวินย่อมมาต้อนรับด้วยตัวเอง เทียนจวินเชื้อเชิญคณะของตี้จวินไปนั่งที่โต๊ะอย่างนอบน้อมยิ่ง

ตี้โฮ่วก็คุยกับเทียนโฮ่วอย่างสนิทสนม องค์รัชทายาทหานปิงเซียนก็จับคู่กับองค์รัชทายาทจางอี๋เป่า(张饴保) อย่างสนิทสนมกันตามประสาเด็กๆ เทียนจวินลอบมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ไม่คุ้นหน้าในคณะของตี้จวินอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเชิญคณะของตี้จวินนั่งลงเรียบร้อยแล้วเทียนจวินก็ถอยไปต้อนรับแขกต่อ

เฉินมู่อิ๋งมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น แน่นอนว่างานวันเกิดของเทียนจวินย่อมไม่ใช่งานเลี้ยงเล็กๆ มีผู้มีอำนาจของทั้งแดนเทพมาร่วมงาน จินเย่ก็กระซิบบอกให้เฉินมู่อิ๋งได้รับรู้ว่าใครเป็นใครบ้าง เฉินมู่อิ๋งที่นั่งข้างๆ จินเย่จึงลอบมองคนนั้นทีคนนี้ทีไปเรื่อยๆ ส่วนเหลียงถิงเวยก็นั่งอยู่ข้างๆ จ้าวมู่คุยกันไปตามประสาสหายสนิท เฟิ่งรั่วเฟยก็นั่งอยู่ข้างสามีอีกด้าน แน่นอนว่าข่าวที่นางแต่งงานใหม่แพร่กระจายจนรู้กันทั่วแดนเทพนานแล้ว ซ้ำนางยังไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนด้วย ความสุขของนางไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘ขี้ปาก’ คน

ราชาเฟิ่งมาถึง พอเห็นลูกชายก็ไม่ไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเทียนจวินจัดไว้ให้ เขาเลือกนั่งอยู่ข้างๆ ลูกชายอย่างคิดถึงยิ่ง เสี่ยวเฟิ่งก็คารวะท่านพ่อแล้วคุยกันตามประสาพ่อลูกไป ราชาเฟิ่งมองอดีตฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างๆ สามีใหม่ของนางอย่างปวดใจ ถึงจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่เห็นนางอยู่กับสามีใหม่ของนาง หากว่าคนๆ นั้นไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น อีกทั้งยังมีนังหนูตี้โฮ่วคอยสนับสนุน เขาจะยอมทนเห็นสามีใหม่ของนางได้รึ แน่นอนว่าเขาคงฆ่ามันตกตายไปนานแล้ว แต่เพราะความสามารถของตัวเองมีไม่พอจึงได้แต่ทนปวดใจเช่นนี้ทุกครั้งไป เฮ้อ…เฮ้ออ…เฮ้อออ…

ราชามังกรมาถึง พอเห็นลูกชายเขาก็ไม่ไปนั่งที่โต๊ะที่เทียนจวินจัดให้ กลับไปนั่งเบียดอยู่ข้างๆ ลูกชาย พยายามที่จะสานสัมพันธ์กับลูกชายอย่างยิ่ง หลงจิ่งเทียนก็คุยกับท่านพ่อแบบถามคำตอบคำ ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่เขาครองอยู่นั้นก็เป็นเพราะเขาเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักโอสถอย่างไรล่ะ อีกทั้งยังเป็นน้องชายบุณธรรมของตี้โฮ่ว หากไม่ใช่เพราะ 2 อย่างนี้ท่านพ่อที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์จะยอมมอบตำแหน่งนี้ให้เขาหรือ หึ!

ราชามังกรแม้จะเคืองใจเจ้าลูกชายคนนี้ขนาดไหนเขาก็จำต้องอดทนเอาไว้ เพื่อผลประโยชน์ของเผ่ามังกรในอนาคตอย่างไรล่ะ

จินเย่ก็กระซิบเล่าเรื่องราวของราชาเฟิ่งกับราชามังกรให้เฉินมู่อิ๋งรับรู้คร่าวๆ เฉินมู่อิ๋งฟังเงียบๆ พอสบโอกาสก็แอบถามว่า “พระชายาเฮยหลงจะมางานนี้ด้วยไหมพี่จินเย่?”

“ไม่รู้ซิ นางอาจจะมาหรืออาจจะไม่มาก็ได้” จินเย่ตอบ เฉินมู่อิ๋งจึงได้แต่คาดหวังว่าพี่สาวมังกรจะมางานนี้ด้วย เขาอยากเจอนางจริงๆ จะได้ฝากนางไปบอกอาจารย์ทั้งสองว่าเขาอยู่สุขสบายดี

ราชามังกรเห็นลูกชายมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ จินเย่บ่อยครั้ง เขาจึงมองเด็กหนุ่มคนนั้นมากหน่อย

เพราะสายตาที่เจ้าลูกชายมองเด็กหนุ่มคนนั้นคล้ายกับบุรุษที่มองสตรีที่ตัวเองแอบชอบอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ราชามังกรแอบตกใจอยู่ในใจ หรือว่ามันจะเป็นต้วนซิ่ว! ไม่นะๆ องค์รัชทายาทเผ่าข้าจะเป็นต้วนซิ่วไม่ได้นะ!

