ตอนที่ 146-4
นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ VS นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ
เหมิงเหมิงทันใดนั้นก็มาปรากฏกายตรงหน้าของนาง ถลึงตากว้างพลางกล่าวถามขึ้น “เจ้านาย มีเรื่องอันใด?”
มู่ชิงเกอชี้ไปยังอักขระด้านบนกำแพง กล่าวถามขึ้น “นี่คืออะไร?”
“อ้อ นี่ก็เป็นตัวอักษรโบราณที่นาน นาน นานมาก นานมากชนิดหนึ่ง” เหมิงเหมิงโคลงหัวไปมาพลางกล่าวขึ้น
ก็เป็นตัวอักษรจริงๆด้วย!
มู่ชิงเกอพลันรู้สึกยินดีขึ้นในใจ เร่งรีบกล่าวขึ้น “เจ้าจำตัวอักษรพวกนี้ได้หรือไม่?”
เหมิงเหมิงพยักหน้า “แน่นอน!”
มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะเดินไปเข้าใกล้เหมิงเหมิงอีกหน่อย “ด้านบนนี้เขียนว่าอะไร?”
เหมิงเหมิงมองไปปราดหนึ่ง ต่อจากนั้นปากก็เปล่งเสียง ‘จีสีกูสีว’ ออกมาท่อนหนึ่ง ฟังจนมู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
รอจนเหมิงเหมิงกล่าวจบลง มู่ชิงเกอก็พลันขมวดคิ้วถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความว่า…” เหมิงเหมิงก็เปล่งทำนองเสียงเหล่านั้นออกมาอีกครั้ง
มู่ชิงเกอก็เหมือนกับโดนตบศีรษะ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เจ้าหยอกล้อข้า?”
“ที่ไหนกันเล่า!” เหมิงเหมิงใบหน้าราวกับถูกปรักปรำ
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น แผ่รังสีอำมหิตออกไปใกล้เหมิงเหมิง “ข้าถามเจ้าว่าพวกนี้หมายความว่าอะไร เจ้าก็มาพูดวาจาท่อนหนึ่งที่ข้าฟังไม่เข้าใจ ยังไม่ใช้อยากกลั่นแกล้งข้ารึ?”
เหมิงเหมิงพลันมองไปทางนางอย่างไม่รู้เรื่อง
“แปลน่ะ! แปลน่ะเข้าใจไหม?” มู่ชิงเกอคำรามเสียงกดต่ำ
เหมิงเหมิงพอเห็นใบหน้าเกรี้ยวกราดของมู่ชิงเกอ ก็พลันร้อง ‘แง’ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง นํ้าตาไหลลงมาราวกับนํ้าตกไหลออกมาจากขอบตาของนาง
มู่ชิงเกอเบ้ปาก ดึงกลิ่นไอดุดันกลับ ก่อนจะกล่าวกับนาง “เงียบ!”
เพียงแต่ เหมิงเหมิงกลับร้องไห้เสียงดังยิ่งขึ้น
มู่ชิงเกอหมดวาจาจะกล่าว ทำได้เพียงกล่าวข่มขู่ “ถ้าหากไม่อยากกินโอสถอีกละก็ ก็เชิญร้องไห้ต่อไป”
ชั่วขณะนั้น เหมิงเหมิงก็พลันเงียบเสียงลง
นํ้าตาบอกว่าไม่มีก็ไม่มีได้
พอเห็นนางไม่ร้องแล้ว มู่ชิงเกอถึงกล่าวขึ้นอย่างอดกลั้น
“ข้าอยากรู้ว่าที่เขียนอยู่ด้านบนพวกนี้มีความหมายว่าอะไร แต่ไม่ใช่อยากรู้ว่าพวกมันอ่านว่าอย่างไร”
เหมิงเหมิงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม มือป้อมๆ ชี้ไปที่ผนังด้านบนพลางกล่าวว่า “แต่ว่า…แต่ว่าคนเขาก็แค่อ่านเป็นและรู้ความหมายเพียงเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถ ใช้ภาษาของยุคนี้กล่าวมันออกมาได้”
ทำไมถึงประหลาดเช่นนี้?
