ตอนที่ 161-3
ฮ่องเต้หญิงเลือกสามีได้เอาแต่ใจนัก!
“พวกเจ้าถอยไปให้หมด!” ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ที่ถูกขุนนางหญิงพยุงลุกขึ้นมา กล่าวกับฝูงชน
“ฝ่าบาท!” ขุนนางหญิงคิดอยากจะกล่าวห้าม
แต่ว่าฮ่องเต้หญิงกลับขัดการห้ามของนางด้วยท่าทางดื้อรั้น
ตรงหน้าของนางก็คลุมไว้ด้วยผ้าโปร่งแสงสีทอง บดบังอารมณ์บนหน้าของนางเอาไว้ รอจนความวิงเวียนในหัวสลายหายไปจนหมด นางก็เดินไปด้านหน้าอยู่หลายก้าว
ชั่วขณะนั้น ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบทิศไม่ว่าจะเป็นประชาชนของแคว้นกู่วู่หรือว่าผู้ที่มาท่องเที่ยวจากด้านนอกก็พากันชันเข่าลงไปข้างหนึ่ง ก้มหน้าพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้หญิงท่าทางหยิ่งทะนงไม่สนใจ เพียงแค่จ้องมองไปทางมู่ชิงเกอแล้วกล่าวว่า “เจ้าร้ายกาจนัก ข้าอยากจะประลองกับเจ้าดีๆ สักครั้ง”
มู่ชิงเกอนิ้วทั้งสองข้างก็คีบไปยังเกล็ดแผ่นนั้นที่ถูกนางดึงออกมา โยนไปทางฮ่องเต้หญิง เลิกคิ้วพลางถามว่า “ยังต่อสู้กันไม่พออีกรึ?”
ฮ่องเต้หญิงยื่นมือออกไปรับเกล็ดของนางเอาไว้ ก่อนจะสบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง “เมื่อกี้ยังไม่นับ!” พอกล่าวจบนางก็เอาเกล็ดหนังแผ่นนั้นโยนกลับไป กล่าวอย่างหยิ่งทะนงว่า “ในเมื่อเจ้าดึงมันออกมาได้ มันก็ถือว่าเป็นของของเจ้า”
“ฝ่าบาท!”
กลุ่มขุนนางหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังนางพวกนั้น ชั่วขณะสีหน้าก็พลันกลายเป็นร้อนใจขึ้นมา
ฮ่องเต้หญิงกลับกล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “ก็แค่เกล็ดไร้ประโยชน์แผ่นหนึ่ง ไม่ได้มีความหมายอันใด”
หลังจากนางกล่าวประโยคนี้แล้ว พวกขุนนางหญิงไม่กี่คนพวกนั้นก็ค่อยพากันถอนหายใจโล่งอกออกมา
มู่ชิงเกอรับเอาเกล็ดแผ่นนั้นไว้ ไม่มีท่าทางเคอะเขินแม้แต่น้อย เอามันเก็บลงไป เกล็ดบนร่างของฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่แน่นอนว่าจะต้องไม่ธรรมดา ตอนที่มู่ชิงเกอกำมันไว้ในมือ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงทนทานของมันได้ ถือว่าเป็นวัตถุดิบในการหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นยอด ถึงแม้ว่าจะเล็กเกินไป แต่ว่ามีก็ดีกว่าไม่มี ในเมื่อคนเขามอบให้อย่างใจกว้าง นางทำไมจะต้องปฏิเสธด้วย?
ซางจื่อซูจ้องมองไปยังท่วงท่าที่มู่ชิงเกอรับเกล็ดแผ่นนั้นเอาไว้ด้วยท่าทีเรียบเฉย แพขนยาวบดบังความหมองหม่นด้านในดวงตาเอาไว้
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ของนาง มู่ชิงเกอก็ไม่ได้สังเกตเห็น แต่มู่เหลียนหรงกลับสังเกตเห็นได้ทัน อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจพลางส่ายหน้าขึ้น หลานสาวบ้านนางผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าทำร้ายจิตใจของหญิงสาวไปมากน้อยเท่าไรแล้ว!
“ว่ายังไง? เจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่? เจ้าถ้าหากชนะข้าได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเขาไป” ฮ่องเต้หญิงยื่นนิ้วชี้ออกไป ชี้ไปทางเซวียเฉียวกับมู่เหลียนหรง
มู่ชิงเกอก้มหน้าครุ่นคิดแวบหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองไปทางนาง ถามขึ้นยิ้มๆ “เจ้าอยากจะประลองเช่นไร?”
ฮ่องเต้หญิงเชิดคางขึ้น “ง่ายมาก ก็คือตั้งใจประลองกับเจ้าจริงๆ จังๆ สักรอบ ใครตกถึงพื้นก่อน คนผู้นั้นก็ถือว่าแพ้!”
