Skip to content

พลิกปฐพี 162-1

ตอนที่ 162-1

ฮ่องเต้หญิงเจียงยั้งฝีปากไว้ไมตรี!

ภายในวังหลวงแห่งแคว้นกู่วู่ ตำหนักที่งดงามหรูหรา แต่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของมู่เหลียนหรงได้เลย

เข้ามาในตำหนักได้ครู่ใหญ่แล้ว แต่นางยังคงจับจ้องที่ใบหน้าด้านข้างของมู่ชิงเกอ พลางถอนหายใจ

“พี่หรง ดื่มชาก่อนสักถ้วย” เซวียเฉียวยกชาร้อนเข้ามาถ้วยหนึ่ง เดินมาถึงข้างกายมู่เหลียนหรง ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนเบา

แต่ว่า มู่เหลียนหรงกลับผละออกพลางลุกขึ้นยืน พูดกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ เจ้าตามข้ามา”

มู่ชิงเกอเงยหน้า สายตาที่มองอาหญิงของตนมีแววประหลาดใจ เมื่อเห็นความขึงขังเอาจริงในแววตาของอาหญิงนางแล้ว นางก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ได้แต่ ยืนลุกขึ้นตามคำบอกแล้วเดินไป

ซางจื่อซูก็ลุกตามขึ้นมาด้วย มองมู่ชิงเกอด้วยแววตาสับสน แต่ก็ยังไม่ได้ตามไป เพียงแต่มองจ้องนางนิ่งๆ

มู่เหลียนหรงมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าไปในห้องด้านใน

มู่ชิงเกอเดินตามมาติดๆ จากด้านหลัง เดินไปเพียงสองก้าว มู่เหลียนหรงก็หยุดลงกำชับมั่วหยาง “เจ้าหนูมั่ว ดูที่นี่ให้ดีๆ อย่าให้ใครเข้ามาใกล้ได้เป็นอันขาดต่อให้เป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นกู่วู่ก็ไม่ได้”

มั่วหยางตาวาววับ มองไปทางมู่ชิงเกอ เมื่อเห็นว่าฝ่ายหลังไม่มีท่าทีใดจึงพยักหน้า แล้วจึงนำกลุ่มองครักษ์เขี้ยวมังกรไปยืนรักษาการณ์ทั้งสี่ทิศ

เซวียเฉียวมีท่าทางกังวลอยากจะตามเข้าไปด้วย แต่กลับโดนมั่วหยางขวางเอาไว้ “จอมยุทธ์เซวีย คุณหนูใหญ่และคุณชายมีเรื่องสำคัญต้องหารือกันโปรดหยุดรอจะดีกว่า”

สายตาเซวียเฉียวเลื่อนไปจับที่ร่างมั่วหยาง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางโน้มน้าวเขาได้แน่ๆ จึงเดินกลับมา

คนขององครักษ์เขี้ยวมังกร มักจะตีสีหน้าเย็นชากับคนที่ไม่คุ้นเคยอยู่เสมอ ไม่อาจเข้าใกล้ได้โดยง่าย เซวียเฉียวหาข่าวอะไรไม่ได้เลย อยากจะไปถามซางจื่อซูก็เห็นว่า นางยิ่งเย็นชากว่า จึงได้แต่ปล่อยไป ก่อนจะกลับไปยังที่นั่งตัวเอง

ส่วนอีกด้านมู่ชิงเกอได้ตามมู่เหสียนหรงเข้าไปจนถึงห้องด้านใน

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครลอบฟังแล้ว มู่เหลียนหรงจึงได้ถามมู่ชิงเกอ “ชิงเกอ เหตุใดเจ้าจึงได้รับปากฮ่องเต้หญิง ว่าจะเข้าวังไปกับนาง? ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดีแก่ใจว่าเจ้า…เฮ่อ…เจ้ากับนางไม่อาจแต่งงานกัน”

นํ้าเสียงของมู่เหลียนหรงมีวี่แววร้อนใจ ความไม่เข้าใจและความขุ่นเคืองเล็กน้อยปะปนกันไปหมด

เหมือนนางจะคิดว่าเป็นเพราะตนสร้างเรื่องวุ่นวาย จนทำให้หลานสาวต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“ข้าแน่นอนว่าไม่มีทางแต่งงานกับนาง” มู่ชิงเกอเอ่ยเรียบๆ

“แล้วเจ้ายัง…” มู่เหลียนหรงไม่เข้าใจว่ามู่ชิงเกอต้องการจะทำอะไร

“ท่านอาไม่ต้องกังวล ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเรียบร้อย” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบมู่เหลียนหรงยิ้มๆ

แต่ว่า มู่เหลียนหรงจะวางใจลงได้อย่างไร?

