Skip to content

พลิกปฐพี 115-4

ตอนที่ 115-4

ท่านมั่วโปรดออกไปเถิด!

“ดูเหมือนว่า พวกเจ้าจะวางแผนเอาไว้หมดแล้วสินะ”

พวกเขาทั้งสี่คนพยักหน้าอย่างจริงจัง ดวงตาฉายเปลวเพลิงแห่งการแก้แค้นที่ลุกโหม

“หากเป็นเช่นนั้น ก็ไปทะเลสาบชุ่ยกันเถอะ” มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงทำตามคำพูดของเขา

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอพยักหน้าตอบรับ ทั้งสี่จึงตกลงกันว่า จะล่องเรือไปตามแนวฝั่งในทันที

เมื่อทุกคนต่างก้าวขึ้นเรือ เรือก็ค่อยๆ ออกห่างจากฝั่งไปตามกระแสนํ้าและมุ่งไปยังทะเลสาบชุ่ย

ทะเลสาบชุ่ยคือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่ง ของเมืองซางจื่อ

ที่มีชื่อเสียงเพราะแม่นํ้าเขียวมรกตเป็นประกาย เหนือผิวนํ้า นิ่งสงบไร้เกลียวคลื่น ในนํ้าเต็มไปด้วยดอกบัว ในระยะอันห่างออกไปมีกลุ่มหมอกลอยไปมาดั่งแดน สวรรค์

เรือสองชั้นลำหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามาจากส่วนลึก ของบริเวณต้นกก ใต้เรือเกิดคลื่นเป็นชั้นๆ ทำลายความนิ่งสงบของระดับนํ้า

บนเรือ เสียงร้องรำทำเพลงดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

บนเรือไม้ มีโต๊ะกลมอยู่โต๊ะหนึ่ง ทั้ง 5 คนนั่งล้อมโต๊ะ เอาไว้

ทั้ง 5 คนนั้น มีชายหนุ่ม 3 คนและหญิงสาวอีก 2 คน

และหนึ่งในนั้นก็คือฟงอวี๋กุย

ชายอีกสองคน คนหนึ่งผอมบางดั่งกิ่งไผ่ ดูส่งสูงงดงามโดดเด่น ส่วนใบหน้าของอีกคนกลับดูเคร่งขรึมและเย็นเยียบ

ส่วนหญิงสาวอีกสองนางก็งดงามเฉิดฉัน

หญิงสาวในชุดเหลืองอร่ามงามยั่วยวนสะดุดตา เรือนร่างน่าเย้ายวน หญิงในชุดขาวดูเย็นชาดั่งนํ้าค้างแข็ง ทว่าใบหน้างดงามละเอียดลออ

ทั้งสี่คนนี้ ล้วนให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่ล้วนปรากฏตัวในงานเลี้ยงของฟ่งอวี๋กุย ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง แต่ทว่า หากสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ก็จะสัมผัสได้ว่า ฟ่งอวี๋กุยกำลังเอาใจทั้งสี่คนนี้ ผู้ที่สูงศักดิ์ดังเช่นเขา ใบหน้าในตอนนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ยกแก้วเหล้าขึ้นแสดงความนับถือต่อทั้งสี่

ท่ามกลางพวกเขา ชายที่งดงามดั่งเรียวไผ่ ราวกับจะให้ความสำคัญต่อหญิงสาวเย็นชาผู้นั้นเป็นอย่างมาก ส่วนหญิงในชุดเหลืองอร่ามผู้นั้นราวกับจะให้ความสนิทสนมกับชายที่ดูนิ่งเงียบเสียมากกว่า

ฟ่งอวี๋กุยยกแก้วขึ้นมาชนกับชายหนุ่มหน้านิ่งที่อยู่ทางขวามือของเขาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงพูดกับพวกเขาทั้งสามว่า “วันนี้อวี๋กุยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ได้พาทุกท่านมาล่องเรือ ขอให้ทุกท่านเที่ยวอย่างสำราญใจ” พูดจบ เขาก็ดื่มเหล้าในแก้วของตนเอง ที่เหลืออีกสี่คนนอกจากหญิงชุดขาวที่ชิมเพียงคำเดียว แล้ว อีกสามคนต่างก็ดื่มเหล้าในแก้วของตนเองจนหมด