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ก่อนจะถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่จริงๆ แล้วเป็นตัวอักษรชนิดใดกันแน่?”
เหมิงเหมิงเบ้ปากพลางกล่าวขึ้น “ในตำนานช่วงยุคบรรพกาล ยุคที่เหล่าทวยเทพและหมู่มารยังคงดำรงอยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกัน ตัวอักษรชนิดนี้ก็ถือเป็นตัวอักษร ของเผ่าเทพ”
“ตัวอักษรของเผ่าเทพ?” ความสงสัยในใจของมู่ชิงเกอยิ่งกลายเป็นรุนแรงขึ้น บรรพชนของตระกูลมู่ทำไมถึงได้ครอบครองตำราบันทึกที่เขียนตัวอักษรของเผ่าเทพ? แล้วในโลกแห่งนี้ยังมีเทพอยู่ด้วยรึ?
แล้วเทพพวกนี้คือสิ่งใด?
ในความเข้าใจของมู่ชิงเกอ มนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่ก็จะ คิดว่าคนที่มีฝีมือร้ายกาจสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ สามารถหวนคืนความตาย อายุยืนยาวพวกนั้นเป็นเทพ เซียน
เพียงแต่ว่า นั้นก็เป็นโลกที่แล้วของนาง เป็นคำบรรยายที่มีต่อเหล่าทวยเทพ
ชีวิตนิรันดร์ก็ถือเป็นข้อกำหนดโดยพื้นฐานของเหล่าเทพเซียน
แล้วทวยเทพในโลกแห่งนี้เล่า?
จะมีลักษณะเป็นเช่นไร?
คนของที่นี่สามารถฝึกปรือพลังยุทธ์ ผ่านทางการฝึกยุทธ์ ก็จะสามารถไปถึงอายุที่ยืนยาวเกินปกติ เช่นนั้น งั้นเหล่าทวยเทพจะเป็นเช่นไรกัน?
“ตอนนี้ยังมีเทพกับมารอยู่หรือไม่?” มู่ชิงเกอหันไปถามเหมิงเหมิง
“แน่นอนว่ามี! แต่ว่าไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงเท่านั้น” เหมิงเหมิงตอบอย่างมั่นใจ
มู่ชิงเกอแววตาหดเล็กลง “อะไรคือเทพ? อะไรคือมาร?”
“เรื่องนี้ ” เหมิงเหมิงขมวดคิ้ว กล่าวอย่างลำบากใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร รอหลังจากนี้เจ้านายแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ คงจะได้รู้เองในอีกไม่ช้า” มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก ก่อนจะออกจากช่องว่างพร้อมกับความสงสัย
ในช่องว่าง ถึงกับปรากฏตัวอักษรที่เหมือนกันกับตำราบันทึกของนาง เลยทำให้นางคิดว่าอาจจะไขข้อสงสัยเรื่องความลับของหนังสือบันทึกได้ แต่คิดไม่ถึงว่า ความลับยังไม่ได้ถูกไขข้อข้องใจ กลับเป็นเพิ่มความสงสัยอันใหญ่หลวงให้แก่นางอีก “หนังสือบันทึกมาจากเผ่าเทพจริงๆ รึ? แล้วเช่นนั้นด้านในจะบันทึกอะไรเอาไว้บ้าง?” มู่ชิงเกอกล่าวกระ ซิบกระซาบกับตัวเอง
สองวันผ่านไป ตัวเรือเริ่มที่จะเข้าใกล้ชายฝั่ง
ทุกอย่างบนพื้นดินก็เริ่มที่จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
แต่ว่า กลับไม่มีเมืองท่าหรือเขตเมืองใหญ่โตที่ทุกคนเฝ้ารอคอย ที่พวกเขามองเห็น นอกจากท่าเรือที่มีไว้เทียบท่าแล้ว ก็เพียงแค่ป่าเขาและต้นไม้
