ตอนที่ 162-2
ฮ่องเต้หญิงเจียงยั้งฝีปากไว้ไมตรี!
เมื่อเห็นนางเงียบไป มู่เหลียนหรงก็เอ่ยต่อไปว่า “เรื่องสำคัญตรงหน้า หากเจ้าใช้ร่างสตรีเอาชนะฮ่องเต้หญิงได้ พวกเราก็สามารถจากไปได้อย่างสง่างามองอาจ นางคงไม่อาจบังคับให้เจ้าที่เป็นสตรีมาแต่งงานกับนางได้ แต่ยามนี้จะทำอย่างไร? เจ้าตามนางเข้าวัง ก็หมายความว่าเจ้ายอมรับการแต่งงานครั้งนี้หากสถานะที่เป็นสตรีของเจ้าโดนเปิดเผย ก็มิกลายเป็นการทำผิดฐาน
หลอกหลวงเบื้องสูงหรือ?”
“ท่านอา ที่ท่านว่ามา ข้าจำได้ขึ้นใจแล้ว ขอข้าคิดดูเสียหน่อย” พลัน มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้น นางต้องการสงบใจเป็นอย่างมาก เพื่อจัดการความคิดให้ปรุโปร่ง
ที่ควรพูดมู่เหลียนหรงก็พูดไปหมดแล้ว นางจึงไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก ก่อนจะถอนหายใจ นางเดินออกไปจากห้อง ให้มู่ชิงเกออยู่ตามลำพัง
ภายในห้อง มีเพียงมู่ชิงเกออยู่คนเดียว นางเดินไปข้างหน้าต่าง มุมตรงนี้ดีมาก สามารถมองเห็นทั้งเมืองได้ราวกับมุมมองของนก เห็นทิวทัศน์ของเมืองเจียงเฉิงได้ทั่วทุกมุม
แต่ยามนี้ นางกลับไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทิวทัศน์
นางตามเจียงหลีเข้าวัง ความจริงแล้ว นางวางแผนว่าหลังจากเข้าวังไปแล้ว จะเปิดเผยสถานะของตนกับเจียงหลี ให้นางวางมือปล่อยพวกตนไป
แต่ว่า เมื่อท่านอาเตือนขึ้นเช่นนี้ นางก็รู้สึกได้ว่าตนไม่ได้คำนึงถึงเจียงหลีเลยแม้แต่น้อย
สตรีนางหนึ่งมีสถานะสูงส่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น แต่กลับโดนปฏิเสธงานแต่งถึงสองครา ต่อให้ใจกว้างเพียงใดก็คงจะรับไว้ไม่ไหว และหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของเจียงหลีก็คงไม่ดีนัก
มู่ชิงเกอก้มหน้า ก่อนจะยื่นมือขึ้นนวดคลึงที่หัวคิ้วพลางพึมพำ “ข้าไม่ถนัดจัดการเรื่องความรู้สึกจริงๆด้วย ครั้งนี้ก็ทำผิดอีกแล้ว”
นางเคยทำผิดกับฉินอี้เหยามาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ควรจะผิดอีกเป็นครั้งที่สอง
“เมื่อพูดถึงสถานะตัวตนของข้า…” มู่ชิงเกอคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด ก่อนจะยิ้มขื่นๆ “ไม่นับปีศาจเฒ่าอย่างซือมั่ว ยังมีสุ่ยหลิง เหมยจื่อจ้ง แม้แต่หานฉายไฉ่เองก็มีท่าทางหยั่งเชิงข้ามาแล้วหลายครั้ง…ดูท่าจะมีคนรู้ไม่น้อยจริงๆ”
หายใจเข้าลึกๆ ความอึดอัดคับแน่นในอกมู่ชิงเกอ นางพูดกับตัวเองว่า “ดูท่า คงไม่อาจรับความสะดวกในการแต่งกายเป็นชายได้อีก แต่ว่า เรื่องที่ควรพูดในวันนี้ก็ยังต้องพูด”
หลังจากตัดสินใจแล้ว มู่ชิงเกอหมุนกาย ก่อนจะออกจากห้องไปด้วยฝีเท้ารวดเร็วแผ่วเบา
นางเปิดประตูใหญ่ ซางจื่อซูลุกขึ้นเดินมาทางนาง
