ตอนที่ 166-5
คุณชายอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!
ก็เหมือนกับที่มู่ชิงเกอกล่าวเอาไว้ เยาเถาจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
นางตอนนี้ก็อยู่ในพลังขั้นสีม่วงแล้ว มีอายุยืนยาวนับพันปี เยาเถาก็เป็นเพียงผู้ที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตอันยืนยาวของนางช่วงหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับนาง นางแม้แต่จะชายตามองก็จะคงไม่มี
จ้องมองไปทางฝนตกห่าใหญ่ด้านนอก มู่ชิงเกอก็นั่งจิบชาอยู่เงียบๆ
นานมากแล้วที่นางไม่ได้นั่งดื่มชาเลิศรสพร้อมกับทอดมองสายฝนอย่างผ่อนคลายและปลอดโปร่งเช่นนี้
ในที่สุดฝนก็หยุดลง มู่ชิงเกอเดินออกจากโรงนํ้าชา เดินไปทางจวนตระกูลมู่
เพียงแต่พอมาถึงจวนตระกูลมู่ นางกลับพบว่าด้านนอกจวนตระกูลมู่ก็มีคนยืนอยู่หนึ่งคนกับคนคุกเข่าอีกหนึ่งคน
คนที่ยืนอยู่ นางนั้นรู้จักดี ก็เป็นขุนนางต้าซือหม่าของราชสำนักคนปัจจุบัน
ส่วนคนที่คุกเข่าอยู่ นางก็รู้จักเช่นกัน ก็เป็นเจ้าเด็กไม่ได้ความผู้นั้นที่เมื่อคืนแข่งเงินทองกับเจ้าอ้วนเช่า โจวอู่เวย ดูจากท่าทางของสองคนนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็คาดเดาได้ถึงจุดประสงค์ในการมาของพวกเขา
แววตาไหววูบ มู่ชิงเกอก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาให้มากความ หันหลังเดินเข้าไปในจวนตระกูลมู่จากประตูหลัง
และในขณะที่นางกลับมาถึงสวนสระเมฆา คนทั้งสอง ด้านหน้าประตูก็ถูกมู่ซงเชิญเข้ามาในจวนแล้ว
ไม่ทันไร การเชิญตัวของท่านผู้เฒ่าก็ถูกส่งมาจากจวนส่วนหน้า
มู่ชิงเกอเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่ค่อนข้างสบายตัวก่อนจะเดินออกไปจากเรือน นำสาวใช้ทั้งสองเดินไปทางจวนส่วนหน้า
พอเพิ่งเข้าในจวนส่วนหน้า หางตาของมู่ซงก็เห็นตัวนางในทันที ร้องเรียกขึ้น “เอาล่ะ ตอนนี้คนที่เป็นประมุขของตระกูลมู่ก็เป็นหลานชายของข้าผู้นี้ พวกเจ้ามีอะไรจะกล่าวก็พูดกับเขาเอาเถอะ”
พอกล่าวจบ มู่ซงก็โยนเรื่องออกมาตรงๆ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
ส่วนเซวียเฉียวกับมู่เหลียนหรงนั้นก็ไม่เห็นเงาของทั้งสองคนแม้แต่น้อย
ขุนนางต้าซือหม่าพอเห็นเข้ากับมู่ชิงเกอก็เร่งโค้งกาย คำนับอย่างนอบน้อม ก่อนจะสั่งให้โจวอู่เวยคุกเข่าลงไปตรงหน้านาง
“คุณชายมู่ เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะเข้ามาลั่วตูเป็นครั้งแรก ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ขอใต้เท้าท่านได้โปรดเมตตาด้วย อย่าได้ถือสาหาความเลยขอรับ ข้าน้อยขอรับรองว่าเจ้าเด็กนี่ จะไม่ก่อเรื่องก่อราวอีก ไม่มีทางปล่อยให้ไปล่วงเกินคุณชายอีกเด็ดขาด!” พอกล่าวจบ เขาก็บังคับให้โจวอู่เวย โขกหัวคำนับให้มู่ชิงเกอไปสามครั้ง
ฮวาเยวี่ยกับโย่วเหอก็มองจนประหลาดใจนัก
แต่มู่ชิงเกอกลับกล่าวว่าเสียงราบเรียบ “ก็แค่คนในทางเดินสายเดียวกันประมือกันเพียงเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด ต้าซือหม่าทำไมจะต้องออกหน้าวิ่งมาถึงที่นี่ด้วย?”
การประมือของคนในทางเดินสายเดียวกัน?
