Skip to content

พลิกปฐพี 167-3

ตอนที่ 167-3

อย่าได้คิดเทียบกับคุณชาย อันตราย

ภายในสำนักสาขาย่อยของโรงโอสถที่เมืองซางจื่อ

ยามนี้ทั่วทั้งสำนักสาขาย่อยราวกับโดนปกคลุมด้วยบรรยากาศกดดันเคร่งเครียดไม่มีกลิ่นไอของเทพเซียน แวดล้อมดังเช่นที่ผ่านมา

ภายในสำนักสาขาย่อย บนถนนไม่มีศิษย์เลยแม้แต่คนเดียว บรรยากาศกดดันเคร่งเครียด ราวกับไม่มีคนอยู่ เลยแม้แต่คนเดียว

แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วที่นี่มีศิษย์ร่วมร้อยคนรวมถึงนักปรุงยา ผู้อาวุโสที่รักษาดูแลสำนักสาขาย่อยล้วนพักอยู่ที่ตำหนักรวมใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่มีทางออกมาได้ ไม่ ไม่ใช่ว่าไม่มีทางออกมา แต่เป็นเพราะไม่มีแรงออกมาต่างหาก!

โหลวชวนป่ายนิ่งขัดสมาธิอยู่กลางกลุ่มคน ที่ขนาบข้างซ้ายขวาเขาก็คือเหมยจื่อจ้งที่กลับมาจากสำนักใหญ่ แล้วยังมีซางจื่อซูที่แยกจากมู่ชิงเกอที่แคว้นลี่แล้วกลับมาที่สำนักสาขาย่อยก่อน จ้าวหนานซิงต้องกลับวังไปเมื่อถึงแคว้นอวี๋จึงกลับไปเมืองหลวงแล้ว เลยไม่ได้อยู่ในสำนักสาขาย่อย รอบๆ ตัวศิษย์อาจารย์ทั้งสามคนนี้ ล้อมไว้ด้วยคนจำนวนหลายร้อย

พวกเขาล้วนรักษาความเงียบไว้ ราวกับว่าโดนคุมขังไว้ที่นี่

จู่ๆ ประตูตำหนักใหญ่ก็โดนเปิดออก หัวชางซู่พาลูกศิษย์เข้ามา เขาไม่มีท่าทางเป็นผู้ฝึกตนสายเซียนเช่นเมื่อก่อนแล้ว แววตาท่าทางเต็มไปด้วยความโลภและทะเยอทะยาน

เขากวาดตามองคนที่นั่งอยู่เต็มตำหนักใหญ่ ก่อนจะยิ้มเยือกเย็นเอ่ยว่า “อย่างไร? คิดดีแล้วหรือยัง? ขอเพียงรับปากว่าจากนี้ไปจะภักดีต่อข้าเพียงผู้เดียว ข้าก็จะให้ยาแก้พิษกับพวกเจ้าทันทีแล้วพาเจ้าไปจากที่นี่แต่หากยังดื้อดึงแข็งขืน ก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน!”

บนใบหน้าศิษย์หลายคนมีท่าทีโกรธเกรี้ยว แต่ก็ยังมีอาจารย์ของแต่ละคนคอยปรามไว้

เว่ยฉี เว่ยกว่านกว่านสองพี่น้อง แล้วยังมีสุ่ยหลิง ฟู่เทียนหลงและคนอื่นๆ ยามนี้ก็อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเช่นกัน พวกเขามีใจต่อต้าน แต่ไม่มีฝีมือและอำนาจ ทำได้แต่ มองหัวชางซู่อย่างโกรธแค้น

รออยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีใครตอบรับ

หัวชางซู่หัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเดินไปที่ผู้อาวุโสที่ดูแลสำนักสาขาย่อย ก้มหน้าถามว่า “ผู้อาวุโสทั้งหลาย เหตุใดจึงต้องลำบากด้วยเล่า? พวกเราล้วนเป็นคนที่โดนส่งออกมารับความลำบากที่สำนักสาขาย่อย ส่วนคนเหล่านั้นอยู่ในสำนักใหญ่ อยากได้ลมฝนก็ได้ตามใจต้องการ ในเมื่อพวกเขาทอดทิ้งเราไป แล้วเหตุใดเรายังต้องภักดีต่อสำนักใหญ่อีก? ไม่สู้พวกเจ้ามาติดตามข้า ปลดปล่อยการผูกมัดนับแต่นี้เป็นต้นไป อาศัยความสามารถของพวกเราหลายคนในแคว้นระดับสามจะกลายเป็นเรื่องโดดเด่นเพียงใดกัน? จะมียอดฝีมือมาเข้ากับเราอีกเท่าไหร่? เป็นนายคนอื่นย่อมดีกว่าเป็นสุนัขรับใช้อยู่แล้ว”

เหล่าผู้อาวุโสรักษาสำนัก ไม่มีใครอยากจะสนใจเขา ในขณะที่เขาพูด แต่ละคนก็เบือนหน้าหนีเงียบๆ ราวกับไม่ยินดีที่จะพูดกับเขา

สีหน้าของหัวชางซู่เคร่งเครียดลง ดวงตาฉายแววเยือกเย็นและโหดร้ายขึ้นมา

“ไม่รู้จักที่ตํ่าที่สูง!” หัวชางซู่พูดเสียงเย็น ก่อนจะหมุนกายจากไป

เขาเดินไปที่เหล่านักปรุงยาที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง ก่อนจะไปถามความสมัครใจคนเหล่านั้น แต่ทว่า คนเหล่านั้นที่ปกติเคยรับใช้เห็นดีกับเขามาตลอด วันนี้กลับมีท่าทางแข็งขืน ดูเมินเฉยกับ ‘คำเชื้อเชิญ’ ของเขา

สุดท้าย เขาเดินไปที่ตรงหน้าโหลวชวนป่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในวันวาน สีหน้าเขาก็ดูดุร้ายขึ้นมาอีกหลายส่วน

เขายิ้มเยือกเย็นกับโหลวชวนป่าย “โหลวชวนป่าย อย่างไรเล่า วันนี้คนชนะจะเป็นเจ้าหรือข้ากันแน่?”

โหลวชวนป่ายเลิกสายตาขึ้นมองเขา ก่อนจะหลุบตาลงราวกับไม่อยากจะพูดกับเขา

ความดุร้ายบนใบหน้าของหัวชางซู่ก็เพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน เขาตะโกนใส่โหลวชวนป่ายว่า “เจ้าไม่ได้แข็งแกร่งกว่าข้าหรือไร? เหตุใดจึงได้แต่นั่งอยู่กับที่ กลายเป็นผักปลาแล้วแต่ข้าจะลงมือ? เจ้าเก่งกล้าเช่นนั้น ก็แก้พิษให้ทุกคนที่นี่เสียสิ!”

โหลวชวนป่ายยังคงไม่พูดอะไร หัวชางซู่ส่งเสียง เฮอะ เอ่ยว่า “เจ้าเองก็ได้แค่นี้สินะ!” พูดจบ เขาก็หมุนกายเดินออกไปจากโถงใหญ่ ก่อนที่จะปิดประตู เขาก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “พวกเจ้ายังมีเวลาวันสุดท้าย จะมาภักดีกับข้าหรือจะฝังร่างไปกับสำนักสาขาย่อยโรงโอสถ พวกเจ้าก็คิดดูให้ดี”

พร้อมกับการจากไปของเขา ประตูของโถงใหญ่ ก็ปิดแน่นสนิท

“อาจารย์…” เมื่อหัวชางซู่จากไป ซางจื่อซูก็มองโหลวชวนป่ายด้วยแววตาเป็นกังวล

เหมยจื่อจ้งก็มองเขาอย่างเป็นห่วงเช่นกัน

เดิมทีพวกเขากังวลว่าอาจารย์ของตนจะโดนหัวชางซู่ลอบทำร้าย จึงได้ให้อาจารย์ไปที่จวนตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินก่อนที่จะจากไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อพวกเขากลับแคว้นมา อาจารย์ก็มาจากจวนตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินเช่นกัน ในที่สุดก็ไม่อาจหลบเลี่ยงแผนร้ายของหัวชางซู่ไปได้

