Skip to content

พลิกปฐพี 155-3

ตอนที่ 155-3

สงครามอันโหดร้ายที่แม่นํ้าไร้พรมแดน

และความโกรธของซือมั่ว!

หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา สะบัดหัวไล่ความมึนงง ก็ร้องตะโกนเรียก “เหมิงเหมิง”

“เหมิงเหมิงอยู่นี่!”

เสียงของนางยังไม่ทันได้หายไป เหมิงเหมิงก็ออกมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้านางเสียแล้ว

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองนาง เอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไร?”

เหมิงเหมิงนับนิ้วคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “สามวันแล้ว!”

สามวัน!

มู่ชิงเกอกลอกตา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนเองจะนอนได้ถึงขนาดนั้น หลังจากที่กินผลไม้ที่อยู่ในช่องว่าง มู่ชิงเกอก็นั่งสมาธิฝึกปรืออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่รู้สึกว่าพลังงานเต็มเปี่ยม เรี่ยวแรงแผ่ซ่านแล้วจึงเรียกกระจกส่องเทพออกมาแผ่พลังวิญญาณเข้าไป

ทันใดนั้น ผิวกระจกของกระจกส่องเทพที่มัวๆ ก็ปรากฏสภาพการณ์ในแม่นํ้าไร้พรมแดน

บนแม่นํ้าไร้พรมแดน สงบนิ่งไม่เห็นเงาคน

มู่ชิงเกอค้นหาอยู่สักพัก ก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขายอมแพ้กันรวดเร็วขนาดนั้นเลยหรือ?”

คิดแล้วคิดอีก นางก็ย้อนกลับไปนึกถึงท่าทีของเผิงคุนไห่ อยากที่จะใช้กระจกส่องเทพค้นหาว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ว่า จู่ๆ ผิวของกระจกก็มัวกลับไปขุ่นเหมือนเดิม

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอนิ่งไปด้วยความประหลาดใจ หันไปมองเหมิงเหมิง

เหมิงเหมิงยักไหล่ขึ้นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “เจ้านาย แม้จะบอกว่ากระจกส่องเทพร้ายกาจเพียงใด สามารถมองเห็นได้หลายที่ แต่ว่าต่อให้ร้ายกาจเพียงไหนก็มีขีดจำกัดนะ!”

“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอมึนงง

เหมิงเหมึงเอ่ยขึ้นว่า “กระจกส่องเทพหลังจากใช้ไปห้าครั้งแล้วจำเป็นต้องสงบนิ่ง เวลาในการสงบนิ่งคาดว่าประมาณครึ่งปี!”

พรวด!

มู่ชิงเกอคล้ายกับว่าได้ยินเสียงตัวเองกระอักเลือดอยู่ภายในใจ

นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน!

ครึ่งปี? ทำไมไม่บอกสิบปีไปเลยล่ะ?

เหมิงเหมิงไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของมู่ชิงเกอ ยังคงเอ่ยต่อไปอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้านายลองนับดูว่า ตั้งแต่ได้กระจกส่องเทพมาใช้ไปห้าครั้งแล้วใช่หรือเปล่า!”

“…” มองดูท่าทางดูมีเหตุผลของเหมิงเหมิงแล้ว มู่ชิงเกอรู้สึกอึ้งไม่มีวาจาโต้ตอบ ไม่ง่ายเลยที่จะประโลมให้เลือดที่สูบฉีดภายในใจสงบลง มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองว่า “ดังนั้นหมายความว่าตอนนี้กระจกส่องเทพใช้งานไม่ได้แล้ว การใช้งานครั้งหน้าต้องรออีกครึ่งปี?”

“ถูกต้อง!” เหมิงเหมิงขานรับ

มู่ชิงเกอนำตัวนางมาอยู่ด้านหน้าอย่างไม่พูดพรํ่าทำเพลง ยื่นมือล้วงเข้าไปในถุงที่หน้าท้องของนาง “เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ เจ้านายทำอะไร?” เหมิงเหมิงใช้มือทั้งสองข้างคว้าถุงย่ามหน้าท้องของนางเป็นพัลวัน ยื้อแย่งสุดชีวิต

มู่ชิงเกอหยุดการกระทำ มองหน้านาง “ข้าจะหาดูว่าข้างในยังมีของลํ้าค่าอะไรที่สามารถใช้ได้บ้าง”

เหมิงเหมิงโกรธจนดวงตาสองข้างแดงกํ่า เม้มปาก หน้าอ้วนๆ ก็หงิกงอ “เจ้านายกลั่นแกล้งผู้คน”

มู่ชิงเกอแบมือขึ้นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าเพียงแค่อยากดูว่ายังมียุทธภัณฑ์อะไรบ้าง ที่ทำให้ข้ามองเห็นสถานการณ์ในตอนนี้”