ผ้าคลุมหน้าสีทองด้านบนหัวของนางปิดคลุมเส้นผมของนางไว้ด้วย มันพลิ้วไหวไปตามการขยับกายของนาง ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเปล่งประกายระยิบระยับ ดูงดงามสะดุดตายิ่งนัก
เอวคอดกิ่วที่เผยผิวอยู่ด้านนอกก็ช่างดูยั่วเย้าผู้คน แต่กลับไม่มีใครกล้าไปเพ่งมองอย่างละเอียด
“ตกลง” มู่ชิงเกอตอบกลับท่าทางสบายๆ
ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ก็ไม่ได้กล่าววาจาว่าหากนางแพ้ขึ้นมา นางก็จะจัดการกับมู่เหลียนหรง เซวียเฉียวและนางเช่นไร นี่ก็ทำให้มู่ชิงเกอเกิดความรู้สึกดีขึ้น จนทำให้นางยินดีที่ประลองด้วย
ทั้งสองคนพอตกลงกันได้ คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ล้วนแต่ก้าวถอยไปยังขอบจัตุรัส
เขยิบเพิ่มช่องว่างบนจัตุรัสออกไป มอบให้ทั้งสองคนได้ประลองกัน
“เจ้าก็ลงมือให้เต็มที่ ต่อให้เจ้าเกิดพลั้งมือฆ่าข้าขึ้นมา ข้าก็ขอรับรองว่าจะไม่มีใครเอาเรื่องเจ้า เจ้ายังสามารถออกไปจากแคว้นกู่วู่ได้อย่างปลอดภัย” ก่อนเริ่มต้น ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ก็เกรงว่ามู่ชิงเกอจะไม่ยอมใช้ฝีมือออกมาสุดกำลัง ก็เลยกล่าวกำชับเป็นพิเศษ
ในขณะเดียวกันนางก็หันไปมองเตือนเหล่าขุนนางหญิง ที่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอก
เหล่าขุนนางหญิงพวกนั้นภายใต้การจับจ้องของนาง ล้วนพากันพยักหน้าขึ้น แสดงถึงการเชื่อฟัง มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอันใดให้มากความอีก
“เริ่มกันเลยเถอะ”
“ได้!” ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่กล่าวเสียงขรึม
หลังกล่าวจบ นางก็ยังไม่ได้ใช้ท่าโจมตีโจมตีออกไปทางมู่ชิงเกอ แต่เป็นร่ายมือทั้งสองข้างขึ้น วาดออกด้วยท่วงท่าอันแปลกประหลาด ในปากกล่าวพึมพำราวกับกำลังร่ายมนต์โบราณในยุคบรรพกาล
มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง ยังคงไม่ลงมือเช่นกัน แต่รอคอย อยากจะดูว่าฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่คิดจะทำอันใดกันแน่
การร่ายมนต์ของฮ่องเต้หญิงก็ตามมาด้วยผืนนภาอันสดใสด้านบนจัตุรัสที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นมีลมพัดกระโชกขึ้น ข้างหูดังขึ้นด้วยเสียงคลื่นสาดซัดดังสะท้อนมารางๆ ทันใดนั้นเองฮ่องเต้หญิงก็พลันชูมือทั้งสองข้างขึ้น จากหมู่เมฆที่พัดหมุนวนอยู่บนท้องฟ้าก็พลันมีลำแสงสีน้ำเงินเข้มพุ่งสาดลงมาที่ตัวนาง นัยน์ตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหดเล็กลง ลอบเตรียมตัวระแวดระวังขึ้น
พลังที่สามารถทำให้ฟ้าดินเกิดกลายเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันขึ้นส่วนหนึ่ง
ไม่ได้ประมาท มือขวาของมู่ชิงเกอพลันไหววูบ ทวนหลิงหลงที่กลายมาจากปลอกนิ้วปรากฏขึ้นที่มือนาง วาดยาวออกไปอยู่ด้านหน้า
แสงสีนํ้าเงินพลันสลายหายไป ท้องฟ้าค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ
ส่วนฮ่องเต้หญิงที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าของฝูงชน กลับทำให้คนจำนวนไม่น้อยพากันตกตะลึงขึ้น ซึ่งหนึ่งในก็รวมมู่ชิงเกออยู่ด้วย ฮ่องเต้หญิงตรงหน้าในตอนนี้กลับกลายร่างเป็น ครึ่งคนครึ่งงู
หางงูสีนํ้าเงินเข้มสะบัดวาดส่ายไปส่ายมาอยู่บนอากาศ พร้อมกับเปล่งแสงสีนํ้าเงินเข้มรางๆ บนตัวของนางปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีสันแวววาวที่เปล่งระยิบระยับขึ้นไปมา
ใบหน้าของนางก็ยังคงถูกปิดไว้ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีทอง แต่เส้นผมกลับถูกเผยออกมาแล้ว ที่แท้ฮ่องเต้หญิงของแคว้นกู่วู่ก็มีเส้นผมสีนํ้าเงินนํ้าทะเลนี้เอง นัยน์ตากลมสีทองของนางก็กลายเป็นแนวตั้งตรงขึ้นมา ใบหูก็กลายเป็นแหลมขึ้น ด้านบนก็เหมือนกับจะมีพังพืดสีนํ้าเงินรางๆ อยู่ชั้นหนึ่งคล้ายกับปีกของผีเสื้อที่ กำลังสยายออกไปอย่างไรอย่างนั้น
“ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าคนของแคว้นกู่วู่มีสายเลือดของสัตว์เทวะอยู่ เวลาเข้าสู่การต่อสู้ก็จะสามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้ กลายเป็นการดำรงอยู่ของครึ่งคนครึ่งสัตว์เทวะ วันนี้พอได้มาเห็นก็ถือว่าคำร่ำลือกล่าวไว้ไม่ผิด เพียงแต่ดูจากรูปลักษณ์แล้ว สายเลือดสัตว์เทวะบนตัวของฮ่องเต้หญิงนางนี้ จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับอสรพิษเป็นแน่” มู่ชิงเกอชะงักมองไปทางการกลายร่าง อันตกตะลึงตรงหน้า พลางพึมพำขึ้น
“ว้าว! ช่างงดงามนัก!”