ต้าซือหม่ายกมุมปากสูงขึ้น ทำได้เพียงหัวเราะยิ้มตามไปด้วย
โจวอู่เวยก็เห็นด้วยตาตัวเองว่าขุนนางต้าซือหม่าที่มีความหยิ่งทะนง แม้แต่บิดาของตนในเวลาปกติยังต้องประจบประแจงพอมาอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอกลับกลายเป็นคนว่าง่ายราวกับสุนัขเฝ้าประตูบ้าน เหมือนว่าในที่สุดก็รู้แล้วว่าตัวตนของมู่ชิงเกอนั้นไม่อาจแตะต้องได้
เขาก็เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมออกไปก็ไม่ปาน คุกเข่าอยู่กับพื้นร้องไห้จนไร้น้ำตา
“แต่เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาจะมีเรื่องผิดใจอะไรกับเจ้าอ้วนเช่าอยู่ ใช่ เจ้าอีกสักครู่ก็พาเขาไปจวนตระกูลเช่าเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าวเรียบๆ ขึ้นมาประโยค หนึ่งก่อนจะไล่ทั้งสองให้จากไป
หลังจากส่งทั้งสองจากไปแล้ว โย่วเหอก็พลันยิ้มขำขึ้น “คุณชายช่างชั่วร้ายนัก มาขอโทษท่านก็ยังไม่พอ ยังต้องให้คนเขาไปขอโทษคุณชายเช่าอีก หรือว่าอยากให้เจ้าเด็กนั่นโขกหัวให้คุณชายเช่าซักหลายที?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว “นั่นก็เป็นเรื่องของจวนตระกูลเช่าแล้ว ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า” พอกล่าวจบนางก็ปัดชายเสื้อของตัวเองเล็กน้อย กล่าวอย่างเกียจคร้าน “จะทำให้เขา ยอมโขกหัวให้กี่ครั้ง นั่นก็ต้องดูความสามรถของเจ้าอ้วนเช่าแล้ว”
มู่ชิงเกอหลังจากกลับมาถึงลั่วตูก็เหมือนกับว่าจะมีเรื่องวุ่นวายอยู่แค่ช่วงแรกสุดเท่านั้น หลังจากทำให้ชาวเมืองลั่วตูจดจำได้ว่ายังมีนางที่เป็นเจ้าถิ่นผู้นี้อยู่ เรื่องราวก็กลายเป็นเงียบสงบลง
ส่วนวังหลวง ก็ไม่ได้มีโองการเรียกตัวให้นางไปเข้าเฝ้าแต่อย่างใด ส่วนมู่ชิงเกอแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยที่จะไปหาฉินจิ่นเฉินด้วยตัวเองก่อนอยู่แล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็ไม่มีใครกล้าไปคาดเดาว่าฮ่องเต้กับคุณชายตระกูลมู่เกิดความห่างเหินกันขึ้นหรือไม่ เพราะว่าเรื่องราวที่มู่ชิงเกอทำก่อนหน้าก็เปิดเผยจุดประสงค์และความคิดของตนอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากกลับมาถึงลั่วตูได้เกือบเดือนหนึ่ง จวนตระกูลมู่ก็พากันจัดงานเลี้ยงส่งตัวมู่เหลียนหรงออกเรือน
วันนี้ ลั่วตูก็คึกคักเป็นอย่างมาก ของขวัญจำนวนไม่น้อย ถูกส่งเข้าจวนตระกูลมู่ แม้แต่ในวังหลวงก็ยังส่งรายการของขวัญมาอย่างยาวเหยียด สมบัติลํ้าค่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็เหมือนกับไม่เสียดายเงินอย่างไรอย่างงั้นถูกเสริม เข้าไปในสินสมรสเจ้าสาวของมู่เหลียนหรง หากมีเพียงมู่ซงเพียงคนเดียว ก็คงเกรงว่าจะไม่มีความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตดังเช่นตอนนี้
แต่พอหลังจากมีมู่ชิงเกอเพิ่มเข้ามาอีกคน จะจัดงานอลังการหรือว่าฟุ้งเฟ้อเพียงใด ก็ล้วนแต่สมเหตุสมผล
ช่วงขณะนั้นตามตรอกซอกซอยก็ล้วนแต่พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นมาของเขยขวัญของจวนตระกูลมู่
หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าร่ำลือกันมาจากที่ไหน บอกว่าเขยขวัญของจวนตระกูลมู่ก็มาจากตระกูลทรงอำนาจของแคว้นระดับสอง และในตอนนั้นเองจากคำวิพากษ์ วิจารณ์ก็พลันกลายเป็นคำชื่นชมอวยพร
จากที่พวกเขามองดู สถานะเช่นนี้ก็ถึงจะเหมาะสมกับมู่เหลียนหรงที่คล้ายกับเป็นองค์หญิงที่ไม่ได้มียศตำแหน่งของแคว้นฉิน
งานเลี้ยงก็จัดติดต่อกันไปสามวันสามคืน
สามวันสามคืนนี้มู่ซงก็ล้วนแต่เมามายอยู่ในดงสุรา
มู่ชิงเกอก็ดื่มไปไม่น้อยเช่นกัน ยังดีที่ไม่มีใครกล้ามากรอกเหล้านาง ดังนั้นนางก็เลยยังมีสติดีอยู่ แต่เจ้าอ้วนเช่าที่มีฐานะเป็นเพื่อนสนิทของนางกลับมีสภาพน่า อนาถนัก
คนอื่นไม่กล้ากรอกเหล้านาง แต่ก็ไม่ได้ความว่าจะไม่กล้ากรอกเหล้าเจ้าอ้วนเช่า
ดังนั้นในท้ายที่สุด เจ้าอ้วนเช่าก็ต้องถูกหามออกไปจากจวนตระกูลมู่
งานแต่งงานของมู่เหลียนหรงพอเสร็จสิ้น จวนตระกูลมู่ก็นับว่าจัดการเรื่องสำคัญเสร็จไปเรื่องหนึ่ง มู่ชิงเกอแต่เดิมวางแผนว่าจะอยู่ที่บ้านสักช่วงหนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทางไปที่โรงโอสถสาขาย่อย ทำการทดสอบในการออกจากสำนัก
ที่นั้นก็ยังมีเพื่อนฝูงอยู่อีกหลายคนที่รอนางไปจัดการเรื่องราวให้สำเร็จเสร็จสิ้นตามนัดหมาย
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า นางยังไม่ทันได้ออกเดินทาง จวนตระกูลมู่ก็มีแขกที่ไม่ได้นัดหมายปรากฏขึ้นผู้หนึ่ง
“ผู้อาวุโสเซี่ย” มู่ชิงเกอมองไปทางเซี่ยเทียนอู๋ที่ร่อนลงมาจากฟ้าอย่างประหลาดใจ
เซี่ยเทียนอู่ยิ้มแย้มพลางกล่าวไปที่นาง “ผู้อาวุโสมู่ ขออภัยที่มารบกวน”
ในครั้งแรกที่ได้ยินตนเองถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสมู่’ จากปากของเซี่ยเทียนอู่ มู่ชิงเกอก็รู้สึกไม่คุ้นชินนัก การเรียกเช่นนี้พอฟังแล้วก็รู้สึกขัดเขินเป็นอย่างมาก
“ผู้อาวุโสเซี่ยเรียกข้าว่ามู่ชิงเกอเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าว
เซี่ยเทียนอู่กับสัตว์พาหนะของเขาอยู่ๆ ก็ร่อนลงมาที่จวนตระกูลมู่ นี่ก็ทำเอาในจวนแตกตื่นกันไม่น้อย หลังจากมู่ชิงเกอค่อยๆ อธิบายออกไปถึงค่อยสงบลง หลังจากนำตัวเซี่ยเทียนอู่ไปแนะนำให้แก่มู่ซง มู่เหลียนหรง และเซวียเฉียวทั้งสามคนแล้ว ถึงได้พาเขามายังที่พำนักของตน
“ผู้อาวุโสเซี่ยทำไมอยู่ๆ ถึงมาที่นี่กัน? ทั้งยังมุ่งมาที่จวนตระกูลมู่โดยตรง” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างสงสัย
เซี่ยเทียนอู่ยิ้มกล่าวว่า “รู้ว่าเจ้าจะต้องอยู่ที่จวนตระกูลมู่ ดังนั้นก็เลยคิดจะมารับเจ้าไปที่โรงโอสถสาขาย่อยด้วยกันสักรอบ”
“อ้อ? มีธุระรึ?” มู่ชิงเกอถาม แววตาไหววูบ
เซี่ยเทียนอู่พยักหน้า ก่อนจะหยิบม้วนผ้าออกมาจากอก ม้วนหนึ่ง ส่งมอบมันให้แก่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอก็เปิดมันออกมาอ่านตรงๆ หลังจากเห็นเนื้อความด้านบนแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็พลันหรี่เล็กลง เงยหน้ามองไปทางเซี่ยเทียนอู๋สีหน้าจริงจัง “สาขาหลักจะริบตำแหน่งหัวหน้าสาขาย่อยของหัวชางซู่”