เมื่อเห็นท่าทางนางเช่นนั้น มู่ชิงเกอก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากท่านอายังคงกังวลใจ ไม่สู้พูดเรื่องท่านกับจอมยุทธ์เซวียผู้นั้น? เห็นได้ชัดว่าเขากังวลและเป็นห่วงท่านอามาก”

มู่เหลียนหรงหน้าแดง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางขัดเขิน “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ที่เขาพูดเมื่อครู่ก็เพียงแต่พูดไปตามสถานการณ์เท่านั้น”

“อ่อ?” มู่ชิงเกอแสดงท่าทางว่าไม่เชื่อ

“ข้าจะหลอกเจ้าทำไมกันเล่า?” มู่เหลียนหรงนึกเคือง

“ข้ากับเขารู้จักกันที่แคว้นกู่วู่คุยกันถูกคอ จึงได้เรียกขานกันเป็นพี่สาวน้องชาย”

“ในเมื่อรู้จักกันธรรมดาๆ เหตุใดท่านอาจึงได้ออกหน้าปฏิเสธงานแต่งแทนเขา?” มู่ชิงเกอถามต่ออย่างไม่ลดละ

มู่เหลียนหรงเห็นมู่ชิงเกอเข้าใจผิดไปจริงๆ จึงได้เอ่ยแก้ว่า “เป็นเพราะเรื่องนั้นเกี่ยวพันถึงข้า” หลังจากนั้น นางจึงได้เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดให้มู่ชิงเกอฟัง

ที่แท้ เซวียเฉียวขึ้นไปที่แท่นประลองก็เพราะพนันกับนางไว้

พวกเขาสองคนไปที่แท่นประลองโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นว่าด้านบนมีคนกำลังประลองยุทธ์ เมื่อเห็นว่าคนบนแท่นนั้นมีฝีมือไม่เลว นางจึงได้เอ่ยชมขึ้น

เซวียเฉียวเอ่ยขึ้นเพราะความคะนองตามวัยหนุ่มว่าตนนั้นร้ายกาจกว่า มู่เหลียนหรงเห็นเขาแสดงความเป็นเด็ก จึงทำทีไม่สนใจเขา ใครจะไปคิดว่าเซวียเฉียวจะเอ่ยขึ้นว่าหากนางไม่เชื่อ ตนก็พร้อมจะขึ้นประลองให้นางดู หากแพ้ก็จะมารับใช้ตักนํ้ารินชาให้นางหนึ่งเดือน แต่หากชนะก็ให้มู่เหลียนหรงพาเขาไปแคว้นฉินตอนที่ออกจากแคว้นกู่วู่

แคว้นฉิน เดิมทีก็ดือบ้านของมู่เหลียนหรง นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกจากบ้านมาเดินทางฝึกฝนตน แรกเริ่มนางไม่ได้คิดจะอยู่นอกบ้านนานนัก วางแผนไว้ว่าจะอยู่เพียงครึ่งปีก็จะกลับไปเพื่อบอกว่าตนปลอดภัยดีกับท่านพ่อ เพราะฉะนั้น สำหรับการพนันของเซวียเฉียว นางจึงรับปากทันที

ใครจะคิดว่า การประลองที่แท่นประลองครั้งนี้จะเป็นการประลองเพื่อเลือกสวามีของฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ เซวียเฉียวกลับสามารถเอาชนะคนบนแท่นประลองได้จริงๆ ได้รับชัยชนะไป

หลังจากนั้น ก็เป็นเหตุการณ์การปฏิเสธงานแต่ง

เซวียเฉียวขึ้นเวทีเพราะการพนันเดิมพันกับนาง เขาเองก็ไม่ได้อยากจะแต่งกับฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่ และนางเองก็ไม่อาจจะมองนิ่งเฉยได้

เรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่มู่ชิงเกอได้เห็นแล้ว

“…เพราะฉะนั้น ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป” มู่เหลียนหรงเอ่ยกับมู่ชิงเกอพลางถอนใจ

มู่ชิงเกอจ้องนางและเห็นแววตาผิดหวังสะท้อนออกมาจากนัยน์ตานางอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านอา ข้ามองดูท่าทีเขาเมื่อครู่ ไม่ใช่เพียงเป็นการทำตามสถานการณ์  สถานการณ์ในตอนนั้นเกี่ยวพันกับความเป็นตาย ใครกันจะพูดเช่นนั้นในเวลาสำคัญเช่นนั้นได้?” มู่ชิงเกอถามอย่างหยั่งเชิง

“ชิงเกอ! อย่าพูดต่อเลย” มู่เหลียนหรงยืนขึ้นอย่างตระหนกลนลาน ก่อนจะหมุนกายหลบสายตาของมู่ชิงเกอ หลุบตาลงตํ่าพลางเอ่ยว่า “ข้าแก่กว่าเขามาก”