“ไม่มีแล้ว! ไม่มีแล้ว! ไม่มีแล้วจริงๆ!” เหมิงเหมิงคว้าย่ามหน้าท้องตนเองไว้สุดชีวิต

“ให้ข้าดู ดูแวบเดียว” มู่ชิงเกอไม่เชื่อนาง จะดูเองให้ได้

บนแม่นํ้าไร้พรมแดน สารพิษสีเขียวลอยคลุ้งไปในอากาศ

บริเวณรอบๆ เงียบจนน่าประหลาด

ศิษย์สำนักหมื่นอสูรและศิษย์หอหลอมศาสตราที่ตระเวนค้นหาเหล่านั้นหายไปกันหมด

คล้ายกับว่าพวกเขายอมแพ้และออกไปจากแม่นํ้าไร้พรมแดนแล้ว

ทันใดนั้น กลางช่องว่างก็ปรากฏแสงสว่าง หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกปรากฏตัวบนแม่นํ้าไร้พรมแดน

เมื่อจิ้งจอกหิมะปรากฏตัวร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายส่วน ทำให้มู่ชิงเกอสามารถนั่งบนหลังของมันได้

อาภรณ์สีแดง การแต่งกายเช่นนี้ในแม่นํ้าไร้พรมแดน ค่อนข้างสะดุดตาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ประหลาดอะไร

เพราะว่าก่อนหน้านี้เท่าที่ได้สัมผัสกับคนของสำนักหมื่นอสูร มู่ชิงเกอก็พบว่า เสื้อผ้าของพวกเขาสีสันสดใสมาก

ยกเว้นไท่สื่อเกาที่ชอบแต่งกายแนวบัณฑิตแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ชอบแต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงสีม่วงสีสดใส

ดังนั้นครั้งนี้ นางไม่คิดจะปลอมตัวเป็นศิษย์หอหลอมศาสตราแล้ว แต่จะปล่อยหยินเฉินปลอมเป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูร

ขอเพียงไม่เจอคนสำนักหมื่นอสูร นางก็เชื่อว่าสามารถรอดสายตาศิษย์หอหลอมศาสตราไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหยินเฉินอยู่ข้างกาย หากเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นกำลังรบอีกทางหนึ่ง

“หยินเฉิน จำไว้ว่าเก็บกลิ่นอายของเจ้าให้ดี ผู้เฒ่าของสำนักหมื่นอสูรผู้นั้นประสาทจมูกว่องไว หากถูกเขาจับได้ขึ้นมา ราชาจิ้งจอกหิมะที่กำลังจะเป็นสัตว์อสูรเทวะ เกรงว่าจะได้เป็นสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นแทน” มู่ชิงเกอเอ่ยแซว

หยินเฉินมองหน้านางด้วยสายตาเหยียดหยาม “นายท่าน จงอย่าลืมว่าข้าเป็นคู่หูของท่าน ท่านเคยพูดไว้”

“แน่นอน แน่นอน ข้าไม่ทิ้งเจ้าหรอก!” มู่ชิงเกอระบายยิ้มปลอบ ยื่นมือไปเกาขนคอด้านหลังของหยินเฉิน

หยินเฉินสะบัดหัวด้วยความไม่ชิน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน

มู่ชิงเกอตบหัวหยินเฉินเบาๆ เอ่ยกับมันว่า “ไปเถอะ พวกเราออกไปดูข้างนอกกัน”

กระจกส่องเทพใช้การไม่ได้แล้ว ก็ทำได้เพียงออกมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง

แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือคนสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราปล่อยวางการตามจับตัวนาง และออกไปจากแม่นํ้าไร้พรมแดน

มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนหลังของหยินเฉิน มุ่งออกไปด้านนอกของแม่นํ้าไร้พรมแดน ระหว่างทางไม่พบใครสักคน!

เดินมาได้หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน พวกเขาก็เข้าใกล้ด้านนอกของแม่นํ้าไร้พรมแดน

หยินเฉินก้าวเท้าช้าลง มู่ชิงเกอขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญ “พวกเขาไปกันแล้วจริงๆ หรือ?” ยอมแพ้อย่างง่าย ดายขนาดนั้น ทำให้นางรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ

“นายท่าน ไม่ถูกต้อง!” จู่ๆ หยินเฉินก็หยุดชะงักเท้า ขบฟันอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือ

ขนคอข้างหลังของมันตั้งชัน ราวกับเข็มเงินที่แหลมคมอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสองข้างของมู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่ลง ที่จริงนางเองก็รู้สึกว่าบริเวณรอบๆ มีอะไรไม่ถูกต้อง ที่นี่เงียบสงบเกินไปจริงๆ เงียบสงบจนพาให้แปลกประหลาดใจ…

