ตอนที่ 113-4
ลูกพี่ลูกน้องของคุณชาย
หลังจากที่มั่วหยางพาองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้าไปยังแคว้นอวี๋ ก็ได้รับคำสั่งจากมู่ชิงเกอให้รวมตัวกับกองทหารพันเพลิง เพื่อฝึกทักษะต่อไป
แน่นอนว่า นอกจากนี้แล้ว มั่วหยางยังมีอีกหนึ่งหน้าที่ นั่นก็คือสืบประวัติของฟ่งเหนียงที่อยู่ในเมืองลั่วรื่ออย่างละเอียด
มู่ชิงเกอสงสัยว่านางเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่ และยิ่งไปกว่านั้น คือสงสัยว่าสามีที่ชื่อมู่ยี่ของนางจะใช่คนหลินชวนหรือไม่
นอกจากมั่วหยางจะต้องสืบทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว หากเป็นไปได้นางอยากจะพบกับฟ่งเหนียงอีกสักรอบ และถามเรื่องที่มู่ยี่หายตัวไปอย่างละเอียดจากนาง
มู่ชิงเกอยอมรับว่า ในตอนแรกตนเองประมาทเกินไป
แม้ว่าฟ่งเหนียงจะมีกริชอาวุธครึ่งเทพ แต่ทว่าในตอนแรกนางเพียงคิดว่ามู่ยี่เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ผืนป่าลั่วรื่อ หรืออาจจะเพราะเหตุผลอื่น จึงจำเป็นต้องจากไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว
แต่ทว่า หลังจากที่ได้ยินเรื่องขององค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่ มู่ชิงเกอก็คิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ สมมติว่าฟ่งเหนียงเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่ ถ้า เช่นนั้น ผู้ที่มีความสามารถมากถึงเพียงนั้นจะเกิดอันตรายในผืนป่าลั่วรื่อได้อย่างไร
อีกประการหนึ่ง แม้จะถูกบังคับให้จากไป แต่เหตุใดจึงไม่ส่งข่าว จนทำให้ภรรยาของตนเองต้องเหนื่อยตามหานานนับปี
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยิ่งมีสิ่งที่น่าสงสัยมาก ก็ยิ่งทำให้มู่ชิงเกออยากรู้อยากเห็น
กองทัพอันเกรียงไกร เหลือเพียงแค่ 4 คน แน่นอนว่าได้ทิ้งรถม้าเอาไว้ แม้กระทิ้งอาชาเพลิงเองก็ถูกทิ้งเอาไว้ในผืนป่าก่อน เพื่อรอคำสั่งต่อไป
“คุณชายเราถึงเมืองซางจื่อแล้ว” โย่วเหอพูดกับมู่ชิงเกอพร้อมรอยยิ้ม
มู่ชิงเกอพยักหน้าตอบรับ แล้วมองไปทางประตูเมือง
ตรงบริเวณประตูเมือง มีทหารเฝ้าอยู่ ผู้คนจำนวนมากสัญจรเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบอันใด
“เราไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอก้าวฝีเท้า นางมีป้ายผ่านเมืองถัวที่ออกโดยตระกูลเว่ย แต่เสียดาย ที่ได้ใช้เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าในเมืองซางจื่อจะต้องใช้ป้ายเพื่อยืนยันตัวตนเช่นนี้หรือไม่
เมื่อมาถึงที่ที่มีคนมากมายเช่นนี้ซือมั่วขยับตัวเข้าไปหามู่ชิงเกอมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้อีกฝ่ายจ้องหลายที
“คนเยอะ” ซือมั่วยิ้มจางๆ มู่ชิงเกอรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก นางเข้าใจในสิ่งที่ชายผู้นี้พูด เขาคิดว่าที่นี่คนเยอะมากเกินไป สกปรก จึงต้องเข้ามาอยู่ใกล้ๆ นาง
“หากคิดว่าคนเยอะเกินไป ท่านสามารถบินไปบนท้องฟ้าได้นี่” มู่ชิงเกอกัดฟันพูด
ซือมั่วกลับส่ายหน้า “นอกจากว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์จะไปกับข้า”
“นี่ พอได้แล้ว” มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก
เหตุใดตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชายผู้นี้ราวกับโดนเปลี่ยนสมองและเรียกร้องความสนใจอยู่ทั้งวัน
ทั้งสองเอาแต่คุยกัน จนไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณรอบๆ “รีบมาดู ชายผู้นั้นช่างงดงามมีสง่าราศีเช่นนั้น งดงามเสียยิ่งกว่าภาพวาดอีก!”
