Skip to content

พลิกปฐพี 160-2

ตอนที่ 160-2

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ รอเจ้าอยู่นะ ปล่อยชายผู้นั้นซะ

เมื่อรั้งหยินเฉินไม่ให้จากไปได้แล้ว มู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้น เหล่ตามองซางจื่อซูแวบหนึ่งก่อนจะนำสายตาไปหยุดลงบนทะเลแห่งความอ้างว้าง

สายนํ้าในทะเลแห่งความอ้างว้างราวกับตกลงมาจากบนฟากฟ้า แสงดาวที่พร่างพรมเหล่านั้นกระจัดกระจายท่ามกลางแสงสีนํ้าเงิน แลสวยงามและลึกลับน่าค้นหา ดูอยู่นานจนซางจื่อซูอดใจไม่ไหวยื่นมือออกไป หมายจะให้มือไปสัมผัสกับแสงที่เปล่งประกายลงมาจากฟากฟ้า แต่ว่าในขณะที่มือของนางยื่นออกไปถึงส่วนกราบเรือ ก็ถูกมู่ชิงเกอจับไว้แน่นก่อนจะดึงกลับเข้ามา

ซางจื่อซูมองมู่ชิงเกอด้วยความประหลาดใจ

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า “ท่ามกลางทะเลแห่งความอ้างว้าง มีสิ่งลึกลับอยู่มากมายที่สามารถทำให้คนเกิดภาพหลอน ที่พวกเราไม่เป็นอะไร นั่นเพราะบนเรือมีหยินเฉินปกป้องอยู่ หากศิษย์พี่หญิงยื่นมือออกไป ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่าเสี่ยงเลยดีกว่า”

ขนตาของซางจื่อซูสั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยขึ้นแผ่วเบา “เป็นข้าประมาทเอง” สายตาของนางหลุบมองบนมือที่ประสานเข้าด้วยกันของทั้งสอง มีอาการเก้อเขินเล็กน้อย มู่ชิงเกอมองตามสายตาของนางรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนใจว่า “ขออภัย”

มืออ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกตกลงมากลางอากาศ ซางจื่อซูหลุบตาลงตํ่าซ่อนความรู้สึกผิดหวังเล็กๆ นางส่ายหน้าก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร”

ภาพที่ทั้งสองยืนอยู่บนหัวเรืออยู่ในสายตาของมั่วหยาง ที่ยืนอยู่หลังเสากระโดงเรือ เครื่องหน้าเขาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึก

กลับกันองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เดินมาข้างหลังนายหนึ่ง มองภาพเบื้องหน้าแล้วเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่ว่า “เสน่ห์คุณชายน้อยของพวกเราช่างไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ สอนทักษะชายชาตรีพวกนี้ให้พวกข้าบ้างก็ได้นะ!”

มั่วหยางหันกลับมามองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น

เขารีบยืดตัวขึ้นเก็บสีหน้าท่าทางรอยยิ้มยินดีปรีดา

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดจาไร้สาระอีกต่อไป มั่วหยางก็ค่อยๆ ละสายตาไปช้าๆ

จากนั้น องครักษ์เขี้ยวมังกรนายนี้กลับเอ่ยหยั่งเชิงอย่างไม่กลัวตายว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงจริงจังเพียงนี้? คงมิใช่ว่าวันคืนที่รู้จักกันระยะเพียงเท่านี้ท่านชอบแม่นางซูเข้าแล้ว?”

“คันผิวใช่หรือไม่?” มั่วหยางเอ่ยถามเสียงเย็นชา

ดวงตาคู่หนึ่งคมราวมีดปรายตามอง

องครักษ์เขี้ยวมังกรผู้ไม่กลัวตายนายนี้ยอมแพ้ ยิ้มหยอกเย้าล่าถอยไปในทันที

ตอนนี้มั่วหยางอยู่ในระดับพลังสีนํ้าเงินขั้นต้น ส่วนพวกเขาเป็นเพียงระดับพลังสีครามขั้นสูง จะไม่รู้จักเจียมตน แล้วไปหาเรื่องใส่ตัวได้อย่างไร?

