Skip to content

พลิกปฐพี 167-1

ตอนที่ 167-1

อย่าได้คิดเทียบกับคุณชาย อันตราย

ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณอะไร ก็สามารถเหาะทะยานขึ้นกลางอากาศได้ มู่ชิงเกอมองสัตว์อสูรที่บินอยู่ใต้เท้า ก่อนจะจุ๊ปากนึกอิจฉาขึ้นมาในใจ

“ฮ่าๆ เจ้าจะมาอิจฉาข้าทำไม? เจ้าเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ มีคุณสมบัติที่จะรับเอาสัตว์อสูรมาเป็นพาหนะของตนได้” เซี่ยเทียนอู๋เห็นสีหน้าอิจฉาของนางแล้ว ก็อดจะเย้าแหย่ไม่ได้

มู่ชิงเกอเหลือบตามองเขา ก่อนจะกะพริบตา “ยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?”

แล้วตาแก่หัวหน้าโรงโอสถก็ไม่บอกนาง!

ปฏิกิริยาของนางกลับทำให้เซี่ยเทียนอู๋ถามอย่างแปลกใจ “ทำไมรึ? ตอนที่เจ้ารับป้ายผู้อาวุโส ท่านหัวหน้าโรงโอสถไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง รอยยิ้มยากจะคาดเดาความหมาย

เซี่ยเทียนอู๋ไอแห้งๆ อย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะเบือนหน้าไป

หลุบตาลงตํ่า มู่ชิงเกอนึกกัดฟันในใจ พลางนึกวางแผน หากได้กลับไปที่สำนักใหญ่ของโรงโอสถอีกครั้ง จะต้องเอาสัตว์อสูรมาอยู่ในมือให้ได้!

ไม่! ตัวเดียวไม่พอ! อย่างน้อยต้องสองตัว สามตัว ถึงจะพอชดเชยบาดแผลในใจนางได้

มู่ชิงเกอก้มลงมองภูเขาลำธารที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สายลมเร็วแรงพัดผ่านร่างนางไป พัดจนเสื้อผ้าและเส้นผมของนางปลิวพลิ้ว

ถึงแม้จะบอกว่าหลังพลังอยู่ในขั้นสีม่วงแล้วสามารถใช้พลังจิตในการบินร่อนกลางอากาศได้ แต่ทำเช่นนั้นก็ใช้พลังจิตไปมากเช่นกัน หากไม่จำเป็นจริงๆ นางจะไม่ทำเช่นนี้แน่นอน

“เหตุใดสำนักใหญ่จึงต้องปลดหัวชางซู่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าโรงโอสถด้วยล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หลังจากเซี่ยเทียนอู๋มาถึงแล้ว ทั้งสองคนก็เพียงแต่พูดคุยกันคร่าวๆ นางก็บอกลาคนที่บ้าน ขึ้นนั่งบนสัตว์อสูรของเขา รายละเอียดบางอย่างก็ไม่ทันได้เอ่ยถาม

เซี่ยเทียนอู๋เหลือบมองนาง ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้?”

ริมฝีปากมู่ชิงเกอกระตุกเบาๆ ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ “ผู้อาวุโสเซี่ยพูดเรื่องน่าขันแล้ว หากข้ารู้เรื่องภายใน จะยังต้องถามท่านหรือ?”

สีหน้าของเซี่ยเทียนอู๋เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางมีเลศนัย “สาขาย่อยสร้างยอดฝีมือมาไม่น้อยเลย!”

ประโยคซ่อนความคลุมเครือเช่นนี้ แต่มู่ชิงเกอกลับฟังแล้วก็เข้าใจกระจ่างได้

ดวงตานางหรี่เพ่งลง ก่อนจะถามเสียงหนักแน่น “เรื่องนี้เกียวข้องกับจูหลิง?”

เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้า “เจ้าจากไปก่อน เรื่องราวหลังจากนั้นย่อมไม่รู้แน่นอน จูหลิงเข้าร่วมการทดสอบของสำนักใหญ่หลังจากเจ้าไปแล้ว พรสวรรค์ของนางก็นับว่าไม่เลว การตระหนักรู้ก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน แล้วยังเป็นเด็กที่ชอบฝึกฝนอย่างเข้มงวด เพราะฉะนั้น นางจึงผ่านการทดสอบไปอย่างไม่ผิดคาด แล้วยังมีผู้อาวุโสหลายคนแย่งรับนางเป็นศิษย์”

มู่ชิงเกอฟังพลางพยักหน้า

จูหลิงไม่ใช่คนธรรมดาๆ ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

“แต่ว่า เจ้ารู้ไหม? โอกาสดีหาได้ยากเช่นนั้นนางกลับปฏิเสธไปหมด” เซี่ยเทียนอู๋หันไปมองมู่ชิงเกอ สีหน้าจริงจังมากกว่าเดิมหลายส่วน

ปฏิเสธ?

