Skip to content

พลิกปฐพี 167-2

ตอนที่ 167-2

อย่าได้คิดเทียบกับคุณชาย อันตราย

พระอาทิตย์ยามเย็น ค่อยๆ ลาลับโค้งขอบฟ้า

ฉายแสงส่องสะท้อนจนก้อนเมฆเป็นสีแดงประกายทอง ราวมีทองคำทาบทาอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อไม่มีแสงของพระอาทิตย์ส่องสว่าง เงาดำผืนใหญ่ก็เข้ามาครอบคลุมโอบล้อมร่างของมู่ชิงเกอและเซี่ยเทียนอู๋

เซี่ยเทียนอู๋ตบลำคอของสัตว์อสูรที่อยู่ใต้ร่าง เมื่อสัตว์อสูรได้รับคำสั่งก็กระพือปีกยกขยับเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงตํ่า มุ่งหน้าไปยังผืนป่าตรงหน้า

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ชาวบ้านที่อาจจะตกใจกลัวสัตว์อสูร ช่วงหลายวันนี้พวกเขาล้วนเลือกพักแรมบริเวณที่ห่างไกลจากแหล่งผู้คน

สัตว์อสูรร่อนลงพื้นได้ปลอดภัย ไม่ไกลออกไป มีถํ้ารกร้างแห่งหนึ่ง

เซี่ยเทียนอู๋และมู่ชิงเกอกระโดดลงจากหลังของสัตว์อสูร ก่อนที่พวกมันจะบินร่อนขึ้นอีกครั้งเพื่อออกหาอาหาร

ทั้งสองคนเดินไปที่ปากถํ้า เซี่ยเทียนอู๋มองสำรวจปากถํ้า ที่ไม่ใหญ่มากนัก ก่อนจะเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ที่นี่ดูแห้ง สะอาดดี คืนนี้ก็พักแรมที่นี่กันเถอะ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า แสดงท่าทีว่าไม่มีความเห็นอื่นใด

เซี่ยเทียนอู๋จึงหยิบผงยาไล่สัตว์ร้ายออกมาซัดไปทั่วบริเวณถํ้ารอบหนึ่ง

มู่ชิงเกอเก็บเศษไม้มาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะจุดไฟกองหนึ่งขึ้น ในถํ้า แสงไฟลุกพุ่งขึ้นมารวดเร็ว ส่องแสงสว่างไปทั่วถํ้า และยังสร้างความอบอุ่นไปพร้อมกัน

ทั้งสองคนนั่งราบลงกับพื้น เซี่ยเทียนอู๋ดึงกระเป๋าจัดเก็บขึ้นมาหยิบเอาอาหารและนํ้าออกมา ทั้งสองคนนั่งกินเงียบๆ

มู่ชิงเกอไม่ใช่คนช่างพูดและก็รู้สึกว่าตนไม่ได้สนิทกับเซี่ยเทียนอู๋มากนัก เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน เซี่ยเทียนอู๋เองก็ไม่ใช่คนช่างพูดมากมาย เมื่อกินดื่มจนอิ่มแล้วก็นั่งลงทำสมาธิที่พื้น

ราวกับว่า เขาอยากจะฝึกตนให้เข้มงวด เพื่อจะได้ก้าวลํ้าหน้าชายหนุ่มตรงหน้านี้ให้ได้

พลัน ก็มีเสียงฝีเท้าดังระรัวขึ้นจากภายนอก ฟังจากเสียงคนที่มามีจำนวนไม่น้อยเลย

“ที่นี่มีถํ้า แล้วเหมือนว่าจะมีแสงไฟด้วย”

เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายตรงข้ามเห็นพวกเขาแล้ว

เซี่ยเทียนอู๋ลืมตาขึ้น ก่อนจะมองไปทางถํ้า พลางหันมองมู่ชิงเกอ อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร

ยามนี้ เงาคนภายนอกถํ้าเกิดเคลื่อนไหว เหมือนว่าคนที่อยู่นอกถํ้ากำลังจะเข้ามา

“พี่ใหญ่ ที่นี่มีแสงไฟ ต้องมีคนแน่ๆ!”

