Skip to content

พลิกปฐพี 161-2

ตอนที่ 161-2

ฮ่องเต้หญิงเลือกสามีได้เอาแต่ใจนัก!

คนที่ล้อมมุงดูอยู่รอบทิศก็พากันรู้สึกเลื่อมใสขึ้นในใจ ใครกันที่อาจหาญถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าท้าทายต่อหน้าฮ่องเต้หญิง! ยังคิดจะอยากมีชีวิตเดินออกไปจากแคว้นกู่วู่อยู่หรือไม่?

พวกทหารแต่เดิมที่เตรียมจะกรูกันขึ้นไป ก็พากันนิ่งชะงักอยู่กับที่

เงาร่างบนยอดหอคอยค่อยๆ ทอดสายตามา ก่อนที่สายตาจะตกลงไปยังชุดสีแดงเข้ารูปที่ค่อยๆเดินออกมาจากฝูงชน

องครักษ์เขี้ยวมังกรห้อมล้อมมู่ชิงเกอเดินออกมา ซางจื่อซูก็ตามติดนางอยู่ด้านหลัง ชั่วขณะนั้น สายตาของคนทั้งหมดในจัตุรัสก็พากันร่วงตกลงไปที่ตัวของพวกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนร่างของมู่ชิงเกอ ก็ดูจะมากเป็นพิเศษ

ถึงจะไม่มีใครบอกพวกเขา พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่า คนผู้นั้นที่กล่าวท้าทายกับฮ่องเต้หญิง ก็จะต้องเป็นชายหนุ่มหน้าตางดงามในชุดสีแดงผู้นี้!

รอจนมู่ชิงเกอเดินเข้ามาในจัตุรัสแล้ว ใบหน้าของนางก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น

ชั่วขณะนั้น รอบด้านก็พากันดังขึ้นมาด้วยเสียงสูดลมหายใจ

ถึงแม้ว่าตัวของพวกเขาจะอยู่ที่แคว้นกู่วู่ซึ่งในแคว้นมีแต่ชายหญิงหน้าตาดี แต่พวกเขาก็ยังคงถูกรูปลักษณ์ของมู่ชิงเกอทำเอาตกตะลึง

โครงหน้าชั้นเลิศอันหาที่ติไม่ได้ ความงดงามอันลึกลํ้า ท่าทางองอาจห้าวหาญนั้น ขอแค่เพียงได้มองแค่สายตาเดียวก็ล้วนแต่เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น

“ชิงเกอ เจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” มู่เหลียนหรงมองไปยังคนที่เดินมาทางนางอย่างตื่นตะลึง

ถึงกับปล่อยมือของเซวียเฉียวออก สาวเท้ายาวๆ ไปทางมู่ชิงเกอ

ในตอนที่นางเห็นเข้ากับซางจื่อซูที่อยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ ท่าทีของนางก็ดูนิ่งชะงักไปเล็กน้อย แววสงสัยปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนเลือนหายไป แต่จริงๆ แล้ว นางกำลังบ่นขึ้นในใจ ทำไมทุกๆ ครั้งที่หลานสาวของนางปรากฏตัว ข้างกายของนางก็จะต้องมีเด็กสาวที่ไม่ซํ้าหน้าติดมาด้วยอยู่ตลอดกัน

ถ้าหากมู่ชิงเกอเป็นผู้ชายจริงๆ ก็ช่างมันเถอะ แต่ปัญหาก็คือนางนั้นเป็นผู้หญิง! ผู้หญิงตัวเป็นๆ!