“ตายแล้ว! พวกเขาช่างเหมือนเทพบุตร!”
“ผู้ที่งดงามเช่นนี้ คิดว่าฐานะคงจะไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าพวกเขามาทำอะไรที่เมืองซางจื่อนะ”
“ชายผู้สูงใหญ่นั้น งดงามเป็นสง่า หน้าตาละเมียดละไม ไร้ที่เปรียบ แล้วดูหนุ่มน้อยคนนั้น ชุดสีแดงเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์ ดูขี้เล่นและแฝงความบ้าบิ่น หน้าตางดงามละมุนละไมสมบูรณ์แบบ เห็นแล้วหัวใจแทบจะเต้นจนทะลักออกมา”
ไม่นาน ทั้งสองก็ได้กลายเป็นจุดสนใจท่ามกลางผู้คน
บริเวณโดยรอบของคนชุดแดงและชุดขาว ดั่งเป็นพื้นที่ว่างที่ไม่มีใครเข้าใกล้ทำได้เพียงแค่วิจารณ์อยู่ห่างๆ
โย่วเหอที่ได้ยินคำวิจารณ์ทั้งหมด แอบเดินออกไปเล็กน้อย นางไม่อยากจะยืนใกล้เกินไป เพราะกลัวว่าจะถูกผู้คนมองด้วยสายตาที่สามารถฆ่าคนได้น่ะสิ
ด้วยพลังเวทของมู่ชิงเกอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตั้งใจมากนักก็สามารถได้ยินคำพูดของคนที่อยู่รอบๆ แล้วนับประสาอะไรกับซือมั่ว เพียงแต่ว่า ทั้งสองที่ต่างก็ได้ยินคำวิจารณ์เหล่านั้น แต่กลับไม่ได้สนใจ เมื่อเดินมาอยู่บริเวณประตูเมือง ทหารที่เฝ้าอยู่ต่างก็อึ้ง และมองทั้งสองอย่างตะลึง ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว กำลังจะเดินขึ้นไปถาม
ซือมั่วเดินเข้าไปก่อน แล้วยืนขวางอยู่ตรงหน้านางพลันถามว่า “เราจะเข้าไปในเมือง ต้องทำอย่างบ้าง”
“อ่อ! ห๊ะ อ่อ ทั้งสองท่านจะเข้าไปในเมืองหรือ” ทหารที่ได้สติรีบพูดอย่างเร่งรีบ
ในครานี้ซือมั่วกลับไม่ได้พูด แต่เป็นโย่วเหอที่เดินเข้ามา หลังจากนั้นก็พูดกับทหารที่เฝ้าประตูด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ทหาร เราจะเข้าไปในเมืองจริงๆ”
“ขออนุญาตถามว่า ท่านทั้งสองมาทำอะไร”
ใบหน้าที่งดงามสามารถเปลี่ยนอะไรหลายอย่างได้จริง ๆ แม้แต่นํ้าเสียงของทหารผู้นี้ก็ยังอ่อนโยนและระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าจะทำให้ชายหนุ่มผู้งดงามสองคนนั้นตกใจ แน่นอนว่ายังรวมทั้งสาวใช้ทั้งสองที่ดูงดงามและสง่าเป็นอย่างมาก
โย่วเหอมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้น นางจึงพูดกับทหารว่า “คุณชายของเราจะไปสมัครที่โรงโอสถ ไม่ทราบพี่ๆทหารจะให้คำแนะนำได้หรือไม่”
“ที่แท้ก็จะไปสมัครที่โรงโอสถ!” หลังจากที่ทหารได้ยิน ก็แสดงความเคารพมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมหลีกทางให้