หลังจากที่องครักษ์เขี้ยวมังกรนายนั้นล่าถอยไปแล้ว มั่วหยางถึงได้เบนสายตากลับไปมองหัวเรืออีกครั้ง

หากว่าในตอนนี้มีคนสังเกตสายตาของเขาก็จะพบว่า แท้จริงแล้วเขามองคนเพียงคนเดียวเท่านั้น…

‘สิ่งที่ไม่ควรคาดหวัง ก็ไม่ต้องไปคิด มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าตำแหน่งในตอนนี้ก็ไม่มีทางถือครอง จะมองนางเช่นในตอนนี้ได้อยู่หรือ?’ มั่วหยางบอกกับตนเองในใจสามรอบ ถึงละสายตาหมุนตัวเดินจากไป

ส่วนหัวเรือ พูดไม่ถูกว่าเป็นซางจื่อซูอยู่เป็นเพื่อนมู่ชิงเกอ หรือมู่ชิงเกออยู่เป็นเพื่อนซางจื่อซู ยืนอยู่เป็นชั่วยาม ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกลับห้องตัวเอง

หยินเฉินยังคงอยู่ที่หัวเรือต่อ ทำหน้าที่ของตนเองต่อไป

ห้องของมู่ชิงเกอย่อมต้องดีกว่าเรือยักษ์จากเมืองมู่เฉิง มุ่งหน้าไปโรงโอสถกลางอยู่มาก ต่อให้เรือลำนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่ด้วยฐานะของนางย่อมได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด

นี้ไม่ใช่นางร้องขอแต่เป็นมั่วหยางที่ตระเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนที่สร้างเรือลำนี้

นอกจากห้องของนางแล้ว ซางจื่อซูที่เป็นแขกย่อมต้องได้รับของดีๆ กลับกันมั่วหยางและบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรเป็นเพียงห้องเรียบง่าย ไม่ได้ประดับตกแต่งอะไรมากนัก

ภายในห้องที่โอ่อ่ากว้างขวาง ทั้งสะอาดและสะดวกสบายนัก มู่ชิงเกอเอนตัวลงนอนบนเตียงของนาง

ที่จริงแล้ว นางยังไม่ง่วง

หลังจากที่คุยกับหยินเฉิน นางก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ

คราวก่อนหยินเฉินใช้แดนมายาให้นางกลับไปชาติก่อน กลับไปยังโลก ไม่รู้ว่าทะเลแห่งความอ้างว้างจะได้ผลเหมือนกันหรือไม่?

อีกอย่าง นางรู้สึกว่านางมองจิตใจตัวเองทะลุปรุโปร่งมาโดยตลอด แต่ว่าระยะนี้นั้นนางกลับพบว่ามีบางอย่างที่ดูแล้วไม่เข้าใจ เห็นไม่ชัด

คล้ายกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังอยู่นอกเหนือการควบคุมของนาง

นางจำเป็นต้องรู้ให้ได้โดยเร็วว่าคืออะไร จากนั้นควบคุมมันให้อยู่ในกำมืออีกครั้ง!

คล้ายกับว่ามู่ชิงเกอหาเหตุผลที่ดีให้กับตนเอง

นางลุกขึ้นนั่งเอ่ยเรียกหยินเฉินในใจ “หยินเฉิน หยินเฉิน” นางกับหยินเฉินมีพันธะสัญญาอยู่กับตัว แม้จะอยู่ห่างไกลกัน ก็ยังสามารถติดต่อกันได้นับประสาอะไรกับอาศัยอยู่บนเรือลำเดียวกัน

เพียงไม่นานหยินเฉินก็ตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว “นายท่าน?”

“หยินเฉิน ข้าอยากจะสัมผัสภาพมายาของทะเลแห่งความอ้างว้าง หากสถานการณ์ไม่สู้ดี เจ้าค่อยดึงข้ากลับมา” มู่ชิงเกอเอ่ยบอกตามตรง

“นายท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่?”หยินเฉินขมวดคิ้ว คล้ายกับว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ แต่ก็ไม่คิดที่จะขัดขวางความตั้งใจของนาง

“อีม ลองดูไม่เสียหาย” มู่ชิงเกอพยักหน้าขณะเอ่ยขึ้น

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอตัดสินใจไปแล้วหยินเฉินก็ไม่ได้เอ่ยเตือนอีกต่อไป

นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่มันจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะปล่อยให้พลังของทะเลแห่งความอ้างว้างเข้ามานิดหนึ่ง นายท่านรออยู่ในห้องก็พอ”

