ตอนที่ 155-2
สงครามอันโหดร้ายที่แม่นํ้าไร้พรมแดน
และความโกรธของซือมั่ว!
“เดี๋ยวนะ ไม่ถูกต้อง” จู่ๆ หัวหน้าศิษย์สำนักหมื่นอสูรที่จากไปไกลแล้วก็พลันมีปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น
“มีอะไรหรือศิษย์พี่?” ศิษย์สำนักหมื่นอสูรผู้หนึ่งเดินขึ้นหน้ามาถาม
ศิษย์ผู้พี่ที่นำขบวนขมวดคิ้ว หวนนึกถึงการพบเจอกับศิษย์หอหลอมศาสตราเมื่อครู่ ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ถูก ไม่ถูก”
คำว่า ไม่ถูก’ ของนาง ทำให้ศิษย์อื่นๆ มีอาการสงสัย ไม่เข้าใจ
“อะไรที่ว่าไม่ถูกหรือ?” ศิษย์ผู้น้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
ศิษย์ที่นำขบวนอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือ คนที่เอ่ยโต้ตอบกับพวกเราเมื่อครู่นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงผู้เดียว? ถ้าพูดตามลักษณะนิสัยชอบอวดเบ่งของศิษย์หอหลอมศาสตราแล้ว ตอนแรกที่พวกเราเอ่ยวาจาเหยียดหยามออกไป คนที่เหลืออีกสี่คนย่อมไม่อยู่ในอาการสงบนิ่ง อีกอย่างแม่น้ำบริเวณเมื่อครู่นี้ออกจะกว้างขวางไม่เห็นจำเป็นต้องหันหัวเรือเป็นพิเศษเลย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้ทิศทางที่หอหลอมศาสตราค้นหา!” พอนางวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ มีปฏิกิริยากลับมา “ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
“ไม่ดีแล้ว!” ตาทั้งคู่ของศิษย์ผู้นำขบวนก็หดเล็กลง หันกลับมามองศิษย์น้องข้างกายนางว่า “คนผู้นั้นเป็นหัวขโมยที่ขโมยของของนายน้อย พวกเราเผลอปล่อยเขาไปเสียแล้ว!”
“ศิษย์พี่เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” คนที่เหลือเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
ศิษย์ที่นำขบวนออกคำสั่งในทันใด “เร็วเข้า พวกเราตามไปเร็ว พวกเจ้าปล่อยสัญญาณออกไปแจ้งคนอื่นให้ตามมาล้อมจับเสีย” ในขณะที่พูดดวงตานางก็เป็น ประกายวาวโรจน์
ศิษย์สำนักหมื่นอสูรปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งขี่อสูรวิญญาณไล่ตามไป ด้านหนึ่งก็ปล่อยสัญญาณนัดแนะสองขั้วอำนาจ
พลุไฟสีแดงพุ่งสู่บนท้องฟ้า เกิดเป็นเสียงระเบิดกลางอากาศบริเวณแม่นํ้าไร้พรมแดน
แสงสีอันเจิดจ้านั่นสามารถทำให้คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก สามารถมองเห็นได้ถ้วนทั่ว
“พวกเขาเจอเจ้านั่นแล้ว!” จินกุ้ยที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก มองเห็นพลุไฟบนท้องฟ้านั่นก็ขบกรามแน่นเอ่ยด้วยนํ้าเสียงเคียดแค้น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต ก่อนจะกลายเป็นสีแดงกํ่าจนน่ากลัว ลมหายใจเต้นเร็วแรง ดูโหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบ ชั่วขณะนี้เขาก็โกรธจนอยากจะบุกเข้าไปฆ่ามือสังหาร ที่สังหารลูกชายเขาให้แหลกเป็นผุยผง
“ผู้อาวุโสจิน ท่านใจเย็นก่อน หลังจากที่ผู้อาวุโสเฝิงหาคนผู้นั้นพบแล้วต้องนำตัวมาส่งให้ท่านจัดการด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้หัวขโมยผู้นั้นใช้แผนล่อเสือออกจากถํ้า พวกเรายังคงต้องเฝ้าอยู่ตำแหน่งเดิม” เฮยมู่พอเห็นท่าทีเอาเรื่องของจินกุ้ย ก็รีบเอ่ยปากเตือน
จินกุ้ยข่มอารมณ์ความโกรธแค้นในใจ ลมหายใจค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงออกอาการดุดัน
ศิษย์สำนักหมื่นอสูรผู้นั้นนำศิษย์น้องรวมกับศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ที่เจอกันระหว่างทาง ไล่ตามไปทางที่มู่ชิงเกอจากไป