มู่เหลียนหรงก็พลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นรางๆ หลังจากนางมาถึงแคว้นกู่วู่แล้วก็ค้นพบว่าคนของที่นี่สำหรับเรื่องความรักแล้วก็เหมือนกับว่าจะค่อนข้างเปิดกว้างนัก สามารถทำได้ถึงขั้นไม่แบ่งแยกชายหญิง มองข้ามเผ่าพันธุ์และอายุ นางก็เคยเห็นมากับตาว่ามีหญิงสาวสองคนของแคว้นกู่วู่เดินกอดกันไปมาตรงกลางถนน นางก็กลัวว่า หลานสาวของตนจะแต่งเป็นผู้ชายจนชิน แล้วลืมเพศที่แท้จริงของตนเองไป

ความกังวลพวกนี้ก็เป็นแค่ความกังวลที่เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวในความคิดของมู่เหลียนหรง ตอนที่นางเดินไปถึงด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ฝ่ายหลังเพิ่งจะเรียกนางว่า ‘อาหญิง’ ได้ไม่ทันไร เสียงของฮ่องเต้หญิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าก็เป็นใครอีกกัน? ก็มาเพื่อสตรีนางนี้เช่นนั้นรึ?”

ยังไม่ทันได้กล่าวทักทายกับอาหญิง มู่ชิงเกอหันกายมองไปทางยอดหอคอย ยกมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มอันตราย “ฝ่าบาท ท่านปีนี้อายุเท่าไรกัน? ถ้าหากอายุมากแล้วก็ยังถือว่าพอรับได้ แต่ถ้าหากอายุยังน้อยแล้วฟังคำพูดคนไม่ชัด นั่นก็ต้องไปให้หมอดูอาการโดยเร็วแล้ว ท่านไม่ได้ยินข้าเรียนางว่าอาหญิงหรืออย่างไร?”

ซู๊ด—–!

“เจ้าเด็กนี่โผล่มาจากที่ไหนกัน? เบื่อชีวิตที่ยืนยาวหรือยังไง? ถึงกลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับฮ่องเต้หญิง!”

“เจ้าก็ไม่ได้ฟังที่เขาพูดรึ ที่เรียกหญิงนางนั้นว่าอาหญิง? คาดว่าคงเพราะเห็นผู้อาวุโสถูกรังแก ดังนั้นก็เลยอดไม่ได้ที่จะออกมาออกหน้า ก็ช่างตรงกับสำนวน วัวแรกเกิดไม่เกรงกลัวพยัคฆ์ ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราว!”

“นิสัยเช่นนั้นหากโดนรังแกแม้แต่นิดเดียวก็จะต้องไปทวงแค้น จะยอมโดนกระทบกระทงสักนิดก็ไม่ได้”

“พวกเจ้าก็เงียบก่อนเถอะ! ไม่เห็นรึไงว่าฮ่องเต้หญิงจะออกคำสั่งจับคนแล้ว? ยังจะกล่าวเรื่องนิสัยอะไรกัน”

รอบด้านพากันอื้ออึงขึ้น

เซวียเฉียวตอนนี้ก็เดินเข้ามา ถามไปทางมู่เหลียนหรง “พี่หรง ผู้นี้คือ…”

“เขาเป็นหลาน…ชาย ของข้า” มู่เหลียนหรงแต่เดิมอยากจะพูดว่าหลานสาว แต่ว่าพอคำพูดขยับมาถึงปากกลับต้องฝืนเปลี่ยนจากคำว่า ‘สาว’ กลายเป็น ‘ชาย’

เซวียเฉียวก็พลันเข้าใจขึ้นมา เขาเร่งกล่าวไปทางมู่ชิงเกอ “หลานชายตระกูลมู่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะรั้งอยู่นานได้ เจ้ารีบพาอาหญิงของเจ้าหนีไป”

มู่ชิงเกอกลอกตาไปมา ก่อนจะมองไปทางเขาหนหนึ่ง กล่าวว่าด้วยรอยยิ้มจางๆ “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลอันใด”

พอกล่าวจบนางก็หันมองไปทางยอดหอคอย

“หึ ปากคอเราะร้าย เจ้าอยากจะยั่วโมโหข้าผู้เป็นฮ่องเต้หญิงรึ?” บนยอดหอคอยมีเสียงดังสะท้อนลงมา

