ตอนที่ 150-2
สวรรค์! นี่มันปีศาจอะไรกัน
มู่ชิงเกอก็ราวกับรู้สึกว่าได้รับการใส่ร้าย นางก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเข้าใจไหม? นางนั้นก็เหมือนกันกับคนอื่นที่ถูก ‘เสี่ยวเฮย’ ทำให้ตื่นตกใจ มู่ชิงเกอแหงนหน้ามองไปทาง ‘เสี่ยวเฮย’ ที่อยู่บนฟ้าที่กำลังแผ่กลิ่นไอดุดันออกไปรอบด้านไม่หยุด ท่าทางเช่นนั้นก็ราวกับเด็กที่กำลังอวดเบ่งอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้หลังจากที่ฐานะถูกประกาศออกมาแล้วก็กำลังสั่ สอนพวกคนที่เคยหลู่เกียรติมัน หัวเราะเยาะมัน
นอกจากนั้นมู่ชิงเกอยังสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่มันส่งมาได้ สัมผัสได้ถึง ‘ความสะใจ’ ขึ้นสายหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนี้ก็ชวนให้นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
เพราะว่า ระหว่างนางกับ ‘เสี่ยวเฮย’ ก็ยังไม่ได้ทำสัญญาอะไรต่อกันแม้แต่น้อย ที่นางทำก็เพียงแค่เอามันออกมาจากโรงโอสถสาขาย่อยเพียงเท่านั้น
แต่ว่าทำไมนางถึงสัมผัสถึงความรู้สึกของมันได้?
ความเชื่อมโยงอันแปลกประหลาดนี้ก็เหมือนกับว่าจะไม่สามารถอธิบายได้
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าก็ปรากฏคนขึ้นผู้หนึ่ง เขายืนตระหง่านอยู่ด้านบนใบหน้าเมตตาจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ ก่อนจะฉายแววระมัดระวังขึ้น ‘ขั้นม่วงระดับสูงสุด!’
พลังและกลิ่นไอของคนที่มาก็ไม่ได้คิดปกปิด ถึงสามารถทำให้นางสามารถประเมินระดับพลังของคนที่มาได้โดยง่าย
“ท่านหัวหน้า!”
“เป็นท่านหัวหน้า!”
“ท่านหัวหน้ามาแล้ว!”
ชั่วขณะนั้นรอบด้านก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น ก็ถือเป็นการบอกกล่าวแก่มู่ชิงเกอว่าชายชราที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวมาอย่างกะทันหันนี้มีศักดิ์ฐานะเป็นใคร
“เขาก็เป็นหัวหน้าของโรงโอสถกลางรึ? เปรียบกับชายชราทั่วไปแล้วก็ไม่เห็นมีอันใดแตกต่างกันเลยนี่!” มู่ชิงเกอกระซิบกระซาบขึ้นในใจ
และในตอนนั้นเอง คนหลายพันคนของสาขาหลักร่วมถึงเหล่าผู้อาวุโสพวกนั้นก็พากันลุกยืนขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับไปทางคนบนฟ้า “คารวะท่านหัวหน้า!”
“คารวะท่านหัวหน้า—–!”
เสียงก็ดังสะท้อนขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าราวกับคลื่นในท้องทะเลก็ไม่ปาน
เหมยจื่อจ้งพาเหล่าศิษย์จากสาขาย่อยลุกยืนขึ้น ก่อนจะโค้งกายคำนับไปยังคนที่ยืนตระหง่านอยู่บนฟ้า
แม้แต่คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างจิ่งเทียนพอหลังจากเห็นท่านหัวหน้าแล้วก็ยังไม่อาจไม่ก้มหัวอันหยิ่งยโสของเขาได้
แค่เพียงตรงนี้มู่ชิงเกอก็สามารถวิเคราะห์ได้แล้วว่า ฐานะของหัวหน้าของโรงโอสถกลางผู้นี้ก็ไม่มีทางที่หัวชางซู่จะสามารถเทียบเคียงได้!