ท่าทางของหญิงชุดขาว ไม่ได้ทำให้ฟ่งอวี๋กุยรู้สึกโกรธแต่อย่างใด หลังจากที่เขาแอบมองหญิงชุดขาวแวบหนึ่ง ตรงมุมปากก็เผยรอยยิ้มที่แฝงความคลุมเครือ

ความจริงแล้วในวันนี้ เขาได้เชิญศิษย์สองคนของหัวหน้าโรงโอสถสาขาย่อยมา

นั่นก็คือชายหนุ่มที่ใบหน้าเรียบนิ่งและหญิงสาวในชุดสีเหลืองเปี่ยมเสน่ห์นั่น เตียวหยวนและจูหลิงเป็นถึงศิษย์รักที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับหัวหน้าโรงโอสถมากที่สุด

แต่กลับไม่คิดว่า เพราะจูหลิง จึงทำให้สามารถเชิญผู้มีชื่อเสียงทั้งสองของโรงโอสถมาด้วย

เมื่อพบหน้ากัน เขาจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วจูหลิงและซางจื่อซูเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนจ้าวหนานซิงองค์ชายแห่งราชวงศ์แคว้นอวี๋ที่มีความสามารถในการปรุงยามากที่สุด เป็นชายหนุ่มที่ชื่นชมซางจื่อซู

ฟ่งอวี๋กุยที่เข้าใจในความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างชายหญิงเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องถามก็สัมผัสได้ถึงความนัยบางอย่างที่แฝงอยู่ในสายตาของจ้าวหนานซิง

ซางจื่อซูและจ้าวหนานซิงล้วนเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์โหลวชวนป่ายผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของโรงโอสถ

เล่ากันว่า หัวหน้าโรงโอสถหัวชางซู่ ไม่ถูกกับโหลวชวนป่าย แต่ไม่คิดว่าลูกศิษย์ของพวกเขานอกจากจะไม่ขัดแย้งกันแล้ว จะสามารถมานั่งด้วยกันอย่างสงบเช่นนี้ได้

ทำให้เขานับถือความสามารถของจูหลิงเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ที่อาจารย์ของทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกันนี้ ยังสามารถเป็นเพื่อนกับซางจื่อซูหญิงงามเย็นชาผู้นี้ได้

แผนเดิมของฟ่งอวี๋กุยคือการเป็นศิษย์ของหัวชางซู่ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเข้าสู่โรงโอสถ จึงต้องเชิญเตียนหยวนและจูหลิงมาที่นี่

ในตอนนี้ซางจื่อซูและจ้าวหนานซิงก็มาอยู่ที่นี่โดยบังเอิญ สำหรับเขาแล้วจึงเป็นเรื่องที่โชคดีเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะซางจื่อซูที่มีชื่อเสียงว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามมากที่สุดในโรงโอสถย่อยแห่งนี้ วันนี้ได้มาพบ ก็สมจริงดังที่รํ่าลือกัน

สำหรับจ้าวหนานซิงนั้น…แน่นอนว่าฟ่งอวี๋กุยไม่ให้ความสำคัญกับเขา

หากเขาเป็นผู้สืบบัลลังก์ของแคว้นอวี๋ไม่แน่ว่าฟ่งอวี๋กุย อาจจะปฏิบัติต่อเขาแตกต่างไปจากนี้ แต่ตอนนี้ เขาเกิดความสนใจในตัวซางจื่อซู แน่นอนว่าจะต้องไม่ชอบใจในตัวจ้าวหนานซิง

“ศิษย์พี่ซาง เนี้อกวางนี้รสชาติดีมาก กรรมวิธีในการทำนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดครึ่งปี อาหารสามารถช่วยบำรุงในเรื่องความงามได้ท่านเป็นถึงปรมาจารย์การ ปรุงยา ลองลิ้มรสเสียหน่อย จะได้รู้ว่าเนื้อกวางนี้วิเศษดังที่เล่าขานกันมาหรือไม่”

แต่ว่า ซางจื่อซูกลับขมวดคิ้ว บนใบหน้าที่สูงส่งและเย็นเยียบไม่แสดงความรู้สึกอันใด

ทันใดนั้น ตะเกียบคู่หนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้น แล้วคีบเนื้อกวางในถ้วยของซางจื่อซูไป

