Skip to content

พลิกปฐพี 150-3

ตอนที่ 150-3

สวรรค์! นี่มันปีศาจอะไรกัน

มู่ชิงเกอหันมองไปทางเขาสายตาหนึ่งก่อนจะก้มมองไปทางหม้อผลาญสวรรค์คิดแล้วคิดอีกก็ทำการเก็บหม้อผลาญสวรรค์กลับคืน นางหากจะชนะจิ่งเทียนก็ต้องชนะโดยที่เขาไม่มีอะไรจะกล่าว

การกระทำของนางก็ทำเอาไป๋หลี่เถิงพยักหน้าขึ้นน้อยๆ ในแววตาปรากฏแววชื่นชมจางๆ

ไม่ต้องกล่าวมากความอะไรอีก ผู้คุมการประลองก็สั่งการให้คนเอาหม้อหลอมที่สามารถหลอมโอสถระดับจิตวิญญาณได้เข้ามาใบหนึ่ง

ระดับคุณภาพของหม้อหลอมใบนี้ไม่เพียงไม่อาจเทียบกับหม้อผลาญสวรรค์ได้ แม้แต่หม้อหลอมของจิ่งเทียนก็ยังเปรียบสู้ไม่ได้

แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย และก็ไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอันใด

ท่าทางเช่นนี้ของนางก็พลันทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับการกระทำเมื่อครู่นี้ของจิ่งเทียนขึ้นในทันใด

“ศิษย์น้องมู่ทำไมไม่ใช้หม้อผลาญสวรรค์? ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องเห็นแก่ความเท่าเทียมพวกนั้น โอสถยืดอายุไท่เวยก็หลอมปรุงได้ยากขนาดนั้น หากใช้หม้อผลาญสวรรค์ก็คงสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จขึ้นได้หลายส่วนกระมัง” จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วขึ้น มองไปยังการ ‘อ่อนข้อ’ ของมู่ชิงเกออย่างไม่เข้าใจ

“เขาไม่กลัว” ซางจื่อซูกล่าวเสียงเรียบขึ้นสามคำ

นี่ก็ทำเอาจ้าวหนานซิงชะงักไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดเกี่ยวกับ สามคำนี้

เหมยจื่อจ้งพยักหน้าขึ้นเบาๆ “ศิษย์น้องมู่เก็บหม้อผลาญสวรรค์ไม่ยอมใช้ก็เป็นเพราะว่าเขามีความมั่นใจ เพียงพอที่จะเอาชนะจิ่งเทียน ดังนั้นทำไมจะต้องเหลือ ข้ออ้างไว้ให้ฝ่ายตรงข้ามด้วย?”

จ้าวหนานซิงพยักหน้าขึ้น กล่าวว่าทอดถอนใจ “การกระทำเช่นนี้เกรงว่าจะมีเพียงแค่คนมากพรสวรรค์เช่นศิษย์น้องมู่เท่านั้นที่มีความกล้าพอที่จะไปทำมัน”

“เพราะศิษย์น้องมู่ไม่ได้เป็นคนละโมบ” จูหลิงกล่าว ทั้งสามคนมองไปทางนาง

นางก็พลันกล่าวว่า “สิ่งที่จิ่งเทียนอยากได้มีมากเกินไป เขาอยากทำให้ศิษย์น้องมู่พ่ายแพ้ต่อหน้าฝูงชน ทั้งยังอยากเลื่อนชั้นเป็นผู้อาวุโส คิดอยากได้มากเกินไป แน่นอนว่าก็ต้องกลายเป็นระมัดระวังขึ้น วางแผนการไม่หยุด แต่ศิษย์น้องมู่ก็ไม่ได้สนใจจิ่งเทียนอันใด แล้วก็ยิ่งไม่สนใจฐานะผู้อาวุโสแต่อย่างใด ในเมื่อไม่ได้ละโมบ อยากได้สิ่งใด เช่นนั้นเขาก็เลยสามารถจัดการกับการประลองครั้งนี้ได้อย่างผ่อนคลายจิตใจปลอดโปร่ง”