ในหมู่คนหลายพันคนก็มีเพียงนางที่ไม่ได้ก้มหัว แต่เป็นแหงนหน้ารับอย่างสงบ สบตากับชายชราบนท้องฟ้า
ฝ่ายหลังยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะชี้กล่าวไปทางหม้อผลาญสวรรค์ “เด็กน้อย เจ้าถ้าหากยังปล่อยให้หม้อผลาญสวรรค์แผ่พลังต่อไป ค่าเสียหายที่ทำให้หม้อหลอมของศิษย์และอาจารย์ของโรงโอสถพัง เจ้าก็คงจะชดใช้ไม่ไหว”
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ พริบตาพลันตอบสนองอย่างรวดเร็ว หันไปตะโกนทางหม้อผลาญสวรรค์ “เสี่ยวเฮยกลับมา!”
คำกล่าวธรรมดานี้ก็ไม่ได้มีพลังแฝงอยู่แต่อย่างใด แล้วก็ยิ่งไม่ได้ใช่วิธีอะไรเป็นพิเศษ มันธรรมดาเสียจนเหมือนกับเรียกเด็กที่บ้านมากินข้าวอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋หลี่เถิงขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าการจัดการเช่นนี้ของมู่ชิงเกอจะใช้ได้ผลจริงหรือไม่ แต่ว่าในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หม้อผลาญสวรรค์ที่มีนิสัยหยิ่งทะนงในความคิดของเหล่าชาวโรงโอสถกลับค่อยๆ ลอยลงจากฟ้าอย่างว่าง่าย ลอยไปทางมู่ชิงเกอ
อีกทั้งมันก็ยังดึงพลังกลับไป ไปจนถึงเปลวไฟรอบกายก็กลายเป็นเล็กลงไปมาก
พอไม่มีการสะกดข่มจากหม้อผลาญสวรรค์อีก หม้อหลอมของแต่ละคนก็ค่อยๆ กลายเป็นสงบลง และก็ทำให้คนหลายพันลอบถอนหายใจโล่งอกออกมา
ฉากภาพนี้ก็ทำเอาไป๋หลี่เถิงในใจเกิดตื่นตระหนกขึ้นมา เชื่อฟังขนาดนี้เลยรึ หม้อผลาญสวรรค์ที่ว่าง่ายเช่นนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น!
ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง มองไปทางมู่ชิงเกอพลางคิดขึ้นในใจ ‘ดูท่าหม้อผลาญสวรรค์จะพึงพอใจกับการเลือกนายของตัวเองมาก!’
คน องอาจเจิดจ้าดุจแสงตะวัน หน้าตางดงามสะเทือนฟ้า
หม้อหลอม แดงเดือดตระการตาราวกับเพลิงที่กำลังลุกโชน
หนึ่งคนหนึ่งหม้อหลอมนี้ก็ช่างเหมาะสมกันนัก
มู่ชิงเกอพอคลายความกังวลเรื่องหม้อหลอมได้ไป๋หลี่เถิงก็ค่อยๆ พลิ้วกายลอยลงมา ไปยืนอยู่ตรงกลางของตัวอัฒจันทร์
เขาพอลอยลงมาเหล่าผู้อาวุโสก็พลันถอยออกไปอย่างนอบน้อม
“ท่านหัวหน้า หม้อผลาญสวรรค์อยู่ในมือของมู่ชิงเกอ การประลองครั้งนี้ควรจะทำเช่นไรต่อไป?” จิ่งเทียนสีหน้าไม่ยินยอมกล่าวขึ้นตรงๆกับไป๋หลี่เถิง
คำกล่าวของเขาพอจบลง ไป๋หลี่เถิงก็ยังไม่ได้ทันได้กล่าววาจาออกมา ก็เห็นหม้อผลาญสวรรค์ด้านหน้าของมู่ชิงเกอปรากฎเปลวเพลิงพุ่งออกไปสายหนึ่ง พุ่งตรงไปยังไปหม้อหลอมของจิ่งเทียน
จิ่งเทียนสีหน้าเปลี่ยนสี มือกอดหม้อหลอมเอาไว้แน่น อีกมือส่งแสงสีนํ้าเงินปะทะเข้ากับเปลวเพลิงที่กลางอากาศ จนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นเสียงหนึ่ง
เหตุไม่คาดฝันนี้ ก็ทำเอามู่ชิงเกอมุมปากยกสูงขึ้นมา นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่า ‘เสี่ยวเฮย’ จะมีนิสัยที่ชอบลงมือโดยไม่กล่าววาจา
แต่ว่า…นางก็รู้สึกถูกใจนัก!