แต่กลุ่มคนนอกถํ้าก็ไม่ได้เข้ามาทันที กลับยังคงพูดคุยกันอยู่ด้านนอก

“ไร้สาระ! มีแสงไฟก็ต้องมีคนแน่อยู่แล้ว”

“แล้วพวกเรา…” แม้จะยังเอ่ยไม่จบ แต่เป็นใครก็ล้วนฟังออกว่าในคำพูดนั้นเขาไม่ได้มีเจตนาดี เซี่ยเทียนอู๋มองที่มู่ชิงเกอ แต่มู่ชิงเกอกลับไม่มีอาการตอบรับใดๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินถ้อยคำนอกถํ้าเลย

ไม่มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกอีกแล้ว

เพราะว่ากลุ่มคนนอกถํ้าหยิบเอาอาวุธขึ้นมาถือเตรียมพร้อม บุกเข้ามาด้วยท่าทางดุดันโหดร้าย พุ่งอาวุธเข้าใส่คนทั้งสองที่นั่งทำสมาธิข้างกองไฟ

“โอ๊ะ เป็นตาแก่กับเจ้าหนุ่มหน้าตาดี!”

คนที่เข้ามา มีเพียงเจ็ดคน เมื่อมองเห็นเซี่ยเทียนอู๋และมู่ชิงเกอชัดๆ แล้วก็ผ่อนคลายลงทันที

เมื่อถึงเวลานี้ เซี่ยเทียนอู๋ก็มองลักษณะคนเหล่านั้นได้ชัดเจน

เขาขมวดคิ้วแน่น

จะอธิบายอย่างไรดี? ล้วนพูดกันว่ารูปลักษณ์เกิดจากจิตใจ มีความคิดจิตใจอย่างไร ก็ย่อมมีลักษณะท่าทางเช่นนั้น คนที่อยู่ตรงหน้าไม่กี่คนนี้ หน้าตาธรรมดา แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยบากและริ้วรอย คิ้วตาดูเจ้าเล่ห์ โลภมาก มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร แล้วยังมีอาวุธในมือพวกเขา ถึงแม้จะขัดถูจนเงาวับ สะอาดสะอ้าน แต่กลับปิดบังคาวเลือดเข้มหนักที่ปะปนไว้ไม่ได้ ดูท่าคงฆ่าคนมาไม่น้อยแล้ว

มองเพียงแวบเดียว เซี่ยเทียนอู๋ก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้

แขกไม่ได้รับเชิญที่บุกเข้ามาอย่างกระทันหันเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนดีอะไร!

“พลังขั้นสีเขียวขั้นต้นสามคน ขั้นกลางสองคน มีพลังสีเขียวขั้นสูงหนึ่งคน ส่วนอีกคนเป็นพลังสีเขียวขั้นสูงสุด” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็พูดขึ้นแต่เป็นการพูดกับเซี่ยเทียนอู๋

เซี่ยเทียนอู๋มองนางอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับมองดวงตากระจ่างใสของนางได้เข้าใจกระจ่าง

พลัน เขาก็พอจะเข้าใจความหมายที่มู่ชิงเกอต้องการเอ่ยสื่อขึ้นมาได้ เขายิ้มขื่นๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดเสื้อพลางลุกขึ้นยืน ถอนใจพลางเอ่ยว่า “ให้ข้าจัดการเถอะ จะรบกวนให้เจ้าต้องลงมือได้อย่างไร?”

“ตาเฒ่าเจ้าว่าไงนะ? รีบเอาของมีค่าในตัวออกมาให้หมด ไม่แน่ว่าพวกข้าอาจจะใจดีปล่อยชีวิตสุนัขเฒ่าของเจ้าไปก็ได้!” คนที่มีพลังสีเขียวขั้นสูงสุดเอ่ยขึ้นอย่าง ทะนงตน เซี่ยเทียนอู๋เป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ เมื่อไปที่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการเคารพนบนอบมาตลอด

เคยมีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้ที่ไหน?

เดิมทีเขายังมีท่าทางลังเล ว่าไม่พูดอะไรแล้วลงมือสังหารคนจะดีหรือไม่ เพียงชั่วพริบตา ร่างเขาก็หายวับไป

ได้ยินเพียงเสียงโหยหวนครวญครางร้องขึ้น เลือดไม่กี่หยด หยดลงที่พื้นตรงหน้ามู่ชิงเกอ ดวงตานางเป็นประกายวาววับขึ้นมา หลังจากนั้น เซี่ยเทียนอู๋ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตำแหน่งเดิม ราวกับว่าไม่เคยเคลื่อนจากที่มาก่อน

หลังจากนั้น ผู้บุกรุกทั้งเจ็ดคนล้วนสิ้นใจอยู่ที่พื้น สภาพศพแม้จะไม่ถึงขั้นชวนให้อนาถใจมากมาย แต่ก็ถือว่าไม่ได้ตายดีแน่นอน

มู่ชิงเกอมองหยดเลือดบนพื้นนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ เอ่ยด้วยท่าทางรังเกียจว่า “ในฐานะผู้อาวุโสแห่งโรงโอสถ ฆ่าคนกลับไม่คำนึงถึงความน่ามอง ใช้ยาพิษเพียงนิดเดียวก็สามารถจัดการได้แล้ว เหตุใดยังต้องให้เห็นเลือด?”