“ก็ดูไม่น่าเกลียดน่ากลัวเลยสักนิด!” รอบด้านดังอื้ออึงขึ้นมาด้วยเสียงชื่นชม
พวกซางจื่อซู มู่เหลียนหลงก็พากันมองไปยังร่างของฮ่องเต้หญิงหลังเปลี่ยนร่างแล้วอย่างตกตะลึง
“ที่ร่ำลือกันมาว่าในร่างกายของตระกูลเจียงของแคว้นกู่วู่อาจจะมีสายเลือดของสัตว์เทวะอสรพิษของยุคบรรพกาลไหลเวียนอยู่ด้านใน ดูท่าแล้วก็น่าจะเป็นความจริง
หลานชายตระกูลมู่เกรงว่า…” เซวียเฉียวกล่าวด้วยแววตากังวลใจ
คำกล่าวของเขาชวนให้ซางจื่อซูกับมู่เหลียนหรงพากันตกตะลึง ในใจรู้สึกไม่สงบขึ้น
แต่ก็ถูกมั่วหยางกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน “คุณหนูใหญ่ พวกเราจะต้องเชื่อมั่นในตัวคุณชาย”
เชื่อมั่นในตัวมู่ชิงเกอ
คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำให้ความกังวลในใจของมู่เหลียนหรงค่อยๆ สงบลง นางพยักหน้าขึ้นน้อยๆ สายตาจ้องมองไปที่ตัวของมู่ชิงเกอ ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่สายตาจ้องมองไปทางมู่ชิงเกออย่างเย็นชา ราวกับนางได้คืนกลับไปเป็นคนหยิ่งทะนงและองอาจเช่นเดิมแล้ว นางค่อยๆ กล่าวว่า “บรรพชนของข้าก็เป็นสัตว์เทวะอสรพิษในยุคบรรพกาล ส่วนจะมีความสามารถอะไรนั้น เจ้าอีกไม่นานก็จะได้เห็นเอง เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ยอมแพ้?”
ในแววตาของมู่ชิงเกอปรากฎเส้นแสงวาววับ มุมปากยกยิ้มพร้อมกล่าวว่า “สู้ก็ยังไม่ได้สู้แล้วจะให้ยอมแพ้งั้นรึ? นี่ก็ไม่ได้เข้ากับหลักการของข้าเลย”
ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่พยักหน้าชื่นชม “เจ้าก็ไม่เลว” แววตาของนางร่วงตกไปยังทวนหลิงหลง ก่อนจะพยักหน้าขึ้นอีกครั้ง “อาวุธของเจ้าก็ดูไม่เลว!” หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็เชิดคางพลางเปิดปากขึ้นอีกครั้ง “เจ้าก็มีคุณสมบัติพอที่จะรู้จักชื่อของข้า” จากนั้นไม่ทันไรก็มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ มีเพียงนางคนเดียวที่ได้ยิน
“จำเอาไว้ละ ข้าชื่อเจียงหลี”
เจียงหลี มู่ชิงเกอคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้หญิงของแคว้นกู่วู่ผู้นี้จะมีชื่อเหมือนเด็กสาวเช่นนี้ “ข้าชื่อมู่ชิงเกอ”
เช่นกัน ด้วยมารยาทพื้นฐานที่ใช้ในการทักทายกัน มู่ชิงเกอก็ถ่ายทอดเสียงไปบอกชื่อของตนให้แก่ฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่เช่นกัน
‘มู่ชิงเกอ’ ในใจของเจียงหลีลอบทวนชื่อของมู่ชิงเกอขึ้นหนหนึ่ง
หลังจากนั้นก็มองไปทางนาง “เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ!”
พอกล่าวจบแขนทั้งสองข้างของนางก็วาดสะบัด พริบตา พลันปรากฏคลื่นยักษ์ออกมาจากอากาศพุ่งชนไปทางมู่ชิงเกอ
นัยน์ตาทั้งสองของมู่ชิงเกอหดเล็กลง ร่างโปร่งกระโดดขึ้นไปบนอากาศ ปลายเท้าแตะอยู่บนยอดคลื่น เสียงกระเพื่อมของสายนํ้าก็ทำเอานางตกตะลึง ‘นี่มัน นํ้าของจริง!’