“อย่าได้มัวแต่หลงตัวเองอยู่เลย? จะสู้ก็ลงมาสู้เถอะ” มู่ชิงเกอแคะขี้หูพลางกล่าวขึ้น

“บังอาจ!” ฮ่องเต้หญิงพลันตวาดคำรามขึ้น

ทหารของแคว้นกู่วู่ด้านล่างจัตุรัสทันใดนั้นก็วาดปลายหอกโครงกระดูกมาทางพวกนาง

มู่ชิงเกอยกยิ้มที่มุมปาก ท่าทางไม่สนใจแม้แต่น้อย

นางก็ไม่ได้รู้สึกสนใจจริงๆ ถึงแม้ว่าแคว้นกู่วู่จะค่อนข้างลึกลับ แต่จากที่นี่พาคนออกไปสองคนนางก็ยังมีหนทางอยู่ อย่าได้ลืมว่านางที่ด้านนอกของแคว้นกู่วู่ยังมี กองทหารพันเพลิงหนึ่งแสนนายกับหน่วยองครักษ์เขี้ยวมังกรอีกห้าร้อยนาย คนของแคว้นกู่วู่ไม่ธรรมดา แล้วคนของนางนั้นธรรมดางั้นรึ?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแคว้นกู่วู่ก็มีประชากรเพียงไม่กี่พันคน ต่อให้แต่ละคนจับดาบ แต่หนึ่งคนรับมือกับคนหนึ่งร้อยคน ก็ยังถือว่าเอาชนะได้อยู่รึ!

“ถือดีขนาดนี้ ข้าก็จะขอดูเสียหน่อยว่าเจ้าจะเก่งแต่ปากหรือว่าจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ!” ฮ่องเต้หญิงพอกล่าวจบ เงาร่างก็พลันกลายเป็นเงาไหววูบสาย หนึ่ง พุ่งลงมาจากยอดหอคอย

นางทะยานไปบนอากาศ พุ่งโจมตีมาทางมู่ชิงเกอ ท่วงท่านั้นก็รวดเร็วเสียจนไม่อาจคว้าจับเงาร่างของนางได้ทัน

เซวียเฉียวก็คุ้มกันมู่เหลียนหรงก้าวถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่ในขณะเดียวกันฮ่องเต้หญิงก็โจมตีมาถึงด้านหน้าของมู่ชิงเกอแล้ว

เขาในใจตกตะลึง คิดอยากจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่กลับค้นพบว่าสีหน้าของมู่ชิงเกอก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย รอยยิ้มหยอกเย้านั่นก็ยังคงจ้องมองไปทางฮ่องเต้หญิงของแคว้นกู่วู่อย่างดูแคลน

นัยน์ตาสีทองของฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่กลายเป็นดุดันขึ้นมา เล็บบนนิ้วมือก็พลันกลายเป็นใบมีดแหลมคม พุ่งคว้ามาที่หัวของนาง แต่ว่าในตอนที่นางจะจับได้อยู่นั้น กลับคว้าได้แต่เพียงความว่างเปล่า เงาร่างของมู่ชิงเกอตรงหน้านางก็พลัน แตกสลายหายไป

“ข้าอยู่ที่นี่”

เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง

ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าข้อเท้ากลายเป็นแน่นขึ้น เหมือนกับว่าถูกคนจับรั้งเอาไว้

ร่างกายของนางเปลี่ยนจากเงามายากลับกลายเป็นร่างเดิม ทั้งยังลอยค้างอยู่ในท่าพุ่งทะยาน อาภรณ์ผืนบางบนร่างยังคงพลิ้วไหว เรือนร่างสมส่วนได้รูป

นางที่หันมองกลับไปก็ค้นพบว่ามู่ชิงเกอมาปรากฏตัวที่ด้านหลังของนางตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ มือข้างหนึ่งไขว้ไว้ด้านหลัง มืออีกข้างหนึ่งจับไปที่ข้อเท้าของนาง

