Skip to content

พลิกปฐพี 146-3

ตอนที่ 146-3

นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ VS นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ

“เจ้านาย เจ้านาย ท่านรีบเข้ามา!” ขณะนั้นเองเสียงของเหมิงเหมิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

มู่ชิงเกอคิดแล้วคิดก่อนจะค่อยๆ ปิดตาลง ส่งจิตสำนึกเข้าไปในช่องว่าง

“ทำไมรึ?” มู่ชิงเกอพอปรากฏตัวก็เห็นเข้ากับเหมิงเหมิงกับหยินเฉิน

เหมิงเหมิงทำแก้มป่องกล่าวขึ้นอย่างออดอ้อน “เจ้านาย

 

ท่านก็ไม่ได้เข้ามาดูพวกข้าตั้งนานแล้ว อีกทั้งท่านไม่สงสัยรึว่าในช่องว่างเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรแล้วบ้าง?”

มู่ชิงเกอส่องสายตามองไปยังเหมิงเหมิงอย่างประหลาด ใจ แล้วพลันกล่าวขึ้น “เหมิงเหมิง ข้าว่าเจ้าตัวโตขึ้น!”

ถึงแม้รูปลักษณ์จะไม่ได้เปลี่ยน แต่ว่าขนาดร่างกายกลับเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้น แต่ก่อนก็มีขนาดราวภูติตัวน้อย ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กตัวน้อยๆ มีแขนมีขา

“เจ้านายน่ารังเกียจนัก!” เหมิงเหมิงอยู่ๆ ก็เคอะเขินขึ้นมา

มู่ชิงเกอมองไปทางหยินเฉิน

หยินเฉินกล่าว “หลังจากนางออกจากไข่ก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว”

มู่ชิงเกอลูบคางของตน เดินวนรอบเหมิงเหมิงอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวถามขึ้น “นางออกมาจากไข่เมื่อใดกัน?”

“เมื่อครู่” หยินเฉินกล่าวตอบ

ตาทั้งสองของมู่ชิงเกอพลันหดเล็กลง กล่าวคาดเดาขึ้น “ไม่ใช่เป็นเพราะข้าเลื่อนระดับชั้น เลยทำให้เจ้าได้รับประโยชน์โตตามขึ้นไปด้วย?”

เหมิงเหมิงพุ่งมาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ โอบแขนของนางเอาไว้ใบหน้าเล็กๆ ถูไถไปมาบนแขนของนาง “เจ้านาย คนเขาคิดถึงท่านมากนัก-!”

นํ้าเสียงออดอ้อนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทำเอาอารมณ์ของมู่ชิงเกอเบิกบานขึ้นมาด้วย

เหมิงเหมิงออดอ้อนอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะบอกมู่ชิงเกอว่าการคาดเดาของนางนั้นไม่ผิด เพราะว่า การเลื่อนชั้นของนางก็ส่งผลให้ช่องว่างถูกปลดผนึกออกอีกส่วนหนึ่ง และ เหมิงเหมิงจิตวิญญาณแห่งอาวุธของช่องว่างก็เลยเติบโตตามไปด้วย จนเกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างที่เห็น มู่ชิงเกอกวาดตามองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้น “ก็ หมายความว่า ขนาดเล็กใหญ่ของเจ้าหมายถึงขนาดของช่องว่าง? การถูกปลดผนึกเรื่อยๆ ของช่องว่างก็จะ ทำให้เจ้ายิ่งนานวันยิ่งเติบโตขึ้น”

“ใช่แล้ว!” เหมิงเหมิงพยักหน้าแรงๆ

ในหัวของมู่ชิงเกอพลันปรากฏภาพทารกยักษ์ผู้หนึ่ง รูปลักษณ์ใหญ่โตบึกบึน

“เจ้านายน่าชังนัก ล้วนแต่จดจำคนเขาไม่ได้แล้ว” เหมิงเหมิงอยู่ๆ ก็กล่าวออดอ้อนขึ้น

มู่ชิงเกอกะพริบตาปริบๆ สลัดภาพในหัวทิ้งลง ก่อนจะพลิกฝ่ามือหนหนึ่ง ยาวิเศษสามขวดพลันปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ นางโยนมันไปให้เหมิงเหมิง พร้อมกับกล่าวกำชับ “กินให้ประหยัดๆ ล่ะ”