“ศิษย์น้องมู่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ซางจื่อซูถามอย่างเป็นห่วง
มู่ชิงเกอมองนาง พลางคิดถึงคำของมู่เหลียนหรง
แน่นอนว่าศิษย์พี่ที่เยือกเย็นของนางผู้นี้ ที่ผ่านมานางเองก็ไม่ใช่คนพูดอะไรมากความ แต่เหมือนว่าหลังจากมาอยู่กับนางแล้ว ซางจื่อซูดูพูดมากขึ้น
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร” มู่ชิงเกอบอกซางจือซู
ซางจื่อซูก้มหน้าเบาๆ ก่อนจะบิดริมฝีปากเล็กน้อย
ไม่รู้เพราะอะไร นางกลับรู้สึกว่ามู่ชิงเกอในยามนี้ ดูห่างไกลจากนางไป
ทั้งสองคนเพิ่งพูดจบ เจียงหลีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะพานางกำนัลเข้ามาในตำหนัก ในสายตานางมีเพียงมู่ชิงเกอ นางเอ่ยพูดเสียงยินดีว่า “ชิงเกอ” พลาง เดินเร็วๆ มาหามู่ชิงเกอ
ผ้าคลุมหน้าสีทองของนางมีพู่ห้อยลงมา สะบัดไปตามการก้าวเท้าของนางเกิดเป็นเสียงกรุ๋งกริ๋งชวนยินดี
“เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้ามีเรื่องจะบอกกับเจ้า” มู่ชิงเกอมองเจียงหลี อมยิ้มที่มุมปาก
“เจ้าคงไม่ได้บอกว่าอยากจะยกเลิกงานแต่งเหมือนอาเขยเจ้าหรอกนะ!” เจียงหลีมองนางอย่างระแวดระวัง คำพูดของนางทำให้กลุ่มคนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
ซางจื่อซูที่ยืนข้างๆ มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เซวียเฉียวก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน มู่เหลียนหรงก็ยิ่งหน้าแดงจัด
“มากับข้าก็รู้แล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม พูดจบ นางก็หมุนกายเดินเข้าในห้องที่เพิ่งออกมา
เจียงหลีหันไปสั่งเหล่านางกำนัล “พวกเจ้ารอข้าที่นี่ ไม่มีคำสั่งจากข้า ใครก็ห้ามเข้ามารบกวน อ้อ ใช่แล้ว เตรียมอาหารให้พวกเขาด้วย รับรองท่านอากับท่านอาเขยให้ดี”
พูดจบ นางก็ไม่ได้มองสีหน้าอึดอัดใจของมุ่เหลียนหรงและเซวียเฉียว ตามมู่ชิงเกอเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว มู่ชิงเกอเดินมาปิดประตูด้วยตัวเอง ในชั่วขณะที่ประตูจะปิดสนิท นางมองสบตามู่เหลียนหรงแวบหนึ่ง
มู่เหลียนหรงเดาได้ทันทีว่ามู่ชิงเกอจะพูดอะไร ก็นึกกังวลในใจขึ้นมา เกรงว่ามู่ชิงเกอจะเกิดเรื่องขึ้น
“เจ้าจะบอกอะไรข้า?” ในห้อง เมื่อเข้ามาแล้ว เจียงหลีก็ถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
มู่ชิงเกอหันไปมองนาง ในขณะที่จะเอ่ยปาก กลับโดนเจียงหลียกมือห้ามไว้
“รอก่อน เจ้าอย่าเพิ่งพูด เพื่อกันไม่ให้เจ้าปฏิเสธการแต่งงานอีกครั้ง ข้าเปิดผ้าคลุมหน้าเสียก่อน” พูดจบ เจียงหลีก็ปลดผ้าคลุมหน้าลงต่อหน้ามู่ชิงเกอ
นางหมุนตัวกลับมาเผยให้เห็นดวงหน้างดงามแปลกตา ยากจะหาคนเทียบ
