Skip to content

พลิกปฐพี 169-5

ตอนที่ 169-5

เสี่ยวเฮยแสดงพลัง!

ซางจื่อซูมองไปทางเขาสีหน้าสลับซับซ้อนสายหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงสายตาออกไป

จ้าวหนานซิงดวงตาแดงระเรื่อ ในแววตาอันอบอุ่นนั่นก็ ปรากฏแววรักใคร่และห่วงใยขึ้นมา เขาค่อยๆ เดินไปทางซางจื่อซู กล่าวกับนาง “จื่อซู ที่ข้าจะแต่งเจ้า เจ้าก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ข้าก็ไม่ใช่เพราะเห็นใจหรือว่ามีเหตุผลอื่นใดถึงกล่าวเช่นนี้ออกมา แต่คำกล่าวประโยคนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคำกล่าวที่เก็บช่อนอยู่ในใจที่อยากพูดแต่ไม่กล้าพูดของข้ามาโดยตลอด ไม่ว่าเจ้าจะตอบตกลงด้วยหรือไม่ ข้าก็ล้วนแต่อยากให้เจ้ารู้ว่าบนโลกใบนี้ก็ยังมีคนเช่นนี้อยู่ ที่จะรอเจ้าตลอดไป ชั่วชีวิตนี้ข้าจ้าวหนานซิงหากไม่ใช่เจ้า ซางจื่อซู ข้าก็จะไม่แต่ง!”

เหมยจื่อจ้งก็เดินมาที่ด้านข้างประตู จ้องมองไปทางทั้งสามคนด้านในห้อง ในแววตาอันเรียบเรียบพลันฉายแววสลับซับซ้อนขึ้น

ซางจื่อซูค่อยๆ หันหน้าหมุนกลับมา มองไปทางจ้าวหนานซิง ริมฝีปากบนล่างขยับขึ้นเบาๆ พลางกล่าวว่า “ข้าไม่มีค่าพอที่จะให้เจ้ามาทำเช่นนี้”

จ้าวหนานซิงกลับยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า ไม่เป็นไรข้าไม่บีบคั้นเจ้า ข้าก็จะเหมือนกับเมื่อก่อนเช่นนั้น เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้า ถ้าหากมีวันหนึ่ง เจ้าพบกับคนในดวงใจเข้า ข้าก็จะอวยพรเจ้า แต่ถ้าหากไม่มี ขอเพียงเจ้าหันมองกลับมา เจ้าก็ยังจะค้นพบว่าข้ายังคงอยู่ด้านหลังเจ้า ข้าเพียงแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เจ้าในใจข้าก็ยังเหมือนเดิมเป็นศิษย์น้องที่ขาวสะอาดและบริสุทธิ์ เป็นหญิงสาวที่ข้าจ้าวหนานซิงชอบ ดังนั้นก็ขอเจ้าอย่าทรมานตัวเองอีกเลย แล้วก็อย่าได้อย่าทรมานตัวข้าอีก ได้หรือไม่?”

มู่ชิงเกอก็ฟังจนตกตะลึง นางก็ไม่เคยเห็นจ้าวหนานซิงมีท่าทางหดหู่เจ็บชํ้าเช่นนี้มาก่อน

เขาเป็นองค์ชาย แต่ไหนแต่ไรมาก็จะมีแต่ความสง่างาม ก็เหมือนกับมีความสูงศักดิ์มาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอัธยาศัยดีเข้ากับคนง่ายเช่นไร ก็ยังคงมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยกล่าววาจาเช่นนี้

แต่ตอนนี้เขากลับมาพูดขอร้องอ้อนวอนซางจื่อซูเช่นนี้ได้

ซางจื่อซูก็เหมือนจะมีท่าทีสั่นไหวเล็กน้อย มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงความตกตะลึงของนาง นางที่มีฐานะเป็นคนต้นเรื่อง แน่นอนว่าจะต้องมีผลกระทบมาก แต่นางก็รู้ดีว่าตนเองในตอนนี้ไม่สามารถมอบคำตอบอันใดให้กับจ้าวหนานซิงได้

มู่ชิงเกอมองไปทางผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เหมยจื่อจ้งก็รู้ฐานะที่แท้จริงของนางอยู่แต่แรก แต่ซางจื่อซูยังคงจมอยู่กับสถานะภาพของนางในตอนนี้

ก่อนหน้าตอนอยู่ที่แคว้นกู่วู่เจียงหลีก็เคยถามนางว่าเมื่อใดจะเปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตนสู่สาธารณชน

นางก็ได้บอกเอาไว้ว่า จะต้องพบกับคนคนหนึ่งก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที

คนผู้นั้นเป็นใครในใจของนางล้วนแต่ชัดเจนดี

แต่ว่าตอนนี้ สภาพของซางจื่อซูก็อดไม่ได้ที่จะต้องบอกกล่าวสถานะของตนให้ผู้คนรู้ก่อนกำหนด ในใจทอดถอนใจขึ้นมา มู่ชิงเกอหันไปกล่าวกับซางจื่อซู “ศิษย์พี่ซาง ข้าไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจท่านถึงไม่ยอมแต่งท่าน แต่ในความเป็นจริงข้าก็ไม่อาจแต่งหญิงสาวคนใดเป็นภรรยาได้”

ซางจื่อซูดวงตาทั้งสองนิ่งชะงัก มองไปทางนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ

แววตาราบเรียบของเหมยจื่อจ้งพลันหดเล็กลง ราวกับคาดเดาได้ว่ามู่ชิงเกอจะทำอะไรต่อไป อยู่ดีๆ ฝ่ามือที่เขาซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อก็ค่อยๆ กำแน่นเข้าหากัน จิต ใจก็พากันขมึงตึงขึ้นมา

ส่วนจ้าวหนานซิงก็มองไปทางมู่ชิงเกอ ราวกับว่าสำหรับคำพูดของนางแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร

มู่ชิงเกอก้มหน้าลง ยกมือซ้ายขึ้นมาก่อนจะดึงต่างหูสีม่วงข้างซ้ายลง

ชั่วขณะนั้น ฉากภาพมายาก็พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าของทั้งสามคน

บนร่างของมู่ชิงเกอก็เหมือนจะมีหมอกปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง หลังจากม่านหมอกสายนั้นหายไปแล้ว ตรงหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นชายหนุ่มหน้าตางดงามดูสบายตาอีก แต่เป็นหญิงงามที่งดงามลึกลํ้า งดงามอันหาใดเปรียบมิได้

“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า ” จ้าวหนานซิงดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขึ้น มองไปทางนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ซางจื่อซูก็ยิ่งตกตะลึงจนดวงตาเบิกกว้างขึ้น

เหมยจื่อจ้งในใจถึงจะมีการเตรียมการเอาไว้แล้ว แต่พอเห็นเข้ากับมู่ชิงเกอในตอนนี้จริงๆ เขาก็ยังรู้สึกว่าห้องหัวใจของตนเองกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง จ้องมองไปยังใบหน้างามลํ้าของนางอย่างเหม่อลอย

มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ มองไปทางเหมยจื่อจ้ง ก่อนจะหันไปกล่าวกับจ้าวหนานซิงและซางจื่อซู “ครั้งก่อนตอนที่ศิษย์พี่เหมยจับชีพจรให้ข้าก็ได้รู้ถึงฐานะของข้าไปแล้ว เพียงแต่ติดที่ต้องเก็บความลับให้ข้า ดังนั้นก็เลยไม่ได้บอกกล่าวมาโดยตลอด ทำไมข้าถึงต้องแต่งกายเป็นชาย สาเหตุก็เพราะไม่อาจไม่ปลอมตัวได้ หลังจากนั้น ก็เพราะว่าทำมันเสียจนเคยชิน ก็เลยขี้เกียจที่จะอธิบาย”