ทันใดนั้นในฝ่ามือของมู่ชิงเกอก็มีขนจิ้งจอกสีทองอยู่จำนวนหนึ่ง

เสียงของหยินเฉินแว่วมาอีกครั้ง “หากนายท่านสามารถออกมาจากภาพจินตนาการได้เอง จะมีประโยชน์ต่อการรับรู้ทางจิตวิญญาณมาก แต่หากถูกกักขังอยู่ด้านในก็ให้ปล่อยเส้นขนในมือออก แล้วข้าจะพานายท่านออกมาเอง”

“ตามนั้น” มู่ชิงเกอกำเส้นขนในมือไว้แน่น

ด้านหัวเรือหยินเฉินหลับตาลงทั้งสองข้าง อักขระตรงหัวใจของมันเปล่งแสงสีทองป้องกันปีศาจออกมา

ด้านนอกเรือค่อยๆ ปรากฏเกราะแสงสีทองขึ้นช้าๆ ด้านนอกเกราะนั้นมีแสงดาวมากมายที่ต้องการจะแทรกเข้ามาถูกกันไว้ด้านนอก

ทันใดนั้น เกราะแสงก็ปรากฏรอยแยกนิดหนึ่ง มีแสงดาวบางส่วนถือโอกาสเบียดเข้าไป

หลังจากนั้น เกราะแสงก็กลับเป็นปกติ หายลับไปไม่มีผู้ใดหาพบอีก

ส่วนแสงดาวที่แทรกเข้ามากลับถูกหยินเฉินส่งไปที่ห้องของมู่ชิงเกอ

แสงดาวสีนํ้าเงินลอยละลิ่วพลิ้วไหวราวกับริบบิ้นเข้าไปในห้องมู่ชิงเกอ เข้าไปตรงปลายจมูกของนางภายใต้การจดจ้องของมู่ชิงเกอ

แม้ว่ามู่ชิงเกอจะมีการเตรียมพร้อมไว้แต่แรก แต่ก็รู้สึกสะท้านไปทั่วร่าง

ไม่นานดวงตาทั้งสองข้างของนางก็ปรากฏท่าทางเลื่อนลอย ร่างกายค่อยๆ ล้มตัวลงไปด้านหลัง ตกลงไปในห้วงมิติ ตาทั้งสองข้างปิดสนิท

มู่ชิงเกอรู้สึกราวกับว่าตนเองล่องลอยอยู่ท่ามกลางแสงดาว บริเวณรอบๆ มืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด แสงดาวที่ทอประกายเหล่านั้นดึงดูดให้นางไล่ตามไปข้างหน้า

นางรู้สึกว่าร่างกายตนเองเปลี่ยนไปเบาหวิวราวกับว่าวลอยไปตามแรงลม

แต่ว่านางกลับสามารถควบคุมทิศทางของตนเองบินตามแสงดาวเหล่านั้นไปได้

‘นี่คือภาพจินตนาการของทะเลแห่งความอ้างว้างหรือ?’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ

บินไปได้สักระยะ มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามตนเองในใจว่า “เรื่องที่อึดอัดอยู่ในใจของข้ามีหรือไม่?”

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงการโจมตีที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วง พาให้ร่างกายของนางตกลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

นางอ้าปากด้วยความตื่นตระหนกแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออกเลยสักนิด

จากนั้นภาพเบื้องหน้าก็พร่ามัวกลายเป็นภาพพื้นสีดำ ท่ามกลางความไม่ชัดเจนพร่าเบลอ มู่ชิงเกอก็ไม่รู้ว่าตนเองสลบไปนานแค่ไหน บางทีอาจเพียงแค่ชั่วครู่ อาจเป็นวันหนึ่ง หรืออาจเป็นปีหนึ่งก็เป็นได้

คล้ายกับว่า เวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญ เมื่อค่อยๆ ขึ้นคืนสติขึ้นมา มู่ชิงเกอก็ลืมตาขยับเปลือกตาที่หนักอึ้ง

สายตาจากพร่ามัวก็เปลี่ยนแปลงเป็นกระจ่างใส ทิวทัศน์ช่างดูคุ้นเคย คุ้ยเคยจนนางจำได้ในแวบแรกที่เห็น

“จวนตระกูลมู่!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version