“แค่ห้าปีเท่านั้นเอง” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่สนใจ

ในขณะที่เดินทางเข้าวังหลวง มู่ชิงเกอได้สอบถามเรื่องเซวียเฉียวจนกระจ่างแล้ว คิดไม่ถึงว่าเซวียเฉียวผู้นี้จะมาจากแคว้นระดับสองอย่างแคว้นอวี่

แล้วเขายังเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่มีชื่อแห่งหนึ่งอีก

เพียงแต่ว่า เขาไม่ใช่บุตรสายตรง ไม่จำเป็นต้องสืบทอดกิจการของตระกูล เพราะฉะนั้นจึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศตามใจปรารถนา

แน่นอนว่า เรื่องนี้จะจริงเท็จเช่นไร มู่ชิงเกอต้องให้คนไปตามสืบอีกรอบ

อย่างไรเสีย หากยึดตามแผนการของนางก็ต้องให้กองทหารพันเพลิงและองครักษ์เขี้ยวมังกรได้เริ่มเข้าฝึกในเขตแดนของแคว้นระดับสองอยู่แล้ว ถึงยามนั้นจะสืบสาวเรื่องของเซวียเฉียวก็ไม่ใช่เรื่องยาก

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าเองก็อยู่มาจนถึงปูนนี้แล้ว ไม่ได้คิดถึงเรื่องเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว” มู่เหลียนหรงส่ายหน้า ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ

เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ถามต่อให้มากความ เกรงว่าพูดมากไป จะกลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยอะไร

มู่เหลียนหรงหมุนกาย หันมองมู่ชิงเกอ มีแววจริงจังในแววตาที่มองจ้องมา “ชิงเกอ เจ้าคิดจะคืนร่างสตรีเมื่อไรกัน?”

มู่ชิงเกอตะลึงนิ่งไป คิดในใจ เหตุใดจึงมาเกี่ยวกับเรื่องนางจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นสตรีได้อย่างไรกัน?

“เหตุใดท่านอาจึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาได้? ข้าคิดว่าการแต่งกายเป็นชายออกท่องยุทธภพไม่มีสิ่งใดไม่ดีนี่นา สะดวกเสียหลายเรื่อง” มู่ชิงเกอเอ่ย

มู่เหลียนหรงกลับถอนหายใจ ก่อนจะส่ายหน้า “เจ้าอยู่ท่ามกลางหมอกหนา มองไม่เห็นความเป็นจริง ความฉลาดเฉลียวของเจ้าหายไปไหนหมดแล้ว?”

มู่ชิงเกอได้แต่ทำหน้างุนงง โดนมู่เหลียนหรงพูดเสียจนมึนงงไปหมด

เมื่อเห็นท่าทางนางเช่นนี้ มู่เหลียนหรงก็อดจะพูดต่อไปไม่ได้ “ร่างของบุรุษถึงแม้จะง่ายดายในการเดินทาง แต่ว่า ร่างของบุรุษเช่นเจ้าในยามนี้ได้ทำร้ายสตรีไปแล้วเท่าใด? แม่นางซางที่อยู่ด้านนอกผู้นั้น แล้วยังจะฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ล้วนไม่ใช่โดนทำร้ายหรือ? ข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงฉางเล่อ หย่งฮวนทั้งสองนาง เจ้านะเจ้า จะให้สตรีต้องเจ็บใจกับเจ้าอีกมากเพียงใด เจ้าถึงจะคิดได้? แล้วอีกอย่าง ช้าเร็ว เจ้าก็ต้องแต่งงานมีลูก ตัวตนนี้จะช้าเร็วก็ต้องเปิดเผยมิใช่รึ? เมื่อก่อนเจ้าปิดบังตัวตน เพราะเกรงว่าโทษหลอกลวงเบื้องสูงจะทำให้ทั้งตระกูลต้องพลอยรับเคราะห์ วันนี้การใหญ่ของเจ้าในแคว้นฉินสำเร็จลงแล้ว ต่อให้เปิดเผยตัวตน ใครจะกล้าทำร้ายเจ้าได้อีก? ข้าคิดไม่ออกว่า เจ้ายังกังวลอะไร”

คำพูดของมู่เหลียนหรง ทำให้มู่ชิงเกอได้แต่นิ่งอึ้งตะลึง

นางไม่ได้คิดมากมายเช่นนั้นเพียงแต่ชินกับการแต่งกายเป็นบุรุษเช่นนี้แล้ว ฉะนั้น จึงไม่คิดจะเปลี่ยน แต่งงานมีลูกอะไรกัน…ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมู่เหลียนหรงพูดมาถึงตรงนี้ในหัวนางก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพมายาที่ปรากฏขึ้นมาในทะเล แห่งความอ้างว้าง

ราวกับว่า นางไม่ได้ต่อต้านเรื่องการแต่งงานมีลูกเช่นเดิมแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version