การวิเคราะห์ของนางก็ทำให้ทั้งสามคนนั้นคิดเห็นด้วย แต่ว่าในใจของพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เข้าใจชัดเจนว่ามู่ชิงเกอที่สามารถทำเช่นนี้นั้นก็เป็นเพราะว่านางมีความสามารถที่เพียงพอ ไปจนถึงขั้นที่จิ่งเทียนในใจของนางก็เกรงว่าจะไม่ถูกนับว่าเป็นคู่มืออันใด

การประลองก็ยังคงดำเนินต่อไป การแทรกเข้ามาของหม้อผลาญสวรรค์ก็จบลงด้วยผลลัพธ์ที่ผู้คนไม่ได้คาดคิด

ใครก็คิดไม่ถึงว่า หม้อผลาญสวรรค์เพียงแค่ปรากฏรูปลักษณ์ออกมาก็จะถูกมู่ชิงเกอเก็บกลับไปด้วยท่าทางสบายๆ เช่นนั้น

ศิษย์ของโรงโอสถจำนวนไม่น้อยก็พากันถามตัวเองขึ้นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ภายใต้ความเย้ายวนของหม้อผลาญสวรรค์พวกเขาก็คงไม่มีทางตัดสินใจได้อย่างมู่ชิงเกอ ไม่มีทางทิ้งข้อได้เปรียบของตนแล้วไปดำเนินการแข่งขันต่อ

พอไม่มีหม้อผลาญสวรรค์คอยช่วยเหลือ มู่ชิงเกอก็ยังจะสามารถหลอมโอสถยืดอายุไท่เวยได้อีกรึ?

นี่ก็กลายเป็นข้อสงสัยร่วมกันของฝูงชน

มู่ชิงเกอพอเก็บหม้อผลาญสวรรค์กลับไป ใบหน้าของจิ่งเทียนก็พลันฉายแววยิ้มเยาะขึ้นมา ราวกับว่ากำลังหัวเราะขันกับการถือตนของมู่ชิงเกอ หัวเราะเยาะนางที่ อวดดีและโง่งม!

ระยะเวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป ขั้นตอนในการหลอมโอสถก็ค่อนข้างน่าเบื่อนัก

แต่ว่าเพราะตรงกลางของอัฒจันทร์มีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง ดังนั้นก็เลยทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านเลยไป ไม่มีใครกล้ากล้าวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาส่งเดช ทำได้เพียงนั่งรอนิ่งๆ อยู่เงียบๆ

“อ้า! ล้วนแต่ล้มเหลวแล้ว!”

ในตอนที่มีควันดำลอยขึ้นมาก่อนหลังจากหม้อหลอมของมู่ชิงเกอกับจิ่งเทียน ฝูงชนบนอัฒจันทร์ก็พลันร้องเสียดายกันขึ้นมา

พอเกิดความล้มเหลวขึ้น ก็พลันเกิดความเด่นชัดบางอย่างขึ้นมา

มู่ชิงเกอยังมีโอกาสอีกสองครั้ง แต่ฝั่งจิ่งเทียนกลับเหลือโอกาสเพียงครั้งเดียว

พอมองไปยังวัตถุดิบของตัวเองที่เหลืออยู่แค่ชุดเดียว ในใจของจิ่งเทียนก็เกิดความเกรี้ยวกราดที่ยากจะดับขึ้น เขามองไปทางมู่ชิงเกอพร้อมกับความมุ่งร้ายที่ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเขา พอเห็นเข้ากับแววตาอาฆาตของเขาก็ทำเป็นไม่สนใจ ยกมุมปากพลางถามขึ้น “ศิษย์พี่จิ่งเทียนมีอะไรจะชี้แนะ?”