พอกล่าวจบนางก็หันมองไปทางซางจื่อซูที่ตกอยู่ในความตกตะลึง กล่าวกับนาง “ศิษย์พี่ซาง ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าทำไมข้าไม่แต่งท่าน?” พอกล่าวจบ

นางก็มองไปทางจ้าวหนานซิงอย่างหยอกเย้า กล่าวแกล้งขึ้น “ถ้าหากข้าเป็นผู้ชายจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าข้าตอนนี้ อาจจะไปแข่งกับศิษย์พี่จ้าวสักรอบแล้ว!”

“เจ้าล่ะก็! อย่าได้มาแย่งคนกับศิษย์พี่เลย!” จ้าวหนานซิงพอตอบกลับมา ก็กล่าวด้วยท่าทางอันร้อนรน

ซางจื่อซูก็เพราะว่าคำพูดหน้าหนาของมู่ชิงเกอกลับกลายเป็นหน้าแดงระเรื่อขึ้น ราวกับว่าสิ่งที่นางได้พบเจอในตอนก่อนหน้าได้จางลงไปบ้างแล้ว

“ข้า ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ สักหน่อย พวกเจ้าสามคนออกไปก่อนเถิด” ตนเองถึงกับไปชอบหญิงนางหนึ่งเข้า ซางจื่อซูก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองว้าวุ่นนัก พลัน กล่าวไล่แขกขึ้นในทันใด การตอบกลับของนางก็ทำเอาทั้งสามรู้สึกยินดียิ่งนัก

ถ้าหากนางยังเป็นขอนไม้อยู่นั่นถึงจะทำให้พวกเขากังวลใจ

ตอนนี้เป็นเช่นนี้กลับทำให้พวกเขาทั้งสามคนเบาใจลงไปมาก จากไปตามคำกล่าว เหลือพื้นที่อันเงียบสงบเอาไว้ให้ซางจื่อซู

พอเดินออกไป มู่ชิงเกอก็ได้ใส่ต่างหูเข้าไปใหม่ กลับคืนเป็นผู้ชายดังเดิม

สายตาของจ้าวหนานก็มองไปทางนางอย่างนึกแปลกใจ ชี้ไปทางต่างหูของนางพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องชาย…เอ้ย ศิษย์น้องหญิง แค่ก แค่ก ข้าก็ยังเรียกเจ้าว่าชิง เกอตามศิษย์พี่เหมยจะดีกว่า ต่างหูของเจ้าข้างนี้มีความเป็นมาอย่างไรรึ? ถึงกับมีความสามารถเช่นนี้ได้? เช่นนั้นถ้าหากข้าใส่มันขึ้นไปบ้างก็จะไม่กลายเป็นหญิงงามคนหนึ่งเช่นกันรึ?”

มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้นมา

นางถูกความคิดของจ้าวหนานซิงทำให้รู้สึกพ่ายแพ้ หลังจากรู้ถึงฐานะของนางแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยก็เป็นเครื่องมือมายาที่มารดาทิ้งไว้ให้ตน ว่ามันจะทำให้เขาปลอมตัวเป็นผู้หญิงได้หรือไม่?

“ท่านอยากจะลองดูหรือไม่?” มู่ชิงเกอกล่าวตามนํ้าไป แต่ต่อจากนั้น จ้าวหนานซิงกลับเผยท่าทางอยากลอง อย่างกระดือรือร้นขึ้น “ได้จริงๆ หรือ?”