มู่ชิงเกอสามารถพูดได้ว่า นี่เป็นใบหน้าที่เหล่าบุรุษหากได้เห็นเข้าจะต้องนึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของ! ความงามของเจียงหลี แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนของต่างถิ่น เครื่องหน้าเด่นชัด ดวงตามีสีทองปะปน ผมสีนํ้าเงินเข้ม ผิวขาวกระจ่าง ความงามของนางไม่อาจใช้ถ้อยคำธรรมดาๆ มาบรรยาย แต่กลับมีความดึงดูดรุนแรง
“เป็นอย่างไร ข้างามสินะ? เซวียเฉียวผู้นั้นปฏิเสธข้า ช่างไร้โชคเสียจริง! เจ้าคงไม่อับโชคเช่นนั้นกระมัง?” เจียงหลี มองความตกตะลึงของมู่ชิงเกออย่างพึงใจพลางพูดอย่างได้ใจ
“แน่นอน ข้าเห็นว่าเจ้างามยิ่งนัก แม้จะเทียบกับคนของแคว้นกู่วู่เจ้าก็ยังงามจนยากจะหาคนเปรียบ เพราะฉะนั้นเมื่อเราครองคู่กันได้ ต่อไปลูกหลานของเราก็คง งามจนโลกหล้าต้องหลงใหล เช่นนี้เจ้าต้องคิดดีๆแล้วล่ะว่าจะแต่งกับข้าหรือไม่” เจียงหลีเชิดคางขึ้น เผยให้เห็นลำคอระหงเรียวงาม
งามจนโลกหล้าหลงใหล?
กล้าบรรยายเช่นนี้จริงหรือ
มู่ชิงเกอลอบยิ้มอย่างจนถ้อยคำในใจ
นางพูดกับเจียงหลีว่า “ข้ายอมรับว่าเจ้างามมาก แต่ข้าก็ยังต้องพูดในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบฟังนัก”
“เพราะอะไร?” ดวงตาคู่งามของเจียงหลีปรากฏแววกรุ่นโกรธขึ้นมา
มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ยกมือขึ้นปลดต่างหูออกจากหูเท่านั้น
ไม่มีคำพูดใดจะทำให้เชื่อได้มากกว่าการเห็นด้วยตาอีกแล้ว!
ท่ามกลางดวงตาสีทองของเจียงหลี รูปร่างหน้าตาของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป รูปร่างเริ่มอ้อนแอ้นบอบบางมีส่วนโค้งส่วนเว้า ขาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นเนียนเรียวไป จนถึงเอวคอดบาง โครงหน้างดงามหมดจด ถึงแม้จะดูท่าทางเย็นชาแต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่านี่เป็นใบหน้าสตรีโฉมงามมิใช่บุรุษ
“นี่ เป็นไปได้อย่างไร…” เจียงหลีเบิกตากว้างอย่างตกใจ มองการเปลี่ยนแปลงของมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อมู่ชิงเกอเห็นว่านางเห็นกระจ่างชัดแล้ว ก็สวมต่างหูกลับคืนดังเดิม
เพียงครู่เดียว นางก็กลับไปเป็นคุณชายรูปงามอีกครั้ง!
“นี่มันอาคมอันใดกัน!” เจียงหลีถอนสายตามามองใบหน้ามู่ชิงเกอ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสลูกกระเดือกบนลำคอของนาง
มู่ชิงเกอไม่ได้หลบหลีก กลับปล่อยให้นางได้ลูบคลำตามใจ
การสัมผัสโดยตรงยิ่งทำให้เจียงหลีสงสัยระแวงแคลงใจ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองดวงตาวาวใสของมู่ชิงเกอ
ดวงตาสีทองงดงามยวนเย้าคู่นั้นราวกับจะเอ่ยถามซํ้าๆ ว่า ‘เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไร?’