มู่ชิงเกอตกตะลึง เรื่องเช่นนั้นนางไม่ได้นึกมาก่อน

เมื่อเซี่ยเทียนอู๋ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากสีหน้าของมู่ชิงเกอ จึงพูดต่อไปว่า “เหตุผลที่นางปฏิเสธก็ยิ่งแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร บอกว่าที่ไม่อยากคารวะใครเป็นอาจารย์อีกเพราะอาจารย์คนที่แล้วทำให้นางผิดหวังมากไป” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ไหนแต่ไร มีแต่ศิษย์ทำให้อาจารย์ผิดหวัง อาจารย์ทำให้ศิษย์ผิดหวัง มีที่ไหนกัน? คำของนางดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโสไม่น้อย ภายหลังนางจึงได้พูดเรื่องที่หัวชางซู่ใช้เรื่องส่วนรวมมาช่วยเรื่องส่วนตัว ลอบถ่ายทอดวิชาเป็นการส่วนตัว บีบคั้นนักปรุงยาคนอื่นๆ รวมถึงเรื่องที่นางโดนบังคับให้กินโอสถหุ่นเชิดในขณะที่อยู่สำนักสาขาย่อยนางล้วนพูดออกมาหมดสิ้น”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้มู่ชิงเกอก็เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง นางก็ว่าแล้ว ไม่มีทางจะปลดตำแหน่งหัวชางซู่อย่างไร้เหตุผล ที่แท้ก็มีจูหลิงลอบลงแรงอยู่เบื้องหลังนี่เอง

“สำนักสาขาใหญ่คงไม่ปลดตำแหน่งผู้อาวุโสเพียงเพราะการฟังความข้างเดียวเป็นแน่” มู่ชิงเกอเอ่ย

เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงแท้ เพราะฉะนั้นการเดินทางของพวกเราคราวนี้ก็คือการเดินทางไปตรวจสอบพิสูจน์ความจริงเรื่องที่จูหลิงพูดมาทั้งหมด ป้ายคำสั่งปลดตำแหน่งที่อยู่กับพวกเราก็จะมีผลทันที”

“เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีกหรือ?” มู่ชิงเกอกระตุกริมฝีปาก สีหน้าแววตามีความเยือกเย็นและไม่ยินยอมปรากฏเพิ่มมาอีกหลายส่วน

สีหน้าเช่นนี้ นางไม่ได้จงใจจะปกปิด เซี่ยเทียนอู๋ย่อมสังเกตเห็นได้ทันที

เขาเอ่ยขึ้นอย่างไวต่อความรู้สึก “ทำไมรึ? เขาล่วงเกินเจ้าด้วยหรือ?”

มู่ชิงเกอแสร้งมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยสายหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ผู้อาวุโสเซี่ยคงอายุมากแล้วจริงๆ? ความจำจึงได้ยํ่าแย่เพียงนั้น? การแข่งขันจัด อันดับเพื่อรายชื่อผู้ส่งโอสถครั้งนั้น ท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยนี่”

เซี่ยเทียนอู๋หัวเราะแห้งๆ เห็นได้ชัดว่าอึดอัดอยู่บ้าง

เมื่อหวนคิดถึงการแข่งขันครั้งนั้น บรรยากาศของความขัดแย้งรุนแรง เขาไม่ได้โง่ย่อมมองออกว่ามู่ชิงเกอและหัวชางซู่นั้นไม่ถูกกัน

“ข้ายังนึกว่า เจ้าเพียงแต่ขัดแย้งกับศิษย์ของเขา”

มู่ชิงเกอแค่นยิ้ม “ไม่มีการชี้นำจากอาจารย์ เพียงศิษย์คนเดียวจะสร้างเรื่องได้ยิ่งใหญ่เพียงใด?”