“เร็วเข้า อยู่ตรงนั้น!” ศิษย์ผู้นั้นชี้ไปยังเรือลำน้อยที่ซ่อนสายตาอยู่ไกลๆ เอ่ยเพียงเท่านี้ ก็กระตุ้นจิตใจผู้คนให้ฮึกเหิม คนกลุ่มหนึ่งเร่งความเร็วมุ่งไปยังเรือลำน้อยลำนั้น เวลาเดียวกันนั้น อีกด้านหนึ่งเฝิงคุนไห่ก็นำศิษย์หอหลอมศาสตราไล่ตามมาตามการนัดหมายเช่นกัน
คนจากสองขั้วอำนาจแทบจะรวมตัวกันหน้าเรือลำนั้นที่เดียว
“ผู้อาวุโสเฝิง” ศิษย์ชายสำนักหมื่นอสูรผู้หนึ่งฐานะแลดูไม่ธรรมดา เขาขี่วิญญาณอสูรขึ้นหน้ามาทำความเคารพต่อเฝิงคุนไห่
เฝิงคุนไห่พยักหน้าอย่างถือตัว มองไปบนเรือลำน้อย ขมวดคิ้วยุ่ง
บนเรือลำนั้นยืนอยู่ด้วยกันสี่คน แต่หลังจากเห็นเขามา กลับไม่ทำความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้น
“หายไปคนหนึ่ง!” ศิษย์หญิงสำนักหมื่นอสูรยืนขึ้นกล่าว
เฝิงคุนไหรีบประมวลความหมายแฝงที่อยู่ในประโยค ยกมือขึ้นสะบัดคราหนึ่ง พลังฝ่ามือเกรี้ยวกราดดุจลมโหมพุ่งใส่เรือน้อยลำนั้น สี่คนที่นั่งไม่ไหวติงถูกลมจากฝ่ามือพัดลงไปกองกับพื้นโดยไร้เสียง
“พวกเขาตายหมดแล้ว!
นํ้าเสียงตระหนกกระจายบอกแก่พรรคพวกทั้งสองฝ่าย เฝิงคุนไห่มีสีหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากขบเม้มเป็นเส้นตรง นัยน์ตาแหลมคมหม่นหมองซึมเศร้า จากประสบการณ์ของเขาเหตุใดจะดูไม่ออกว่าลูกศิษย์เหล่านี้ตายแล้ว?
อีกทั้งไม่ใช่เพิ่งตาย แต่ตายมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“เดิมทีข้านึกว่าเหล่าศิษย์พี่หอหลอมศาสตราจะถูกใครบางคนควบคุม ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะพบเจอกับคนร้าย” ศิษย์สำนักหมื่นอสูรผู้นั้นกล่าวด้วยความเสียดาย เฝิงคุนไห่เบนสายตามายังนาง มองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อน เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์หลาน เจ้าจงเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่มาอย่างละเอียด อย่าได้ตกหล่นแม้แต่น้อย”
ศิษย์หญิงของสำนักหมื่นอสูรในใจเกิดความลังเล
นางกล้าเหิมเกริมต่อหน้าศิษย์ของหอหลอมศาสตราแต่ นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะกล้าไม่เห็นความสำคัญ มองผ่านผู้อาวุโสของหอหลอมศาสตรา
ศิษย์สำนักหมื่นอสูรเบนสายตากลับมามองที่นางพลาง เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้อง เจ้าจงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้ อาวุโสเฝิงฟังโดยละเอียด”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่” ศิษย์หญิงของสำนักหมื่นอสูรจึง ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่โดยละเอียด
แน่นอนว่าในส่วนที่พวกนางเอ่ยวาจาดูหมื่นศิษย์หอหลอมศาสตรา ถูกนางใช้เป็นคำว่าแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแทน
หลังจากที่ฟังจบ เฝิงคุนไห่ก็ครุ่นคิดพิจารณาพลาง ตัดสินใจว่า “มีความเป็นไปได้สองทาง ความเป็นไปได้ ข้อแรกคือนี่เป็นแผนการที่เขาจงใจทิ้งไว้ เป้าหมายเพื่อให้พวกเราถูกดึงมาที่นี่ ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งคือนี่ เป็นร่องรอยการเดินทางของเขา และแน่นอนว่าตัวเขาเองยังต้องหลบซ่อนอยู่ละแวกนี้”
เมื่อเฝิงคุนไห่พูดจบเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ คล้ายกับว่ามู่ชิงเกอซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกเขา
มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เห็นสายตาเช่นนั้นของเขาแล้ว พาให้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ราวกับว่าหัวขโมยผู้ลึกลับซับซ้อนนั้นซ่อนตัวอยู่ข้างกายตนเอง “ส่งข่าวให้พวกข้างนอกรู้ด้วยว่าให้พวกเขาจับตามองอย่างเข้มงวด อย่าได้ละเลยมองผ่านไม่ว่าที่ใด” เฝิงคุนไห่สั่งลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ เขา ในแม่นํ้าไร้พรมแดนเริ่มปฏิบัติการค้นหาเพื่อจับกุมตัวอย่างเข้มงวดอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ มู่ชิงเกอก็หลบอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาต่างก็คิดไม่ถึง