พอเห็นปากอ้าๆ หุบๆ ของหยินเฉิน นางก็โยนขวดยาอีกสามขวดไปให้หยินเฉิน กล่าวขึ้นยิ้มๆ “ข้าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยลำเอียง พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมือนกัน”

“ขอบคุณเจ้านาย” หยินเฉินรับเอายาวิเศษของตนก่อน จะวิ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง

กับเหมิงเหมิงนั้นไม่เหมือนกัน หยินเฉินที่กินยาวิเศษก็เพื่อฝึกปรือ แต่เหมิงเหมิงนั้นถือว่าเอาไว้กินเล่นเพียงเท่านั้น

“เจ้านาย ท่านได้ดูตำหนักพวกนั้นที่ปลดผนึกแล้วหรือยัง?” เหมิงเหมิงกล่าวถามขึ้น

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ตรวจดูคร่าวๆ แล้ว แต่ยังไม่ได้ดูอย่างละเอียด”

ก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ หลังจากนางเลื่อนระดับแล้ว ก็เพียงตรวจดูมันคร่าวๆ รอบเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ยุ่งแต่จะไปช่วยคนที่ลั่วตู หลังจากช่วยคนได้แล้ว ก็เดินทางไม่หยุดไปที่แคว้นลี่ จากนั้นก็มุ่งตรงจากแคว้นลี่กลับไป พักผ่อนไปได้แค่ไม่กี่วันก็ออกเดินทางไปที่เมืองมู่ หลังจากก็ขึ้นเรือแล้วมาถึงที่อาณาจักร

เซิ่งหยวน

ตลอดทางมานั้นนางก็ลืมตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของช่องว่างไปจริงๆ ถ้าหากวันนี้เหมิงเหมิงไม่ได้เตือนขึ้นมา คาดว่านางก็คงไม่รู้ว่าจะได้เข้ามาตรวจดูเวลาใด

“เรื่องราวปัญหาเยอะเกินไป ก็เลยทำให้ความอยากรู้อยากเห็นลดลงไปไม่น้อย” มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้มขำ

คิดถึงตอนแรก นางก็เอาแต่คิดว่าหลังจากทะลวงระดับชั้นได้แล้วจะสามารถพบเจอกับสมบัติที่ถูกผนึกไว้มากน้อยเพียงใด

มาตอนนี้ สมบัติเหล่านั้นมาอยู่ในมือแล้ว แต่นางกลับไม่รู้สึกสงสัยอยากรู้แม้แต่น้อย

“เจ้านายไม่อาศัยจังหวะนี้ไปตรวจดูเลยเล่า?” เหมิงเหมิงกล่าวเร่งขึ้น

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ได้ไปตรวจดูว่ามีอะไรบ้างก็ดี”

พอกล่าวจบ มู่ชิงเกอกับเหมิงเหมิงก็หายลับไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ ไม่ได้ใปที่สวนสมุนไพร แต่ไปที่หอตำรายุทธ์ นางแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยเน้นการพึ่งพาอาวุธ ถือว่าการฝึกฝนความสามารถของตนนั้นสำคัญที่สุด ดังนั้นนางก็จะต้องมอบวิชายุทธ์ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรสักจำนวนหนึ่ง และแน่นอนว่าก็จะต้องค้นหามันให้ตัวเองด้วย

ส่วนยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณ ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะอะไรพวกนั้นก็ยังไม่ต้องรีบร้อน ชุดเกราะที่นางหลอมตีใหม่ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรครั้งก่อนก็ถือว่าไปถึงระดับยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณแล้ว เพียงพอ ให้พวกเขาใช้สอย รอหลังจากนางจัดการธุระในมือเสร็จสิ้นลงหมดแล้ว ค่อยฝึกตียุทธภัณฑ์พวกนั้นใหม่ เลื่อนชั้นเป็นชั้นสมบัติ พอถึงตอนนั้น ค่อยเลือกเฟ้นอาวุธระดับสมบัติในคลังสมบัติที่นี่ให้พวกเขาคนละชิ้น ความสามารถในการรบก็คงจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกมาก เกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่นางรับปากอาหญิงไว้ ในเมื่อเหมิงเหมิงยังสามารถเอาทวนหลิงหลงออกมาให้นางได้ ก็สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่ก็ไม่ได้มียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเพียงแค่ชิ้นเดียว รอหลังจากอาหญิงเลื่อนระดับชั้นเป็นชั้นสีม่วงแล้ว นางค่อยเลือกยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะหนึ่งชิ้นให้นางเป็นของขวัญแสดง ความยินดี