นางซ้อนสายตามองไป พอดีกับมู่ชิงเกอที่กำลังจ้องมองมาที่นาง

แววตาเย้ยหยันก็ทำเอาในนัยน์ตาสีทองของฮ่องเต้หญิง พลันลุกโชนไปด้วยไฟโกรธ นางพลิกตัวกลางอากาศ ข้อเท้าที่ถูกคว้าจับเอาไว้เปล่งแสงสีทองออกมา ก่อนปรากฏเป็นเกล็ดงูขึ้นมาผืนหนึ่ง แหลมคมดุจใบมีดก็ไม่ปานพุ่งแทงไปทางฝ่ามือของมู่ชิงเกอ

ชิงเกอระวัง!” มู่เหลียนหรงร้องเรียกขึ้นอย่างกังวลใจ

“พี่หรงอย่ากลัว หลานชายของท่านผู้นี้ก็ร้ายกาจนัก!” เซวียเฉียวกล่าวปลอบโยนขึ้นข้างกายนางเสียงแผ่วเบา ในตอนที่ข้อเท้าของฮ่องเต้หญิงเกิดการเปลี่ยนแปลง

มือของมู่ชิงเกอก็ได้คลายออกไปแล้ว เกล็ดงูพวกนั้นก็ไม่ได้ทำร้ายโดนนาง มือข้างขวาที่ไขว้อยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอก็พลันยื่นออกจับขาอีกข้างของฮ่องเต้หญิงเอาไว้ ก่อนที่มือซ้ายจะเล็งคว้าไปที่เกล็ดแผ่นนั้น ดึงมันออก

“อ๊า—–!” ฮ่องเต้หญิงร้องขึ้นเสียงเจ็บปวด

ในมือของมู่ชิงเกอถือเอาไว้ด้วยเกล็ดเปื้อนเลือดแผ่นหนึ่ง

“เจ้า! เจ้ารู้จักรักหยกถนอมบุปผาบ้างรึไม่?” ฮ่องเต้หญิงชี้หน้าด่าด้วยความโกรธ

มู่ชิงเกอกลับยิ้มหยันขึ้น “เจ้าเป็นฮ่องเต้หญิง เจ้าอยากจะฆ่าข้า”

ความนัยของวาจาก็คือนางไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องถนอมบุปผา

“เจ้า! เจ้าคนสารเลว!” ฮ่องเต้หญิงผู้องอาจดุดัน อยู่ๆ ก็กลายเป็นเหมือนเด็กสาวที่กำลังงอแงเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงของนิสัยอย่างกะทันหัน เช่นนี้ ก็ทำเอาฝูงชนที่มุงดูพากัน ‘งงงวย’ ยิ่งนัก!

ฮ่องเต้หญิงง้างเท้าขึ้น ก่อนจะวาดไปทางหัวของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอหลบไปด้านหลังช่วงหนึ่ง หลบออกไปได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะจับพาฮ่องเต้หญิงพลิกหมุนไปกลางอากาศอย่างสง่างามสายหนึ่ง

นางจับอยู่ที่ข้อเท้าของฮ่องเต้หญิง ยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “ถ้าชอบเล่นเช่นนี้ ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเสียหน่อย” พอกล่าวจบ นางก็ออกแรงวาดออกไป ลากดึงฮ่องเต้ หญิงให้หมุนเป็นวง

“อ๊า—–! อ๊า—–อ๊า—–! ปล่อยข้า—–!” ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ร้องขึ้นเสียงแหลม

แต่มู่ชิงเกอกลับทำเป็นไม่ได้ยิน ยิ่งหมุนยิ่งเร็วขึ้น ร่างของทั้งสองคนอยู่ที่กลางอากาศก็เหลือแต่เพียงเงาภาพเลือนรางวูบไหวไปมา

จริงแล้วๆ มู่ชิงเกอที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างมาตั้งนาน ก็ได้ฟังออกแล้วว่า เซวียเฉียวสำหรับฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ผู้นี้ก็ไม่ได้มีความรู้สึกรักแต่อย่างใด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการชอบพอ แต่เพราะอะไรถึงบีบคั้นให้แต่งงานด้วยนั้น คาดว่าก็คงจะเป็นอย่างที่นางพูด ใครใช้ให้เซวียเฉียวชนะการประลองที่ใช้ในการเลือกหาพระสวามีกันเล่า?