ฟ่งอวี๋กุยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงแค่รอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปากของจ้าวหนานซิง “ศิษย์น้องซางรักความสะอาด ไม่ชอบให้ผู้อื่นตักอาหารให้นาง” คำพูดนี้ขาดเพียงแค่การพูดตรงๆ ว่ารังเกียจเขาเท่านั้น

ในส่วนลึกของสายตาของฟ่งอวี๋กุยมืดมนลง มีประกายเย็นชาวาบผ่านไป แต่กลับทำท่าทางรู้สึกผิดและพูดกับซางจื่อซูว่า “ขออภัยด้วย ศิษย์พี่ซาง เป็นอวี๋กุยที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี”

แต่ทว่า ซางจื่อซูยังคงไม่ตอบโต้

“องค์ชายสามฟ่งท่านอย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องประหลาดอะไร จื่อซูของพวกเราก็เป็นเช่นนี้กับทุกคนนั้นล่ะ” จูหลิงเผยรอยยิ้มจางๆ เพื่อสงบศึก

ฟ่งอวี๋กุยกล่าวระคนหัวเราะในทันที พลันยกแก้วเหล้า ขึ้นเพื่อเป็นการไถ่โทษกับจูหลิงและเตียวหยวน “ศิษย์พี่เตียว ศิษย์พี่จู เมื่อครู่อวี๋กุยดูแลได้ไม่ทั่วถึง ขอท่านทั้งสองโปรดอย่าได้ถือสา ”

คำพูดก่อนนี้ของจูหลิง ได้เตือนสติฟ่งอวี๋กุย การเกี้ยวหญิงไม่เหมาะในเวลานี้ เป้าหมายที่เขาเชิญทุกคนมางานเลี้ยงในวันนี้ก็เพื่อเตียวหยวนและจูหลิง หากสามารถซื้อใจของทั้งสองได้ก็จะนำพาเขาไปสู่หัวชางซู่

เตียวหยวนแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง พลันยกแก้วเหล้าขึ้นอย่างสง่าแล้วดื่มโดยลำพัง

การกระทำเช่นนี้ทำให้ฟ่งอวี๋กุยไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เพราะฐานะของอีกฝ่าย จึงจำเป็นต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในใจ หลังจากที่เห็นว่าฟ่งอวี๋กุยละความสนใจออกจากซางจื่อซู จ้าวหนานซิงจึงเผยรอยยิ้มอบอุ่นอีกหน และรู้สึกว่าที่ตนเองหน้าด้านมาด้วยเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว!

แต่ทว่า ซางจื่อซูกลับทำราวกับไม่เห็นและไม่ตอบโต้ ราวกับว่า นางถูกความงดงามของทิวทัศน์รอบตัวสะกดเอาไว้จนไม่อาจจะมองเขาได้

จ้าวหนานซิงราวกับว่าคุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ไม่ว่าซางจื่อซูจะเย็นชากับเขามากเพียงใด เขาก็ยังคงยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างนาง

ทั้งสามคนที่อยู่รอบตัวต่างชมกันไปยอกันมา ยังมีสายตาที่แฝงความร้อนแรงสนิทสนมจากอีกฝั่ง แต่สำหรับซางจื่อซูแล้ว ต่างก็เป็นดังสายลมที่พัดผ่านหูและหายไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย

นางเพียงแค่ทอดมองไปยังกลุ่มหมอกในบริเวณที่ไกลออกไป และจับจ้องดอกบัวสีชมพูที่กำลังจะเบ่งบาน ทันใดนั้น ในสายตาของนาง กลางสายนํ้าอันคดเคี้ยวก็มีเรือลำหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามา เรือลำนั้นไม่ใหญ่มากและมีเพียงชั้นเดียว ไม่สามารถเทียบได้กับลำที่นางนั่งอยู่ แต่ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ กลับพุ่งเข้าสู่สายตาของนางและสะท้อนอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน

ชุดสีแดงอันเจิดจ้าดั่งเปลวเพลิงปลิวไสวไปมาตามสายลม ในขณะเดียวกันก็เป็นคล้ายดั่งพระอาทิตย์อันแรงกล้า

มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่เกิดมาก็เป็นจุดรวมสายตาของทุกคน แม้ไม่ต้องพยายาม ก็สามารถเป็นจุดเด่นท่ามกลางผู้คนและทำให้ผู้อื่นไม่อาจละลายตาได้

เงาร่างอันงดงามเป็นสง่าที่อยู่ตรงหน้า ก็คือหนึ่งในนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version