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปในหอตำรายุทธ์ ค้นพบว่าในนี้ก็มีลูกกลมๆ ส่องแสงลอยอยู่เต็มไปหมด

เหมิงเหมิงอธิบายขึ้นข้างกายของนาง “ในลูกกลมๆ ที่ส่องแสงได้พวกนี้ล้วนเป็นวิชายุทธ์ระดับสวรรค์!”

“อะไรนะ! ทั้งหมดเป็นระดับสวรรค์!” มู่ชิงเกอกลายเป็นตกตะลึง!

คิดถึงตอนแรก ตอนนั้นที่ซือมั่วให้เคล็ดวิชาพันสายฟ้า ระดับสวรรค์แก่นางเคล็ดวิชาหนึ่ง ก็ยังทำให้ตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนนี้ตรงหน้านางทั้งหมดก็เป็นเคล็ดวิชา ระดับสวรรค์!

จะไม่ให้ไม่ตกตะลึงก็คงไม่ได้แล้ว! ชัดเจนว่าโชคลาภลอยเข้ามาหาอย่างกะทันหันนัก!

มู่ชิงเกอพลันหัวเราะเสียงดังขึ้น

“ก็แค่วิชายุทธ์ระดับสวรรค์เท่านั้นถือเป็นการคงอยู่ที่ตํ่าต้อยที่สุด เจ้านายจะตื่นเต้นไปทำไม?” เหมิงเหมิงสีหน้าไม่พอใจ

มู่ชิงเกอพลันสูดลมหายใจเย็นใช้แรงทึ้งดึงแก้มบวมๆ ของเหมิงเหมิง “อะไรเรียกว่าการคงอยู่ที่ต่ำต้อยที่สุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชายุทธ์ระดับสวรรค์เวลาอยู่ด้านนอกถือเป็นการคงอยู่ที่ว่าถึงมีเงินก็หาซื้อไม่ได้?”

“อ้า อ้า อ้า เจ้านายรังแกคนแล้ว!” เหมิงเหมิงเอามือกุมหน้าวิ่งหนีออกไปไกล กล่าวขึ้นอย่างไม่ยินยอม “มันก็ใช่อยู่หรอก! แต่รอท่านเข้าสู่ระดับชั้นที่สูงกว่านี้แล้ว ก็จะพบวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจกว่านี้เอง”

ท่วงท่าของมู่ชิงเกอพลันหยุดชะงักลง กล่าวถามขึ้น “อะไรคือวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจกว่านี้?”

“ข้าไม่บอกท่าน!” เหมิงเหมิงหันไปแลบลิ้นให้มู่ชิงเกอ ทำหน้าตาน่าเกลียดล้อเลียน ก่อนจะหมุนกายวิ่งหนีไป

เหมิงเหมิงหนีจากไปแล้ว แต่มู่ชิงเกอกลับเกิดความสงสัยอันหนาแน่นอยู่ในใจ นั้นก็คือ เหนือขึ้นไปจากวิชายุทธ์ขั้นสวรรค์ ยังมีวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจกว่านี้อีก?

พอมองไปยังก้อนกลมๆ ก้อนแล้วก้อนเล่าตรงหน้า มู่ชิงเกอก็ราวกับว่าตัวเองรู้สึกสงบลงไปหลายส่วน สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปช่วงหนึ่ง นางเดินตรวจไปมาใน ตัวตำหนัก ทำการค้นหาวิชายุทธ์ที่เหมาะสม ไม่ทันไรในอ้อมกอดของนางก็มีวิชายุทธ์วางอยู่จำนวนสิบกว่าเล่ม วิชายุทธ์พวกนี้ก็ไม่ได้มีลูกไม้อะไรมากนัก แต่มันกลับสามารถระเบิดพลังที่ทำให้คนตกตะลึงได้ เหมาะมากกับการฝึกขององครักษ์เขี้ยวมังกร