และแสดงท่าทางเชื้อเชิญให้เข้าไป “ผู้ที่จะไปสมัครที่โรงโอสถและลูกศิษย์ของโรงโอสถ ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เชิญทุกท่านเข้าไปได้ แต่ว่าขอเตือนทุกท่านว่า อีกเพียงไม่กี่วันก็จะหมดเวลารับสมัครแล้ว หลังจากที่ทุกท่านเข้าไปในเมืองแล้ว ก็รีบไปลงชื่อได้ที่ตึกร้อยหญ้า”
“ขอบคุณพี่ๆ ทหารเป็นอย่างมาก” โย่วเหอกล่าวแสดงคำขอบคุณ และยื่นมือออกไปเพื่อส่งทองคำที่เตรียมไว้ในมือให้กับทหารอย่างแนบเนียน
นี่เป็นการตอบแทนความดีของเขา
หากว่าเพียงแค่ปล่อยให้พวกเขาให้ไปภายในเมือง โดยไม่ได้พูดเตือน บางทีอาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนเช่นนี้
เมื่อทั้งสี่เดินห่างออกไป ทหารคนนั้นจึงได้สติ
พอแบมือออก เห็นว่าสิ่งที่วางอยู่บนฝ่ามือคือทองคำ ขนาดครึ่งฝ่ามือและกำลังส่องแสงระยิบระยับวางอยู่
ทั้งสี่เดินเข้าไปในเมืองซางจื่อ บริเวณรอบๆ เป็นตึกอาคารที่ดูแปลกตา โดยพื้นฐานคือสีขาวละเอียดดั่งหยก กำแพงสีขาวพิสุทธิ์ ดูสะอาดสะอ้านและสบายตาเป็นอย่างมาก
“เมืองซางจื่อนี่ช่างน่าสนใจเสียจริง” มู่ชิงเกอกวาดสายตามองรอบๆ และพบว่าร้านยาในเมืองนี้ดูแปลกตาเป็นพิเศษ
ราวกับจะมีร้านอยู่ห่างกันเพียงร้านสองร้าน จะมีป้ายร้านยาแขวนอยู่ อีกประการหนึ่ง ผู้คนที่เดินไปมาอยู่บนถนน นอกจากคนธรรมดาแล้ว ยังมีผู้คนในชุดสีขาว บริสุทธิ์ที่อยู่ในร้านยา
“เมืองซางจื่อ ข้าพอจะเคยมาอยู่สองครั้ง เพียงแต่ว่านี่ เป็นครั้งแรกที่เข้าทางประตู” ซือมั่วยิ้มให้นาง
มู่ชิงเกอไม่อยากจะสนใจเขา จึงพูดกับโย่วเหอว่า “ไปสืบว่าตึกร้อยหญ้าที่ทหารผู้นั้นเอ่ยถึงอยู่ที่ใด”
“รับทราบคุณชาย” โย่วเหอพยักหน้ารับ และแยกย้ายไปสืบกับฮวาเยวี่ย
ครู่หนึ่ง สาวใช้ทั้งสองก็เดินกลับมารายงานมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย เราได้สืบที่ตั้งของตึกร้อยหญ้ามาแล้ว ทหารผู้นั้นไม่ได้โกหก วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่โรงโอสถรับลูกศิษย์ อีกประการหนึ่งอีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็จะหมดเวลาแล้ว” มู่ชิงเกอพยักหน้า พูดกับโย่วเหอว่า “ฮวาเยวี่ยนำทาง เจ้าไปหาที่พักสงบๆ เราอาจจะต้องอยู่ในซางจื่ออีกหลายวัน”
โย่วเหอเดินจากไป
ฮวาเยวี่ยเดินอยู่ข้างหน้า เพื่อนำทางทั้งสอง