จิ่งเทียนจ้องมองไปทางนางกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าจงใจเอาหม้อผลาญสวรรค์ออกมา การปรุงโอสถครั้งแรกของข้าก็คงไม่เสียเปล่า” คำกล่าวเช่นนี้ก็ดูจะค่อนข้างเกินจริงไปนัก เพราะว่ามู่ชิงเกอก็ไม่ได้รู้ว่า ‘เสี่ยวเฮย’ ก็คือหม้อผลาญสวรรค์

และนางก็ยิ่งไม่รู้ว่าหม้อผลาญสวรรค์หลังจากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว จะมีกลิ่นไอดุดันและทรงพลังเช่นนี้ คำกล่าวของจิ่งเทียนคำนี้ดูเผินๆ ก็จะเหมือนกับขอความเป็นธรรม แต่ก็ยังแสดงออกอย่างเช่นเจนถึงความเจ้าเล่ห์มากแผนการของเขา

ชั่วขณะนั้นตรงกลางของอัฒจันทร์ก็ยังคงนิ่งเงียบ ศิษย์รอบด้านบนอัฒจันทร์ก็ยังคงไม่กล่าววาจา ส่วนศิษย์ของสาขาย่อยอยากจะเถียงแทนมู่ชิงเกอที่ได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ว่าเหมยจื่อจ้งก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ยังไม่กล้าทำเกินเลยแต่อย่างใด

คนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่พากันจับจ้องมองมู่ชิงเกอ อยากจะดูว่าเขาจะใช้คำพูดร้ายกาจอะไรอุดปากคำพูดของจิ่งเทียน

ในเมื่อตามความจริงแล้ว โอสถยืดอายุไท่เวยก็ปรุงยากเสียขนาดนั้น สิบครั้งถึงจะมีโอกาสสำเร็จแค่ครั้งเดียว แถมยังต้องมาถูกกดจนเหลือแค่สามครั้ง ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ล้วนแต่ไม่มีทางทิ้งขว้างโอกาสอันลํ้าค่าเช่นนี้ไปได้

ในขณะเดียวกัน พวกเขาเองก็เข้าใจความคิดของจิ่งเทียนดี เพียงแต่คำกล่าวของเขาก็รู้สึกว่าจะทำให้ขายขี้หน้ามือหนึ่งของโรงโอสถกลางไปบ้างก็เท่านั้น

จ้าวหนานซิงกล่าวเสียงกดต่ำว่า “พวกเจ้าคิดว่าศิษย์น้องมู่จะกล่าวถากถางจิ่งเทียนสักหลายประโยคหรือว่าจะเสนอให้เพิ่มวัตถุดิบให้จิ่งเทียนชุดหนึ่ง เพื่อแสดงความยุติธรรม?”

ความน่าจะเป็นของสองประโยคนี้ภายใต้ความคิดของกลุ่มคนแล้วก็ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด

แต่ว่าพวกเขาใครก็คาดไม่ถึงว่า มู่ชิงเกอหลังจากคำพูดของจิ่งเทียนจบลงแล้ว จะชะงักนิ่งไปช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่ง ก่อนจะหยิบวัตถุดิบชุดหนึ่งของตัวเองโยนเข้าไปในเตาหลอมตรงๆ

ชั่วขณะนั้น ควันสีดำก็โชยออกมาจากหม้อหลอมสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

“หา—–! เขา…”

การกระทำเช่นนี้ก็สุดโต่งนัก ไม่มีท่าทางลังเลแม้แต่น้อย ปฏิบัติออกไปตรงๆ

ทำเอาบนอัฒจันทร์ร้องตกใจกันขึ้นเป็นระลอก

จนขนาดทำเอาดวงตาทั้งสองข้างของจิ่งเทียนเบิกกว้าง มองไปทางนางอย่างตกตะลึง

มู่ชิงเกอค่อยๆ กล่าวว่า “เท่านี้เจ้าข้าก็เหลือเพียงโอกาสสุดท้ายแล้ว”

พอกล่าวจบ นางก็ไม่สนใจจิ่งเทียนอีก เริ่มทำการหลอมโอสถชุดสุดท้ายของตน

แผ่นอกของจิ่งเทียนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้ง ก่อนจะสบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง เริ่มต้นการหลอมโอสถชุดสุดท้ายของตน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version