ภายในห้อง มู่ชิงเกอกำลังอาบนํ้าอย่างสบายใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่แห้งสนิทเอนตัวนอนลงบนเตียง ปล่อยให้ผมที่เปียกหมาดๆ เป่าลมให้แห้ง
ตามระดับการฝึกปรือที่สูงขึ้นของนาง ห้องกระเบื้องของนางได้เปลี่ยนเป็นตำหนักหลังหนึ่งตั้งนานแล้ว
การตกแต่งภายในแม้ไม่อาจเรียกได้ว่าสีเหลืองทองอร่ามตระการตา แต่ก็เรียบหรูงดงาม
ในตอนนั้นนางกำลังจ้องมองไข่มุกราตรีบนหลังคาตำหนัก ในมือถือขลุ่ยอสูรที่แย่งมาจากไท่สื่อเกา บนพื้นข้างเตียงยังมีไข่สองฟองวางอยู่
ฟองหนึ่งเกลี้ยงเกลาไร้สีสัน ส่วนอีกฟองหนึ่งสีสันสดใสงดงาม
“หาเลย หาเลย รอพวกเจ้ายอมแพ้แล้วข้าจะจากไปอย่างผ่าเผย” มู่ชิงเกอในนํ้าเสียงฉายแววภาคภูมิใจอยู่บ้าง
หลบซ่อนอยู่ในช่องว่าง แม้ว่าจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ นางก็ยังปลอดภัย
นางไม่เชื่อว่าคนของหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ตามนางไปตลอดชีวิต
อย่างแรกเลยคือโอสถต้านพิษของพวกเขามีไม่พอ
พอถึงเวลานั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่คิดจะจากไป ไม่อยากจากไป ก็ต้องไปอยู่ดี
มู่ชิงเกอเบนสายตาไปที่ไข่สองฟองที่วางอยู่ นางลุกจากเตียงขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว มองไปที่พวกมันอ้าปากพึมพำ “พวกเจ้าทั้งสอง…”
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าไข่ที่เกลี้ยงเกลาไร้สีสันมีการเคลื่อนไหวนิดหนึ่ง
สายตาของนางหดเล็กลงทันใด พริบตาเดียวก็ลุกจากเตียงไปอยู่ตรงหน้าไข่นั้น ใช้มือกะเทาะไข่เกลี้ยงเกลาไร้สีสันเบาๆ
“นิ่ม?” มู่ชิงเกอมองดูนิ้วมือของตนเองด้วยความแปลกใจ
สัมผัสนั้นเหมือนกับกระแทกกับลูกโป่งที่อัดลมไว้แน่น
นางเบนสายตาที่ฉายแววสงสัยมายังไข่ที่มีสีสันสวยสดงดงามข้างๆ ใช้มือกะเทาะเบาๆ
“แข็ง?” ไข่ฟองนี้แข็งและเย็นเฉียบ ความรู้สึกยามที่ได้สัมผัส ต่างกับไข่เกลี้ยงเกลาไร้สีสันอย่างสิ้นเชิง มู่ชิงเกอลูบคางตัวเอง เอ่ยวิเคราะห์ขึ้นว่า “ถ้าหากระหว่างพวกเจ้ามีอันหนึ่งเป็นพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน เช่นนั้นอีกอันหนึ่งก็ต้องเป็นอสูรวิญญาณที่สำนักหมื่นอสูรต้องการน่ะสิ? ที่แท้มันคืออสูรวิญญาณ แบบไหนกันถึงสามารถดึงดูดสำนักหมื่นอสูรได้เช่นนี้?” มู่ชิงเกอหลุบตาลง
แต่ว่าคำถามเหล่านี้ตอนนั้นนางก็ไม่รู้ ต้องรอให้ของที่อยู่ในไข่สองฟองนี้ออกมาจากเปลือกเสียก่อน คำตอบจึงจะกระจ่าง
“ดูแล้ว คงทำได้แค่เพียงรอ” มู่ชิงเกอถอนหายใจ
แต่ว่ารูปลักษณ์ของพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนนี้กลับดูแปลกๆ อยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะว่าปักษาเพลิงของพญาเพลิงเมฆสุริยาเก่งกาจ แต่ไม่คิดว่าพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนกลับเป็นแค่ไข่ฟองหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นไข่นิ่ม!
เฮ้อ ไข่นิ่ม? ลักษณะเช่นนี้ดูคล้ายไม่น่าเกรงขามเท่าไร มู่ชิงเกอสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลูบจมูกเบาๆ ย้อนกลับไปที่เตียง หลับเป็นตาย ไม่ดูแลสุขภาพให้ดีจะออกไปสู้รบปรบมือกับพวกชั่วร้ายด้านนอกได้อย่างไร?
การนอนหลับของมู่ชิงเกอในครั้งนี้ นอนได้อย่างมืดฟ้ามัวดินมาก