มู่ชิงเกอถอยไปด้านหลังช้าๆ เพิ่มระยะห่างให้ทั้งสองคน ก่อนจะอธิบายเสียงอ่อนว่า “นี่เป็นของเพียงขึ้นเดียวที่ท่านพ่อท่านแม่ข้าทิ้งไว้ให้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนเพศของข้าได้ เมื่อสวมมันแล้ว ในสายตาคนอื่น ข้าจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง”
เมื่อมีการพรางร่างจากเครื่องมือมายา เสียงที่มู่ชิงเกอเอ่ยพูดก็กลายเป็นเสียงบุรุษด้วย
เจียงหลีนิ่งฟังอย่างตกตะลึง ไม่ได้เร่งรีบจะขัดแทรก
ท่าทางของนางในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าดีที่สุดสำหรับมู่ชิงเกอ หากนางสั่งให้องครักษ์ในวังมาจับตนทันทีหรือลงมือเสีย นางก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย ลงมือตีให้พ้นทางไปเสียก็สิ้นเรื่อง
“ท่านแม่จากข้าไปตั้งนานแล้ว ข้าได้ยินว่านางจากไป เพื่อติดตามหาร่างของท่านพ่อ และหลังจากข้าเกิดมา แล้วก็โดนนางปลอมให้เป็นเด็กชายมาตลอด ได้ยินว่า เพื่อเป็นการปกป้องความปลอดภัยของตระกูล” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเรียบ
“เพื่อปกป้องความปลอดภัยของตระกูล?” เจียงหลีขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอเหลือบตามองนางก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นกู่วู่ถึงแม้แคว้นกู่วู่จะไม่สนใจโลกภายนอก เจ้าก็คงรู้เรื่องตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินอยู่บ้างกระมัง?”
ดวงตาสีทองคู่งามของเจียงหลีหรี่เพ่งลง ก่อนจะเอ่ยเสียงแห้ง “เจ้าก็คือคุณชายตระกูลมู่ที่มีชื่อเสียงคนนั้น?”
มู่ชิงเกอหุบยิ้ม “อย่างมากก็มีชื่อเสียงดังไปทั่วแคว้นระดับสาม อืม ชื่อเสียงของข้ายังไม่ถึงแคว้นระดับหนึ่งและระดับสอง”
ถึงแม้นางจะก่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแคว้นหรง กลายเป็นนักโทษสำคัญอันดับหนึ่งของแคว้นหรง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของนาง เพราะฉะนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นชื่อเสียงอะไร
“เจ้าดูน่าสนใจนัก” เจียงหลีเพ่งมองนางขุ่นเคือง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ทำให้ข้าแปลกใจมาก ข้ายังนึกว่าเมื่อข้าเปิดเผยฐานะเช่นนี้แล้ว เจ้าจะเงื้อดาบมาฟันข้าเสียอีก”
เจียงหลีเบะปาก ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเคืองใจ “ข้าเป็นคนไม่มีเหตุผลหรือไร? ข้าไม่อาจสังหารเจ้าได้ ไม่แน่ว่าก็อาจจะกลายเป็นเจ็บหนักเสียทั้งสองฝ่าย ต่อให้เอาชนะเจ้าได้จริงๆ ก็ยังแต่งงานกับเจ้าไม่ได้อยู่ดี? การค้าขาดทุนเช่นนี้ข้าไม่ทำเด็ดขาด!”