ต่อจากนั้น พอเห็นการตัดสินใจของเขา บวกกับมู่เหลียนหรงที่อยู่ข้างกาย ถึงได้เกิดความคิดสนุกขึ้นมา

แกล้งทำเป็นลองเชิงหรือบางทีอาจจะคิดพิเรนทร์อยากกลั่นแกล้งทั้งสองคน

ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากตอนที่นางให้เซวียเฉียวได้เลือกและกล่าวถึงคำว่า ‘ตาย’ แล้ว ก็ล้วนแต่ไม่มีคำพูดบีบคั้นอื่นใดอีก

แม้แต่ในช่วงหลัง นางก็เพียงแค่สั่งให้คนจับพวกเขาเข้าไปในวัง ไม่ได้มีคำสั่งประหารแต่อย่างใด

ดังนั้น มู่ชิงเกอถึงได้คาดเดาจิตใจของนางได้

แต่ที่นางเดินออกมากล่าวโต้เถียง ก็แน่นอนว่าเหมือนกับที่ผู้คนเข้าใจกัน ต้องการกู้หน้าให้อาหญิงของตน และก็ยังมีอยู่อีกจุดหนึ่ง ก็คืออยากให้ฮ่องเต้หญิงที่มี นิสัยขี้เล่นผู้นี้ได้ลองถูกคนอื่นหยอกเย้าดูบ้าง

นางจะไปล้อเล่นกับคนอื่นมู่ชิงเกอนั้นไม่สนใจ แต่ว่าอย่าได้มาล้อเล่นกับคนในครอบครัวของนาง!

“อ๊า อ๊า อ๊า—–! ปล่อยข้า—–!”

“ฝ่าบาท!”

“ฝ่าบาท!รีบปล่อยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!” ทันใดนั้นเอง ในวังก็พุ่งออกมาด้วยขุนนางหญิงจำนวนหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าท่าทางกังวลใจ

คำพูดของพวกนางพอจบลงก็สัมผัสได้ว่ามีของหนักๆ กำลังพุ่งลอยมาทางพวกนาง ไม่กี่คนนั้นเร่งรีบยื่นมือออกไปรับ ในที่สุดก็สามารถรับร่างของฮ่องเต้หญิงเอา ไว้ได้ แต่ก็พาเอาพวกนางไม่กี่คนล้มกลิ้งลงไปด้วย

พวกทหารที่อยู่บนจัตุรัส ก่อนหน้าเพราะกังวลที่ฮ่องเต้หญิงยังอยู่ในมือของมู่ชิงเกอ ก็เลยไม่กล้าทำอะไรหุนหัน

แต่มาตอนนี้ฮ่องเต้หญิงก็ได้หลุดพ้นจากอันตรายแล้ว พวกเขาก็พลันวาดหอกโครงกระดูกกรูกันออกไป พุ่งเข้าไปล้อมพวกของมู่ชิงเกอเอาไว้

“ศิษย์น้องมู่ เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” ซางจื่อซูกล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างกังวล

มู่เหลียนหรงกับเซวียเฉียวก็เดินมาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ มั่วหยางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรล้อมอยู่รอบนอกของพวกเขา คุ้มกันพวกเขาเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา ชักอาวุธออกมาเผชิญหน้ากับทหารของแคว้นกู่วู่

“ข้าไม่เป็นไร” มู่ชิงเกอตอบคำถามของซางจื่อซู พร้อมกับส่ายหน้ายิ้มๆ ไปทางสายตากังวลใจของอาหญิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version