เซี่ยเทียนอู๋โดนนางต่อว่าจนปากกระตุก กลับไปนั่งที่เดิม ด้วยสีหน้าครํ่าเครียด

เขาเพิ่งจะนั่งลง มู่ชิงเกอกลับลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปทางคนกลุ่มนั่น

เซี่ยเทียนอู๋มองนางด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้พลันสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ตะโกนขึ้นว่า “นี่! ข้าคงไม่ถึงขั้นแยกไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นหรือตายหรอกน่า?”

มู่ชิงเกอเดินไปถึงตัวกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วย่อเข่านั่งลง ก่อนจะยื่นมือออกไป

เมื่อได้ยินคำพูดเหลืออดของเซี่ยเทียนอู๋แล้ว การเคลื่อนไหวของมือก็ชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงพลางอธิบายว่า “คนพวกนี้เมื่อดูแล้วก็คือโจร แต่ละแวกนี้ไม่มีบ้านเรือนคนอยู่เลย พวกเขาไม่ควรมาโผล่ที่นี่อย่างไม่มีเหตุผล”

พูดจบ นางก็ยื่นมือออกไปสำรวจดูว่าคนพวกนี้พกสิ่งใดติดตัวมาบ้าง

เมื่อเซี่ยเทียนอู๋ฟังการอธิบายของนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจขึ้นมา ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ พลางมองการเคลื่อนไหวมือของมู่ชิงเกอ

ผ่านไปครู่เดียว มู่ชิงเกอก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งลุกขึ้นยืน

ก่อนจะคลี่กระดาษในมือออก อักษรในกระดาษก็ปรากฏออกมา

มู่ชิงเกออ่านอักษรในกระดาษรวดเร็ว แววตาเปลี่ยนแปลงวูบไหว

“ข้างในเขียนว่าอย่างไร?” เซี่ยเทียนอู๋ยื่นศีรษะมา ถามอย่างสงสัยใคร่รู้

มู่ชิงเกอยื่นกระดาษในมือให้เขา

เซี่ยเทียนอู๋รับไป ก่อนจะอ่านเนื้อหาในกระดาษ ดวงตาพลันหรี่เพ่งลง ก่อนจะเอ่ยอย่างตกตะลึง “พวกเขาจะไปรวมตัวกันที่เมืองซางจื่อทำไมกัน?”

หากเขาจำไม่ผิด เมืองซางจื่อนั้นอยู่ใกล้ๆ กับสาขาย่อยของโรงโอสถ!

ตอนนื้มู่ชิงเกอเองก็เดินมาข้างๆ กองไฟ ก่อนจะนั่งลง ข้อศอกวางอยู่ที่หัวเข่า ยื่นมือไปอังไฟ “เมืองซางจื่อนั้นอยู่ใกล้ชายแดน เข้าไปอีกนิดก็เป็นแนวเทือกเขาของแคว้นปา หากถอยอีกหน่อยก็เป็นเขตป่าเขายาวเหยียดของแคว้นอวี๋แถบนั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครจัดการดูแลมาตลอดและเป็นแหล่งซ่องสุมเหล่าโจรขโมย แน่นอนว่า คนพวกนี้ความจริงแล้วก็คือผู้ฝึกตนที่ไร้สำนัก ระดับพลังของพวกเขาในแคว้นอันดับสามไม่นับว่าต่ำต้อย แล้วพวกเขายังลงมือไม่เลือกวิธีการ นิสัยอำมหิตโหดร้าย คำสั่งเรียกรวมตัวนี้กลับเรียกให้คนพวกนี้ที่อยู่ไกล เข้าไปรวมด้วยได้ก็สะท้อนให้เห็นเรื่องหนึ่งได้ชัดเจน    ”

พูดพลาง ดวงตานางก็ฉายแววเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “เมืองซางจื่อเกิดเรื่อง หรือว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงโอสถก็ได้!”

“เพราะอะไร?” เซี่ยเทียนอู๋ถามพลางขมวดคิ้ว

มู่ชิงเกอเบิกตามองเขา ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ในพื้นที่แถบนั้นนอกจากสำนักสาขาย่อยของโรงโอสถแล้ว ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะยังมีผลประโยชน์ใดที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็คงต้องเร่งเดินทางไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เซี่ยเทียนอู๋พูดกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้าเนิบๆ ไม่ได้ขัดความเห็นของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version