“นั่นใครรึ?” ราชามังกรกระซิบถามลูก หลงจิ่งเทียนตอบ “เฉินมู่อิ๋ง”

“เขาเป็นใครรึ?” ราชามังกรถามอีก หลงจิ่งเทียนตอบ “เป็นเทพ”

วะ! ตอบเช่นนี้น่าตบกบาลจริงๆ! ราชามังกรสบถอยู่ในใจ ข่มความรู้สึกอยากตบกบาลลูกชายเอาไว้ ราชาเฟิ่งมองเด็กหนุ่มข้างจินเย่แล้วกระซิบถาม “ใครรึ?”

“อ่อ เขาชื่อเฉินมู่อิ๋งเป็นศิษย์ของเจ้ใหญ่น่ะ” เสี่ยวเฟิ่งตอบ ราชาเฟิ่งพยักหน้ารับรู้ “อ่อ”

ราชามังกรที่ได้ยินองค์รัชทายาทเฟิ่งหวงตอบเช่นนั้นก็สนใจเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมา เป็นศิษย์ของตี้โฮ่วงั้นรึ? อืม…หือ?

เขาทำจมูกสูดกลิ่น ฟุดฟิดๆ เพราะได้กลิ่นอายสตรีจากเด็กหนุ่มคนนั้น เขาสูดๆ กลิ่นอีก จนแน่ใจว่ากลิ่นอายเป็นสตรีจริงๆ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา ที่แท้ลูกข้าก็ไม่ได้เป็นต้วนซิ่ว เฮ้อ…

เขาลอบมองเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มมากหน่อย เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าถูกมองจึงหันไปมอง เห็นราชามังกรมองมาเขาจึงค้อมศีรษะให้นิดหนึ่งแทนการคารวะ ราชามังกรหน้าตึงขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นราชามังกรที่ผู้คนเคารพนบนอบและเกรงกลัวไปทั่วทิศเชียวนะ แต่ดูเจ้าเด็กนั่นทำซิ กริยาช่างเย่อหยิ่งจองหองยิ่งนัก มันก็เย่อหยิ่งเหมือนตี้โฮ่วนั่นแหละที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา หึ!

หยางเจียงหยุนที่ปลอมตัวเป็นทหารยาม ยืนอยู่ในท้องพระโรงที่จัดงานเลี้ยง เขาลอบมองผู้คนที่มาร่วมงานอย่างพินิจพิจารณา การที่เขาเสี่ยงปลอมตัวมาเช่นนี้ก็เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ นัก เขาอยากเห็นผู้แข็งแกร่งของแดนเทพที่มารวมตัวกันในงานนี้ เขาลอบมองราชาแดนเทพทั้ง 4 แดนที่มาถึงก่อนคนอื่นๆ เขามองคนติดตามของราชาเทพเหล่านั้นอย่างต้องการจดจำเอาไว้ แน่นอนว่าคนที่ติดตามราชาเทพทั้ง 4 ดินแดนได้ย่อมไม่ใช่คนระดับล่างแน่นอน

เขาเห็นคนทยอยมาเรื่อยๆ เขาจับตาดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นตี้จวินผู้แข็งแกร่งที่สุดของแดนเทพ เขายิ่งเก็บซ่อนกลิ่นอายเสียจนมิดชิดยิ่ง เขามองผู้ติดตามของตี้จวินแล้วก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกครั้ง ใบหน้านั้นทำให้เขาตกใจ ตกตะลึงเสียจนอึ้งงันไป เป็นเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งคนนั้น!

กว่าเขาจะหายตกตะลึงก็ผ่านไปพักใหญ่ทีเดียว เขาลอบมองมัน เห็นไอเทพจางๆ รอบๆ ตัวมันจึงรู้ว่ามันเป็นเทพคนหนึ่ง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆ อีกทั้งมนุษย์ธรรมดาหรือจะอยู่ที่นี่ได้ พลังกดดันของที่นี่หากว่าไม่ใช่เทพหรือมีพลังเทียบเท่ากับเทพ ร่างได้แหลกละเอียดเป็นผุยผงแน่! เขาลอบมองมันแทบจะไม่ละสายตาเลยทีเดียว เห็นมันนั่งอยู่ข้างๆ สตรีนางหนึ่งที่มีความงดงามไม่น้อยทีเดียว ทั้งสองคุยกันดูท่าทางสนิทสนมกันยิ่ง! เขาอยากรู้เกี่ยวกับมันยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่อาจถามคนอื่นได้ เพราะเขาในตอนนี้เป็นทหารยาม หากทำอะไรที่มีพิรุธขึ้นมา เกรงว่าคงถูกจับได้แน่นอน เขาได้แต่ฟังคนอื่นคุยกัน

“เอ๋? เด็กหนุ่มข้างผู้อาวุโสจินเย่นั่นใครรึ?” มีคนหนึ่งในงานแอบถามสหายอย่างสงสัยใคร่รู้ สหายใกล้ๆ ก็ส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นหน้าเลย ช่างหล่อเหลายิ่งนัก”

“นั่นซิ เจ้าดูพวกนางกำนัลซิ พวกนางมองเจ้าหนุ่มนั้นตาปรอยทีเดียว”

“หรือว่าจะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของผู้อาวุโส?”

“อาจจะใช่กระมัง”

ฯลฯ ผู้คนแอบกระซิบคุยกัน หยางเจียงหยุนก็ฟังอย่างอยากรู้ยิ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version