“ออกมาเถอะ” มู่ชิงเกอหรี่ตาลงขณะเอ่ยปาก พอนางพูดจบ ก็มีกลุ่มคนปรากฏตัวออกมาจากรอบด้าน คนเหล่านี้มีทั้งสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตรา

แม้กระทั่งเฮยมู่จากสำนักหมื่นอสูร จินกุ้ยและเฝิงคุนไห่จากหอหลอมศาสตราก็อยู่ในนี้ด้วย

สายตาเกือบร้อยคู่จ้องมองนางดั่งราชสีห์จ้องตะครุบเหยื่อ ราวกับมองเหยื่อที่ติดอยู่ในกับดัก

มู่ชิงเกอไม่เห็นไท่สื่อเกาอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ ดูอาการแล้วแม้เขาจะยังไม่ตายแต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่เบาทีเดียว คงจะถูกส่งกลับไปรักษาตัวที่สำนัก

เมื่อเฮยมู่ปรากฏตัวก็จ้องดูหยินเฉินที่มู่ชิงเกอขี่อยู่ด้วยสายตาที่เจือประกายความโลภ

ส่วนจินกุ้ยมองนางด้วยสายตาแฝงความอาฆาตแค้น ใช้นํ้าเสียงดุดันโหดเหี้ยมเอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที!”

เฝิงคุนไห่ยืนขึ้นมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ส่งของที่เจ้าได้จากข้างในออกมา บางทีพวกข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้งหนึ่ง”

มู่ชิงเกอหัวเราะด้วยความขบขัน “ผู้อาวุโสเฝิง ท่านคิดว่าคำพูดที่ท่านกล่าวเชื่อได้หรือ?”

เฝิงคุนไห่สายตาดุดันแฝงความเยือกเย็น แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ

ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่ชิงเกอสังหารติงเหม่า ทำร้ายนายน้อยสำนักหมื่นอสูร แม้ว่านางจะไม่ได้ฆ่าใคร วันนี้ก็ไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ คำพูดเมื่อกี้เป็นเพียงการพูดหลอกลวงเท่านั้นเอง

“แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงสามารถขี่สัตว์อสูร?” เฮยมู่ก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว เอ่ยถามขึ้น

ดวงตาทั้งสองของเขาจ้องไปที่หยินเฉินตาเขม็ง

คล้ายกลับกลัวว่ามันจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตา

ในหลินชวนทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าผู้ที่สามารถขี่สัตว์อสูรได้มีเพียงคนของสำนักหมื่นอสูรเท่านั้น มีบ้างที่พวกมีอำนาจจะเลี้ยงอสูรวิญญาณ แต่นั้นก็ต้องเป็นคนที่จ่ายหนักเชิญคนของสำนักหมื่นอสูรมาฝึกสอน

แต่มู่ชิงเกอกลับขี่ราชาจิ้งจอกหิมะปรากฏตัว ยิ่งไปกว่านั้นคือจากลักษณะของราชาจิ้งจอกหิมะแล้วไม่มีกลิ่นอายของการเชื่องหลังจากฝึกหัด คล้ายกับว่ามันไม่ต้องอาศัยคำสั่งของเจ้านายในการต่อสู้ แต่ใช้สัญชาตญาณของตนเองล้วนๆ

ในจุดนี้คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่เฮยมู่ในฐานะผู้อาวุโสสำนักหอหมื่นอสูรสามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย และก็เป็นเพราะว่ามองออกในจุดนี้ได้ เขาถึงได้รู้สึกสน ใจหยินเฉินถึงเพียงนี้ ผู้ที่มีอสูรวิญญาณในครอบครองย่อมไม่ใช่คนธรรมดา จุดนี้ในใจของเฮยมู่มีจุดยืนที่ชัดเจน ดังนั้นจึงต้องการถามให้รู้ที่มาที่ไปของมู่ชิงเกอเสียก่อน

ความหมายของเขาไม่มีปิดบัง

ขอเพียงแค่เป็นคนที่พอมีสมองอยู่บ้างต่างก็ฟังเข้าใจ แต่ว่าไม่ทันรอให้มู่ชิงเกอตอบคำถาม จินกุ้ยก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียก่อน “เหอะ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร สังหารลูกศิษย์ของข้า วันนี้เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”

พอพูดจบไม่รอปฏิกิริยาจากผู้อื่น เขาก็ปล่อยลำแสงสีนํ้าเงินอมม่วงแฝงพลังแห่งการลำลายล้างโจมตีใส่มู่ชิงเกอ

พอเขาลงมือ เฝิงคุนไห่ก็ไม่อาจดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ

เขาคว้าอาวุธของตนเองออกมาพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอ เมื่อสองผู้อาวุโสของหอหลอมศาสตราออกโรงแล้ว ศิษย์หอหลอมศาสตราที่เหลือก็เป็นดังผึ้งแตกรังล้อมมู่ชิงเกอไว้แน่นหนา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version