“ไม่ได้” ไม่รอให้นางเปิดปาก เหมยจื่อจ้งก็พลันกล่าวแย้งขึ้นก่อน

จ้าวหนานซิงเลิกคิ้วมองไปทางเหมยจื่อจ้ง กล่าวอย่างไม่ยินยอม “เพราะอะไร? นี่ก็ไม่ใช่ของของเจ้า เป็นของชิงเกอ”

“อุจาดตา” เหมยจื่อจ้งมองไปทางเขาสีหน้าราบเรียบหนหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับ

“…” มู่ชิงเกอชะงัก

“…” จ้าวหนานซิงชะงัก

“มู่เกอ? มู่เกอ เจ้าอยู่หรือไม่?” ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ก่อนจะฟังออกว่าเป็นเสียงของเว่ยฉี “เข้ามา”

ประตูเปิดออก พวกเว่ยฉีทั้งสี่คนเดินเข้ามา พอเห็นว่าในตัวเรือนยังมีเหมยจื่อจ้งกับจ้าวหนานซิงยืนอยู่ ก็เร่งรีบดึงความไม่สำรวมกลับ กล่าวทักทายไปทางทั้งสองคน

ทั้งสองก็แน่นอนว่าตอบกลับด้วยท่าทางใจดี

มู่ชิงเกอเดินไปทางพวกเขา ถามว่า “พวกเจ้ามาหาข้าที่นี่ มีเรื่องอันใดรึ?’’

หลังเรื่องราวของโรงโอสถจบลงไปแล้ว นางก็เพียงแค่ทักทายกับพวกเขาสี่คนง่ายๆ ก่อนจะกลับมาที่นี่

เว่ยฉีเร่งรีบพยักหน้า ถามกับมู่ชิงเกอ “มู่เกอ เจ้าก่อนหน้าก็ไม่ใช่เอาแต่หาข่าวคราวของพญาเพลิงหรอกรึ? จริงๆ แล้วที่แคว้นปาก็มีพญาเพลิง”

มู่ชิงเกอแววตาหดเล็กลง ถามว่า “จริงรึ?”

เว่ยฉีมองไปทางฟู่เทียนหลงกับสุ่ยหลิง “พวกเจ้าสองคนพูดก็แล้วกัน”

เว่ยกว่านกว่านก็เร่งกล่าวว่า “ใช่ พวกเจ้ารีบบอกมู่เกอเถอะ” พร้อมกันนั้นนางก็หันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “พวกเราตอนที่คุยเล่นกันก่อนหน้า ไม่ทันตั้งใจพูดถึงมันเข้า หลังจากนั้นก็เลยรีบมาหาเจ้า”

ยิ้มให้เว่ยกว่านกว่านหนหนึ่ง สายตาของมู่ชิงเกอก็เคลื่อนไปทางร่างของสุ่ยหลิงกับฟู่เทียนหลง

ฟู่เทียนหลงกับสุ่ยหลิงมองหน้าสบตากัน คนแรกก็กล่าวขึ้นกับมู่ชิงเกอ “ในเขตแดนของแคว้นปาก็มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าเทือกเขาปาฮวง พื้นผิวขรุขระเส้นทางทุรกันดาร ก็เหมือนกับว่าจะไม่มีถนนมุ่งตรงไป อีกทั้งตามทางก็ยังมีสัตว์อสูรจำนวนมาก แต่ไหนแต่ไรมาก็มีคนน้อยมากที่จะไปที่นั้น พวกข้าก็เคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่าเอาไว้ว่าที่นั้นที่ถูกเรียกว่าเทือกเขาปาฮวงก็เพราะว่า พญาเพลิงปาฮวงซูคงเคยปรากฏตัวขึ้นที่นั้น แต่ว่าตอนนี้ยังอยู่หรือไม่นั้น ข้าก็ไม่อาจแน่ใจได้”

“พญาเพลิงปาฮวงซูคง อันดับอยู่สูงกว่าพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่…” มู่ชิงเกอกล่าวกระซิบกระซาบขึ้นในช่องว่าง หยวนหยวนก็เหมือนกับว่าจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เหมือนกับว่าพญาเพลิงปาฮวงซูคงสำหรับมันแล้วก็เป็นอาหารอันโอชะมื้อหนึ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version