และด้วยคำพูดนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกดีกับนางมากขึ้น “…เจ้าน่ะพิเศษยิ่งนัก หาก เป็นผู้อื่นโดนปฏิเสธวิวาห์สองครั้งติด น่ากลัวว่าจะกราดเกรี้ยวคลั่งแค้นจนไล่สังหารคนไม่เลือกหน้าแล้ว”
“เพราะฉะนั้นข้าจึงได้เป็นฮ่องเด้หญิง แต่พวกเขาไม่ใช่!” เจียงหลีเอ่ยอย่างถือตัว
มู่ชิงเกอยิ้มแย้ม ในรอยยิ้มสะท้อนความรู้สึกปลอดโปร่งใจ
จู่ๆ นางก็พบว่า การคุยกับเจียงหลีเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก
เจียงหลีขมวดคิ้วครุ่นคิด “สถานการณ์ของจวนตระกูลมู่ เมื่อครั้งอดีต ต้องการเด็กชายเพื่อสร้างความมั่นใจให้เหล่าทหาร ข้าพอจะเข้าใจ และจะให้ดีเด็กชายคนนี้ต้องเป็นคุณชายเจ้าสำราญไม่เอาไหน ตรงนี้เจ้าเองก็ทำได้สำเร็จ แต่ว่าต่อมา ตระกูลใหญ่ในแคว้นฉินที่ทะเยอทะยานพวกนั้นก็โดนเจ้ากำราบไปราบคาบแล้ว ทำไมเจ้ายังปิดบังตัวตนอยู่?”
นางช้อนตาขึ้น มองจ้องมู่ชิงเกอนิ่งรอให้มู่ชิงเกออธิบาย
“ช้าชินแล้ว” มู่ชิงเกอให้เหตุผลง่ายๆ
นางเอ่ยต่อ “เป็นเด็กชายมาสิบกว่าปี วันหนึ่งจะให้เจ้าสวมกระโปรงอยู่ในบ้านไม่ออกประตูใหญ่ไม่ย่างกรายจากประตูรอง เจ้าก็คงไม่ชินกระมัง”
เรื่องนี้ ก็ไม่ถือว่านางพูดโกหก ชาติก่อนนางอยู่ในค่ายทหาร ที่นั้นมีการแบ่งแยกชายหญิงที่ไหน? ซีวิตที่แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางชั้นดี สวมชุดเซ็กซี่ รองเท้าสันสูงถือกระเป๋าใบหรู เดินช็อปปิ้งนั้นนางก็ไม่เคยได้สัมผัสมาจริงๆ
“ชินแล้ว?” เจียงหลีเอ่ยคำนี้ซํ้าๆ พลันนางก็พยักหน้า “ข้าชักจะสงสารเจ้าเสียแล้ว”
“ไม่เพียงเท่านั้น ข้าเองก็มีความสุขมากในฐานะผู้ชาย ข้าได้สลัดข้อจำกัดออกไปมากมาย ข้าได้ทำเรื่องที่ข้าอยากทำหลายเรื่อง” มู่ชิงเกอพูดพลางยักไหล่
เจียงหลีกลับส่งเสียงเฮอะอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยเย้ยเยาะนางเข้า “รวมถึงการได้เข้าไปเกี้ยวหญิงสาวล่ะสิ?”
“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอสำลักจนต้องไอขึ้นมา สีหน้ากระอักกระอ่วน นางยกมือขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าสาบาน ข้าไม่เคยทำเช่นนั้นจริงๆ”
เจียงหลีมองนางอย่างเคืองแค้นเป็นนานจึงได้ส่งเสียง ‘พรืด’ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “บางครั้ง อาจเป็นเพราะเจ้าเป็นสตรี เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่าสตรีคิดอะไรอยู่ จึงได้ใส่ใจมากเป็นพิเศษจึงทำให้สตรีไม่น้อยพร้อมจะมอบใจให้เจ้าล่ะสิ ข้าเองก็ได้ยินเรื่ององค์หญิงทั้งสองของแคว้นฉินและเจ้ามาบ้าง”
มู่ชิงเกอยิ้มขื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร
ในตอนนั้นมีหลายเรื่องที่คอยขวางไม่ให้นางได้มีโอกาสอธิบาย นางลองหลีกหนีให้ไกลห่าง แต่ในที่สุดก็ไม่อาจหลบโชคชะตาได้พ้น กลายเป็นโศกนาฏกรรมของฉินอี้เหยาและฉินอี้เหลียนไป
สำหรับคนทั้งสองแล้ว นางมีแต่ความละอายใจ
ฉินอี้เหลียนนางได้ทำให้ฝันของนางสมบูรณ์แล้ว แต่สำหรับฉินอี้เหยา เป็นองค์หญิงที่นางติดค้างต่ออีกฝ่ายมากที่สุด เหมือนว่าจะไม่มีข่าวคราวของนางมานานแล้ว
“เจ้ารู้ไหม ฉินอี้เหยาเคยมาที่แคว้นกู่วู่” จู่ๆ เจียงหลีก็เอ่ยขึ้นมา
มู่ชิงเกอช้อนตามองนาง “เมื่อไหร่กัน?”
เจียงหลีนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เมื่อราวๆ ปีกว่าๆ เหมือนนางเดินทางมากับใครอีกคน คลับคล้ายคลับคลาว่านางกับหญิงสาวที่เดินทางร่วมกันจะเกิดข้อขัดแย้งทะเลาะทุ่มเถียงกัน อีกฝ่ายตะโกนถึงฐานะของนางออกมา นางจึงได้ปลีกตัวออกไปเดินทางตามลำพัง”
มู่ชิงเกอฟังพลางขมวดคิ้ว “แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวนางเลยหรือ?”
เจียงหลีส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าเองก็รู้จากการรายงานของนางกำนัล เพราะจู่ๆ ก็มีองค์หญิงแคว้นฉินมาปรากฏตัวขึ้น ข้าย่อมระวังให้มากขึ้น แต่อย่างไรเสีย ตอนนั้นนางไม่ได้อยู่ในแคว้นกู่วู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่านางเดินทางไปยังแคว้นใด หรือจะข้ามทะเลไปแล้ว”
“ข้ามทะเล?” มู่ชิงเกอแปลกใจเล็กน้อย
เจียงหลีพยักหน้า ก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่างมองไปยังฝั่งทะเลที่อยู่ไกลออกไป พลางพูดกับมู่ชิงเกอ “ที่แคว้นกู่วู่ดูลึกลับซับซ้อนและไม่มีใครกล้ารุกรานมาก่อน ก็เพราะเขตทะเลแห่งนี้ เลือดในร่างของเรา มีส่วนหนึ่งมาจากทะเลนั้น และในตำนานเล่าว่าทะเลนั้นยังเชื่อมต่อกับแผ่นดินที่กว้างใหญ่ที่สูงส่งกว่าพวกเราอีกแห่งหนึ่ง”
มู่ชิงเกอเดินมาข้างๆ นาง พลางมองไปยังทะเล “ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขตหันกลับก็คือฝั่ง ประโยคนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นประโยคตักเตือนในการข้ามทะเล แต่ว่าหลายพันปีที่ผ่านมา ยังมีคนไม่น้อยที่ยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป เพื่อค้นหาหนทางที่จะทำให้ตนฝึกฝนได้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้มองเห็นแผ่นดินอีกแห่ง แล้วก็ออกจากที่นี่ไป ข้าไม่อาจนับจำนวนคนที่ข้ามทะเลทุกขไปได้ถ้วนทั่วว่ามีกี่คน แต่ข้ากลับรู้ว่า โอกาสที่จะไปถึงอีกฝั่งนั้นมี ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วน” เจียงหลีเอ่ยสัดส่วนที่ชวนให้คนหวั่นกลัว
และความจริงแล้วนางกำลังจะบอกมู่ชิงเกอว่า หากฉินอี้เหยาเพียงเดินทางไปแคว้นอื่น ก็ไม่มีเรื่องอะไร แต่หากนางข้ามทะเลไป ก็น่ากลัวว่าจะ…
พลัน ก็มีเสียงคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา กระแทกซัดรุนแรงไปมาในทะเล
ราวกับเป็นการยืนยันถึงความน่ากลัวของทะเลทุกข์ที่เจียงหลีเอ่ยมา
พลังที่รุนแรงยิ่งใหญ่จนไม่อาจต้านทานได้ของธรรมชาติ ล้วนชวนให้คนอกสั่นขวัญแขวน
มู่ชิงเกอบิดริมฝีปากครุ่นคิดนิ่งนาน อดจะเป็นห่วงฉินอี้เหยาไม่ได้