แต่ว่าสำหรับนางเองแล้ว หลังจากฝึกเคล็ดทวนของทวนหลิงหลงแล้ว ความสนใจของนางต่อวิชายุทธ์ก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นอีก นอกเสียจากว่าจะค้นพบวิชายุทธ์ที่นางอยากได้มากจริงๆ ถึงจะทำให้นางมีความกระตือรือร้นอยากจะฝึกฝน

“เคล็ดวิชาฟ้าดิน?” มู่ชิงเกอมองไปยังเคล็ดวิชาระดับสวรรค์ในมือของตน รู้สึกสนใจขึ้นเล็กน้อย รอจนนางอ่านคำบรรยายของเคล็ดวิชาเสร็จ แววตาของนางก็ทอแววลิงโลดขึ้นมา เร่งรีบเอาเคล็ดวิชาฟ้าดินเก็บกลับเข้าไปในห่อ

หากจะกล่าวแล้ว เคล็ดวิชาฟ้าดินก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาสายต่อสู้ แต่เป็นวิชาลับชนิดหนึ่ง

วิชาชนิดนี้หลังจากใช้ออกไปแล้ว ก็จะสามารถควบรวมกันกลายเป็นค่ายกล พาคนส่งไปยังสถานที่ที่ไกลออกไปร้อยลี้ได้ตลอดเวลา ชัดเจนว่าเป็นตัวช่วยสำคัญในการหลบหนีและรักษาชีวิตวิชาหนึ่ง!

ในช่วงเวลาสำคัญไม่เพียงแค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ ยังไม่แพร่งพรายความลับเรื่องช่องว่างของตนชัดเจนว่าเป็น ของดีอย่างหนึ่ง!

เพียงแต่ว่าเคล็ดวิชาชนิดนี้ใช้ยากมาก จำเป็นจะต้องใช้เลือดเป็นเครื่องเซ่นแล้วใช้พลังยุทธ์ที่ฝึกปรือเป็นตัวช่วย

ถึงจะสามารถส่งตัวเองออกไปได้ อีกทั้งสถานที่ที่ส่งตัวออกไปก็ค่อนข้างไม่แน่นอน ใครก็ไม่รู้ว่าหลังจากส่งตัวเองไปแล้วจะไปพบเจอกับอะไร

ที่ทำให้คนกังวลใจมากที่สุดก็คือ ทุกครั้งหลังจากที่ใช้เคล็ดวิชาชนิดนี้แล้ว ก็จะต้องสูญเสียพลังไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ดังนั้น นี่ก็ถือเป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจมากชนิดหนึ่ง ไม่อาจใช้ออกไปได้ง่ายๆ

แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว มีสิ่งนี้อยู่ข้างกาย ก็เหมือนกับเป็นเกราะป้องกันภัยชั้นหนึ่ง ถือเป็นไพ่ตาย ดังนั้นนาง ก็ยังคงไม่ลังเลที่จะเก็บเคล็ดวิชาฟ้าดินนี้เอาไว้

มู่ชิงเกอเดินไปมาในหอตำรายุทธ์รอบหนึ่ง ก่อนจะค้นพบว่าในนี้ด้านในสุดมีปราการแสงพร่ามัวขวางกั้นเอาไว้ ชั้นหนึ่ง ขัดขวางการไปต่อของนาง บางที ด้านในอาจจะ เป็นของที่เหมิงเหมิงกล่าวถึงพวกนั้น เคล็ดวิชาที่ ร้ายกาจกว่าวิชายุทธ์ระดับสวรรค์

ตอนไหนถึงจะเข้าไปได้กัน?

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะหันกายเตรียมเดินจากไป

เพียงแต่นางเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พลันค้นพบว่าบนกำแพงของหอตำรายุทธ์สลักอักขระบางอย่างเอาไว้ ตัวอักษรพวกนั้นนางก็รู้สึกคุ้นตามาก

มู่ชิงเกอเดินไปทางกำแพง เดินเข้าไปตรวจดูอักขระพวกนั้นอย่างละเอียด

ยิ่งมองดู ดวงตาของนางยิ่งเป็นประกายจ้าขึ้น นางก็พลันตะโกนเรียกเสียงดังขึ้นอย่างร้อนใจ “เหมิงเหมิง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version