“แต่เดิมคิดว่าจะได้เห็นบ้านเมืองของอาณาจักรเซิ่งหยวน คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นแต่ป่าเขาลำเนาไพร” มีศิษย์บางคนกล่าวขึ้นอย่างเสียดาย
พวกมู่ชิงเกอห้าคนยืนอยู่ด้วยกัน มองไปทางริมชายฝั่ง
บนชายฝั่ง ก็มีคนอยู่จำนวนหนึ่ง
แววตาแหลมคมของมู่ชิงเกอก็สามารถจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นผู้อาวุโสที่เคยไปเยือนโรงโอสถเมื่อครั้งก่อน ราวกับว่าจะชื่อเซี่ยเทียนอู๋
ตอนนั้นผู้อาวุโสเซี่ยผู้นี้เป็นคนตัดสินว่านางเป็นคนชนะ ทั้งยังเจาะจงเชิญนางไปศึกษาที่โรงโอสถกลาง เพียงแต่ว่าถูกนางกล่าวบ่ายเบี่ยงไป คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงอาณาจักรเชี่งหยวนแล้วคนรู้จักคนแรกที่ได้พบก็จะเป็นเขา!
ด้านข้างของเขายังยืนอยู่ด้วยเหล่าชายหนุ่มท่าทางหยิ่งทะนงจำนวนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นศิษย์ของโรงโอสถกลาง
สมอเรือค่อยๆ ถูกหย่อนลงไป จมลึกลงไปเบื้องล่าง
หลังจากเทียบเรือเสร็จแล้ว เซี่ยเทียนอู๋ก็พาคนเดินเข้ามา
เขาไม่ได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด เดินเข้าไปหามู่ชิงเกอในกลุ่มคนตรงๆ
“เจ้ามาแล้วรึ!” เซี่ยเทียนอู๋กล่าวไปทางมู่ชิงเกออย่างอารมณ์ดี
มู่ชิงเกอกล่าวรับ “คารวะผู้อาวุโสเซี่ย”
“มาก็ดีแล้ว เจ้ารออยู่นี่สักครู่” เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้า พลางยิ้มบางๆ
หลังจากนั้น ถึงค่อยเดินไปพูดคุยกับผู้อาวุโสของโรงโอสถสาขาย่อยที่มาส่งยา
จ้าวหนานซิงหันมากล่าวยิ้มๆ กับมู่ชิงเกอ “ดูสิ แค่การปฏิบัติก็ไม่เหมือนกันแล้ว!”
มู่ชิงเกอย่นคิ้วขึ้น “ถ้าหากท่านชอบ ถอยให้ท่านเป็นอย่างไร?”
“อย่าเลย” จ้าวหนานซิงเร่งเขยิบไปหาเหมยจื่อจ้งอยู่หลายก้าว กล่าวยิ้มๆ “ดูจากท่าทีที่ผู้อาวุโสเซี่ยมีต่อเจ้า เกรงว่าข่าวเรื่องที่เจ้าเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณจะแพร่มาถึงโรงโอสถกลางแล้ว ในโรงโอสถกลางก็ไม่รู้ว่ามีผู้มีพรสวรรค์มากน้อยเพียงใดที่กำลังรอประมือกับเจ้า”
เหมยจื่อจ้งนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวไปทางมู่ชิงเกออย่างห่วงใย “ที่ศิษย์น้องจ้าวกล่าวก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ชิงเกอเจ้าต้องระวังให้ดี”
มู่ชิงเกอกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร” นางแต่เดิมก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่โรงโอสถกลางนานเท่าไร อย่างมากก็แค่ลอบเร้นกายออกไป พอถึงตอนนั้นพวกเขาจะมาหานางเพื่อ ประลองได้ยังไง?