เซี่ยเทียนอู๋ดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะเข้ามาใกล้ทันที “เขาสร้างความลำบากอะไรให้เจ้า? พูดให้ละเอียดๆ ไม่แน่ว่าพวกเราจะได้เสร็จภารกิจเร็วขึ้น”

แน่นอน นางเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจหัวชางซู่ เพราะฉะนั้น นางจึงได้พูดเรื่องที่หัวชางซู่ทำกับนางทั้งหมดออกมา แม้กระทั่งการมีอยู่ของมังกรวารีนางก็ไม่ได้ปิดบังเซี่ยเทียนอู๋

“อะไรนะ! มังกรวารีพลังขั้นสีม่วง? แล้วเด็กๆ อย่างพวกเจ้ารอดมาได้อย่างไร?” เซี่ยเทียนอู๋เอ่ยอย่างตกใจ

มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยกมือปัด พลังสีม่วงสว่างเป็นประกายกลางฝ่ามือของนาง

“เจ้า เจ้า เจ้า…” เซี่ยเทียนอู๋ชี้ที่พลังของนาง ตกใจจนตาโตพูดจาติดขัด

ศิษย์ของโรงโอสถ มุ่งฝึกการเป็นนักปรุงยามาแต่ไหนแต่ไร ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการฝึกพลังในสำนักใหญ่ ศิษย์ที่มีพลังสีนํ้าเงินเช่นจิ่งเทียนก็ถือว่าก้าวหน้ากว่าผู้อาวุโสหลายคนแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่า ระดับพลังของเขานั้นใช้พลังของยาผลักดันขึ้นไป

แล้วมู่ชิงเกอล่ะ? นางมาจากแคว้นอันดับสาม ทรัพยากรหลายอย่างไม่มีทางเทียบแคว้นอันดับหนึ่งได้แน่นอน แล้วทักษะการเคี่ยวปรุงยาของนางยังดีเช่นนั้นอีก

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ในการฝึกพลังวิญญาณส่วนตน นางยังสามารถทำให้คนต้องตกตะลึงได้อีก!

เซี่ยเทียนอ๋รู้สึกสลดใจขึ้นมาทันที

เขาเป็นผู้อาวุโสที่คอยจัดการเรื่องราวต่างๆ ในสำนักใหญ่แท้ๆ แต่ระดับพลังกลับอยู่เพียงขั้นสีนํ้าเงินระดับสูง เจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้านี่อายุเท่าไหร่กันเชียว? ไม่ถึงยี่สิบกระมัง? แต่กลับถึงขั้นสีม่วงแล้ว

มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจความตกตะลึงของเขา แต่กลับอธิบายว่า “ตอนที่เห็นมังกรวารีครั้งแรกนั้น ข้ายังห่างจากระดับสีม่วงเพียงขั้นเดียวเท่านั้น”

“แล้วมังกรวารีนั้นล่ะ?” เชี่ยนเทียนอู๋นึกขึ้นได้ เอ่ยถามเร่งรีบ

บนตัวมังกรวารีนั้นล้วนเป็นของวิเศษมีค่า จะพลาดไปไม่ได้!

มู่ชิงเกอเอ่ยเรียบๆ “หนีไปแล้ว”

“หนี หนีไปแล้ว?” เซี่ยเทียนอู๋นึกตกใจจนคางแทบจะหลุดลงมา มังกรวารีมีพลังขั้นสีม่วงโดนเด็กๆพวกนี้ มทำร้ายจนต้องหนี วาจาเช่นนี้ใครจะเชื่อกัน?

“ท่านจะเชื่อหรือไม่ นี่ก็คือคำตอบ” มู่ชิงเกอเอ่ยเรื่อยๆ หนึ่งประโยค

เซี่ยเทียนอู๋มองมู่ชิงเกอ เมื่อเห็นนางไม่อยากพูดให้มากความ จึงได้แต่เงียบไปอย่างรู้สถานการณ์

ตอนนี้ เวลานี้ เขาไม่ได้มีข้อได้เปรียบใดๆ ต่อหน้ามู่ชิงเกออีก

จะเทียบตำแหน่ง? ทุกคนก็เป็นผู้อาวุโสแห่งโรงโอสถ เทียบเรื่องศาสตร์การปรุงยา? เหอะๆ ล้วนเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น แล้วมู่ชิงเกอยังมีขอบเขตขั้นสมบูรณ์ แล้วจะเทียบได้อย่างไร?

จะเทียบระดับพลัง? เขาก็ยังอยู่ในขั้นสีนํ้าเงิน…

ท่ามกลางการถอนใจไร้ที่สิ้นสุด เซี่ยเทียนอู๋ก็วางท่าให้ดูสง่า

สัตว์อสูรบินได้รวดเร็ว ออกเดินทางจากแคว้นฉิน บินตอนกลางวัน พักผ่อนยามกลางคืน ใช้เวลาไม่ถึงสิบวันก็มาถึงเขตแดนของแคว้นอวี๋

หากถือเอาความเร็วเช่นนี้ไม่ถึงสองวัน พวกเขาก็ไปถึงสาขาย่อยของโรงโอสถได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version