ยื่นมือออกไปตบที่หม้อผลาญสวรรค์เบาๆ มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้อย่างเจนว่าหม้อผลาญสวรรค์กำลังเรียกร้องขอรางวัล
“มู่ชิงเกอเจ้าจะเกินไปแล้ว!” จิ่งเทียนกอดหม้อหลอมของตนเอาไว้แน่น กัดฟันแน่นจ้องไปทางมู่ชิงเกอ
“อะแฮ่ม” ไป๋หลี่เถิงกระแอมไอขึ้นมาสองเสียง กล่าวกับมู่ชิงเกอว่า “ในระหว่างการประลอง ห้ามใช้หม้อผลาญสวรรค์รังแกคน”
“ขอรับ ท่านหัวหน้า” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างนอบน้อม เพียงแต่ว่าคำกล่าวของไป๋หลี่เถิงพอร่วงไปกระทบหูของจิ่งเทียน กลับฟังแล้วรู้สึกไม่รื่นหูขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ ต่อจากนั้นไป๋หลี่เถิงก็หันไปกล่าวกับจิ่งเทียนว่า “หม้อหลอมก็เปรียบเสมือนกับอาวุธของนักปรุงยา ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพลังและความสามารถชนิดหนึ่ง ข้าได้บอกให้มู่ชิงเกอดึงพลังและกลิ่นไอของหม้อผลาญสวรรค์กลับมาแล้ว ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อการปรุงโอสถของเจ้า อีกอย่าง หม้อหลอมในมือของเจ้าก็ไม่ได้มีระดับที่ต่ำต้อยแต่อย่างไร ถ้าหากในใจของเจ้ายังรู้สึกกังวล เช่นนั้นก็เปลี่ยนหม้อหลอมกันให้หมดแล้วค่อยหลอมโอสถ”
คำกล่าวนี้ก็มอบทางเลือกให้กับจิ่งเทียนขึ้นสองสาย
จิ่งเทียนครุ่นคิดไปมาในใจอยู่นาน สุดท้ายเขาถึงจะยอมกัดฟันตัดสินใจตอบขึ้น “ขอบคุณท่านหัวหน้า เช่นนั้นก็ใช้หม้อหลอมของใครของมันเถิด”
เขาถึงแม้จะยังกังวลใจที่มู่ชิงเกอมีหม้อผลาญสวรรค์คอยช่วยเหลือแล้วจะเพิ่มโอกาสชนะขึ้น แต่ว่าเขากลับไม่อาจตัดสินใจเช่นนั้นได้ เพราะว่าถ้าหากเปลี่ยนเป็นหม้อหลอมอื่น สำหรับเขาแล้วก็จะลดอัตราความสำเร็จในการปรุงโอสถของเขาลงไปอีก
เปรียบกับการเป็นเช่นนั้นแล้วก็ยังไม่สู้ปล่อยวางไปก่อนดีกว่า
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมู่ชิงเกอจะโชคดีชนะได้ เขาก็ยังกล่าวอ้างได้ว่าเป็นเพราะผลงานของหม้อผลาญสวรรค์
แน่นอนว่า ความน่าจะเป็นนี้ ในทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น!
หลังจากตัดใจสินใจได้แน่วแน่แล้ว จิ่งเทียนก็เบิกตามองไปยังมู่ชิงเกอหนหนึ่ง เริ่มต้นทดสอบในครั้งที่สอง