โหลวชวนป่ายถอนหายใจยาว เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่ว

เสียงร้องไห้เหล่านี้มาจากศิษย์สตรีหลายคน

เหมยจื่อจ้งบิดริมฝีปากพลางเอ่ย “หัวชางซู่ต้องวางแผนมาเนิ่นนาน ไม่เช่นนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้”

โหลวชวนป่ายพยักหน้า ก่อนจะมองศิษย์รักทั้งสองของตน ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย “ข้าแก่แล้ว ไม่เป็นไร เพียงแต่เจ้าทั้งสอง…”

“อาจารย์ไม่ต้องกังวลกับพวกเรา” เหมยจื่อจ้งเอ่ยเสียงหนักแน่น

ซางจื่อซูก็พยักหน้าพลางเอ่ย “อาจารย์อย่าได้กังวลมากไป ศิษย์น้องมู่ต้องมาช่วยพวกเราแน่”

เมื่อพูดถึงมู่ชิงเกอ แววตาเหมยจื่อจ้งก็สะท้อนแววสับสนขึ้นมา หากจะพูดจากใจจริงแล้ว เขาไม่ได้อยากให้มู่ชิงเกอต้องมาเสี่ยงอันตราย เขาเอ่ยว่า “ศิษย์น้องมู่อยู่ไกลถึงแคว้นฉิน นํ้าไกลไม่อาจดับไฟใกล้ ศิษย์น้องจ้าวอยู่แคว้นอวี๋ หากสังเกตสิ่งผิดปกติได้ ก็คงมาช่วยพวกเรา”

เมื่อฟังการปลอบใจจากลูกศิษย์แล้ว โหลวชวนป่ายก็พยักหน้า

เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในโรงโอสถ ไม่ขาดศิษย์ที่มีภูมิหลังสูงส่ง หากหัวชางซู่คิดอยากจะฆ่าตายทั้งหมดนั่นคงเป็นไปไม่ได้ ความจริงแล้วเขาอยากทำสิ่งใดกันแน่? เขาใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ไม่เกรงว่าสำนักใหญ่จะส่งคนมาเอาเรื่องหรือ?”

โหลวชวนป่ายยังมองแผนการหัวชางซู่ไม่กระจ่าง เหมยจื่อจ้งและซางจื่อซูก็ยิ่งมองไม่ออก

ในกลุ่มคนที่มุมหนึ่งในโถงใหญ่ เว่ยฉีพูดกับเว่ยกว่านกว่านว่า “เจ้าสุนัขเฒ่าแซ่หัวคิดจะทำอะไรกันแน่ ? หากมันฆ่าเรา ท่านพ่อคงไม่ปล่อยมันไปแน่!”

เว่ยฉีจับมือน้องสาวไว้ก่อนจะออกแรงบีบมือนางพลางเอ่ยปลอบ “อย่ากลัว ข้าอยู่นี่”

คำพูดสั้นๆ เพียงห้าอักษร แต่กลับเต็มไปด้วยสายใยความผูกพัน เว่ยกว่านกว่านฟังแล้วก็รู้สึกแสบที่ปลายจมูก ก่อนจะอดสะอื้นไม่ได้ว่า “เจ้าโง่เว่ยฉี ใครกลัวกันเล่า? ข้าไม่ได้อยากให้เจ้ามาปกป้อง เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอ!” ตอนนี้ ฟู่เทียนหลงจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “หากมีเรื่องไม่คาดคิด พวกเจ้ารีบออกไป ข้าจะคอยระวังหลังให้”

“เทียนหลง เจ้า!” สุ่ยหลิงมองเขาอย่างตกใจ ดวงตาฉายแววว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา

ฟู่เทียนหลงเห็นพี่น้องตระกูลเว่ยมองมา จึงเอ่ยกับสุ่ยหลิงว่า “สุ่ยหลิงเจ้าฟังข้าพูด ขอเพียงข้าปลดปล่อยสายเลือดอสูรเทวะในกายข้าให้เคลื่อนไหว หัวชางซู่นั้นก็ทำร้ายข้าไม่ได้แล้ว พวกเจ้ารีบหนีไป ยิ่งไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ที่นี่ใกล้แคว้นปาหน่อย ขอเพียงไปถึงแคว้นปาพวกเจ้าก็ปลอดภัยแล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยเปิดเผยแผนร้ายของหัวชางซู่ต่อสาธารณะชน”

พูดพลาง เขาก็หันไปมองสองพี่น้องตระกูลเว่ยพลางเอ่ยต่อไป “แคว้นลี่ไกลจากที่นี่มากนัก พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบกลับบ้าน ไปที่แคว้นปากับสุ่ยหลิงก่อน รอให้ทุกอย่างสงบแล้วค่อยกลับไป แต่ว่า ความปลอดภัยของสุ่ยหลิง ข้าต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ช่วยพานางไปส่งที่แคว้นปาก่อน”

“แล้วเจ้าล่ะ?” สุ่ยหลิงถามอย่างร้อนใจ

ฟู่เทียนหลงยิ้มฝืนๆ “ก็บอกไปแล้วไง ข้าแค่ปลดปล่อยสายเลือดอสูรเทวะ รอให้พวกเจ้าหนีไปได้ปลอดภัยแล้ว ข้าก็หนี ไม่อยู่รอความตายแน่นอน”

“แล้วหลังจากนั้นเล่า?” สุ่ยหลิงถามอย่างเคืองๆ

“หลังจากนั้น?” ฟู่เทียนหลงนิ่งชะงัก สุ่ยหลิงกลั้นนํ้าตาไว้พลางเอ่ย “เมื่อสายเลือดอสูรเทวะผ่านไป เจ้าก็จะตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอ แม้แต่ความสามารถในการปกป้องตัวเองก็ไม่มี หากโดนจับกลับไปจะทำอย่างไร? หากพวกเขาทรมานเจ้าจะทำอย่างไร?”

“ไม่มีทาง!” เมื่อเห็นสุ่ยหลิงจะร้องไห้ฟู่เทียนหลงก็รู้สึกสับสนวุ่นวายจนวางมือไม้ไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร

สุ่ยหลิงมองเขาพลางกัดริมฝีปากแน่น นํ้าตาเม็ดโตๆ ร่วงลงมาจากตา

“พวกเราอย่าเพิ่งหมดหวังเช่นนั้น ไม่แน่ว่าอาจมีคนมาช่วยพวกเรา” เว่ยฉีปลอบใจ

เว่ยกว่านกว่านเหมือนโดนความเศร้าของสุ่ยหลิงเข้าครอบงำ นางขดร่าง สองมือกอดเข่าก่อนจะเอ่ยว่า “แต่ว่า ใครจะรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงในสำนักสาขาย่อย เล่า? แล้วจะมีใครมาช่วยพวกเรา?”

“บางทีก็อาจไม่มีใครมา แต่ว่ามีคนๆ หนึ่งต้องมาแน่นอน! มู่เกอต้องมาแน่ๆ ข้าเชื่อ!”ดวงตาเว่ยฉีเป็นประกายเชื่อมั่นในขณะที่เอ่ย

“มู่เกอ?” เว่ยกว่านกว่านเงยหน้า ดวงตาเป็นประกาย เฝ้ารอคาดหวัง พลางเอ่ยถาม “เจ้าโง่เว่ยฉี มู่เกอจะมาจริงๆ หรือ?”

เว่ยฉีพยักหน้าอย่างมั่นใจ ยื่นมือไปลูบผมน้องสาว ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “แน่นอนสิ พวกเราต้องเชื่อในตัวมู่เกอ เขาเคยทำให้พวกเราผิดหวังไหมล่ะ?”

เว่ยกว่านกว่านยกยิ้ม พยักหน้าเชื่อมั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version