ตอนที่ 179-1
เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว เขาเป็นของข้า!
ตำหนักหลีกงเป็นสถานที่ที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในแผ่นดินหลินชวน
เพราะว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของเทพเพียงหนึ่งเดียว
แม้แต่คนที่มีอายุยาวนานที่สุดในหลินชวนก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่รู้อยู่มากี่ปีแล้ว เขาทำให้คนรู้สึกว่าตอนที่มีแผ่นดินหลินชวนเขาก็คงจะอยู่มาก่อนแล้ว
เขาได้รับความเคารพนับถือจากทั่วทั้งแผ่นดินหลินชวน แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำให้ทุกคนสมปรารถนา
แต่กระนั้นทุกวันที่ตีนภูเขา ก็ยังคงมีควันธูปเทียนหอม และเหล่าคนนับไม่ถ้วนจากหลากหลายแคว้นที่มาที่นี่ เพื่อกราบไหว้เทพในใจของพวกเขา
จากเทียนตูมา คณะเดินทางเริ่มย่างเข้าสู่เขตตำหนักหลีกง
ที่ตั้งของตำหนักหลีกงตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเทียนตู มีวิวทิวทัศน์ที่งดงาม ดุจตั้งภาพยอดเขาที่น่าหลงใหล บรรยากาศที่นี่ ดูเหมือนจะรองรับอากาศทั้งสี่ฤดูกาล รวมถึงความงามของทั้งสี่ทิศเอาไว้
วิวทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ อยู่ในแผ่นดินหลินชวน มีเพียงแค่คนเดียวที่มีสิทธิ์ครอบครอง
ห่างจากเชิงเขาอีกประมาณร้อยลี้ทุกคนลงเดินจูงม้า แม้แต่จักรพรรดิหยวนหวงฝู่เฮ่าเทียนก็ไม่มีข้อยกเว้น เดินกันเข้าไปยังตีนภูเขาของตำหนักหลีกง นี่เป็นการ แสดงความเคารพต่อคนผู้นั้น กฎนี้ใครก็ไม่สามารถทำลายได้
ตามข้างทางยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่คุกเข่ากราบไหว้คลานเข่าไปอย่างกระตือรือร้น ค่อยๆ ขยับไปข้างหน้า เข่าของพวกเขาแตกและหน้าผากก็หลั่งเลือด แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความแน่วแน่ของพวกเขาเลย
มู่ชิงเกอมองทั้งหมดนี้อย่างตกตะลึง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกถึงอิทธิพลของซือมั่วที่มีต่อแผ่นดินหลินชวนอย่างแท้จริง
ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งถึงระดับไหนกันแน่ถึงได้ทำให้ทุกคนมีความเคารพนับถือต่อเขาได้ถึงขนาดนี้? ถือเอาเขาเป็นเทพ?
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ จำนวนคนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นธูปเทียนที่กำลังเผาไหม้ก็ทำเอาทุกช่วงลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของไม้จันทน์จากธูปหอม
ฉากภาพนี้ทำเอามู่ชิงเกออยากจะหัวเราะออกมา เพราะนางดูเหมือนว่าจะพบเจอบรรยากาศเช่นนี้เฉพาะในวัดเท่านั้น ส่วนซือมั่วก็คงจะเป็นพระพุทธรูปที่นั่งอยู่ บนแท่นภายในวัด
“อย่าหัวเราะ สำรวมหน่อย” ในตอนที่มุมปากของมู่ชิงเกอเพิ่งจะโค้งขึ้น เจียงหลีก็เอ่ยเตือนขึ้นเบาๆ อยู่ข้างกายนาง
มู่ชิงเกอหันมองนางจึงพบว่าในดวงตาของนางก็ฉายแววเลื่อมใสนับถือเช่นเดียวกัน
“เจ้าคงไม่ได้ถือว่ามหาปราชญ์เป็นเทพเหมือนกันหรอกใช่ไหม?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความแปลกใจ
เจียงหลีจะยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้มเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “หากมีความสามารถ เจ้าลองเอ่ยประโยคเมื่อสักครู่ออก มาดังๆ อีกที”
อา…
เอาเถอะ นางไม่มีความสามารถนั้น
มู่ชิงเกอยอมแล้ว นางกล้ารับรองว่าหากนางเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไปอย่างเสียงดัง ก็คงจะถูกคนที่นี่ฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน
เจียงหลียิ้มให้นางอย่างเยียบเย็นครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เก็บสายตาภูมิใจกลับไป
“คิดไม่ถึงว่ามาอาณาจักรเซิ่งหยวนในครั้งนี้จะสามารถพบเจอกับมหาปราชญ์” ฟ่งอวี๋เฟยบีบมือตัวเองแน่นอย่างตื่นเต้น พบว่าฝ่ามือนั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ
จ้าวหนานซิงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “อย่าได้กระวนกระวายใจไปเลย มหาปราชญ์ไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย คิดดูแล้ว ในครั้งนี้หากสามารถพบเจอกับมหาปราชญ์ เช่นนั้นก็เป็นครั้งที่สองของข้าแล้วที่ได้พบท่านผู้เฒ่า ไม่เพียงแต่ข้า ชิงเกอเองก็เช่นกัน”
ฟ่งอวี๋เฟยมองเขา กะพริบตา ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว! ข้าได้ยินมาว่า ในวันที่โรงโอสถสาขาย่อยคัดเลือกผู้เข้าร่วม มหาปราชญ์เสด็จ”
จ้าวหนานซิงพยักหน้ายิ้มๆ
“เช่นนั้น มหาปราชญ์เก่งกาจจนทำให้ผู้คนเกรงกลัวอย่างที่รํ่าลือกันมาใช่หรือไม่?” ฟ่งอวี๋เฟยถามอย่างระมัดระวัง
จ้าวหนานซิงตั้งใจคิดแล้วก็เอ่ยกับฟ่งอวี๋เฟยว่า “เก่งกาจ นั้นมันแน่นอน แต่ว่าท่านผู้เฒ่าไม่ได้ลงมือ เก่งกาจถึงระดับไหนนั้นข้าก็ไม่รู้ส่วนทำให้ผู้คนเกรงกลัวนั้น ข้าคิดว่าหากเป็นใครที่แข็งแกร่งถึงระดับนั้นได้ก็ต้องทำให้คนเกรงกลัวเป็นธรรมดา”
คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอหันกลับมายิ้มแล้วเอ่ยกับเขาว่า “คำพูดนี้ของศิษย์พี่จ้าวพูดได้ถูกต้องมาก” จากนั้นก็เอ่ยปลอบฟ่งอวี๋เฟย “อย่าได้กังวลใจไป มหา ปราชญ์ไม่ใช่สัตว์ประหลาด จะไม่กินเจ้าอย่างแน่นอน เป็นตัวของเจ้าเองนั้นดีที่สุด อย่าได้กระวนกระวายใจเลย”
คำพูดของคนทั้งสองทำให้ความกระวนกระวายใจของ ฟ่งอวี๋เฟยลดน้อยไปบ้าง
นางพยักหน้าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“นี่ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นของตระกูลหลานวันนี้ ดูท่าทางแปลกๆ?” ทันใดนั้นเจียงหลีก็พุ่งเข้ามาที่แขนของมู่ชิงเกอ
แคว้นระดับสามเดินต่อแถวเป็นลำดับสุดท้าย ที่จริงแล้วตำแหน่งนี้ดีมาก สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของทุกๆ คน
ส่วนเจียงหลีก็ยินยอมที่จะเดินด้านหลังเป็นเพื่อนนาง
มู่ชิงเกอมองตามคำพูดของเจียงหลี เงยหน้ามองขบวนของตระกูลหลาน หลานเฟยเยว่ก็อยู่ในนั้น เดินอยู่ในตำแหน่งหน้าๆ
วันนั้นนางไม่ได้สวมชุดสีนํ้าเงินแต่สวมเป็นกระโปรงพลิ้วสีขาว ขับสะท้อนให้นางยิ่งดูสวยงามดุจนางฟ้ายิ่งขึ้น
“นางทำไมรึ?” มองอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มองเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง เจียงหลีส่ายหน้าอย่างไร้คำพูดจะกล่าว เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “วันนี้นางตั้งใจแต่งตัวดูดีเป็นพิเศษและแน่นอนว่าต้องมีวัตถุประสงค์อื่น”
มู่ชิงเกอชะงักไปเล็กน้อย “นางตั้งใจแต่งตัวดูดีหรือไม่ เจ้าก็ดูออกอย่างนั้นหรือ?”
ท่าทางของนางทำให้เจียงหลีปรายตามองอย่างดูแคลน เหมือนกำลังเอ่ยว่า ‘เจ้ายังเป็นผู้หญิงอยู่หรือไม่? แม้แต่ความรู้สึกเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่มี!’
สำหรับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงตั้งใจแต่งตัวดูดีหรือไม่นั้นจะมองไม่ออก
แต่ว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งคิดตั้งใจแต่งตัวเองให้ดูดี หรือไม่ก็ตั้งใจที่จะแสดงให้ตนเองโดดเด่นออกมานั้นก็สามารถมองออกง่ายๆ แค่เพียงแวบเดียว!
มู่ชิงเกอยอมจำนน “นางแต่งตัวเป็นอย่างไร?”
เจียงหลีไร้คำจะพูดกลอกตาขึ้น เอ่ยเตือนมู่ชิงเกอว่า “เจ้าจำที่ข้าพูดได้หรือไม่ว่าหลานเฟยเยว่ให้คำสาบานว่าจะรับใช้มหาปราชญ์ตั้งแต่เด็ก? ข้าดูแล้วนางตั้งใจจะ แนะนำตัวเองในวันนี้”
ในใจของมู่ชิงเกอตื่นตะลึง นัยน์ตาฉายแวววาววาบ สายตาลอบมองไปที่หลานเฟยเยว่ ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหลีแล้ว ในใจของนางก็รู้สึกถึงความ ไม่สบายใจขึ้นมา
“ทว่า หากว่านางผู้นี้สามารถทำให้มหาปราชญ์ให้ความสำคัญได้ข้าคิดว่ามหาปราชญ์อาจจะต้องล้างตาเสียหน่อยแล้ว” เจียงหลีเอ่ยอย่างดูถูก
เดิมทีนี่เป็นการพูดกับตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอที่อยู่ด้านข้างจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็พูดถูก หากว่าเขาเห็นความสำคัญของหลานเฟยเยว่ ก็ควรจะต้องควักลูกตาออกมาล้างให้สะอาดจริงๆ” คำพูดนี่พูดได้โหดเหี้ยมอำมหิตมาก
เจียงหลีมองนางอย่างแปลกประหลาด พิจารณาอย่างจริงจัง ดูเหมือนจะกำลังคิดว่ามู่ชิงเกอเป็นอะไรไป
“มองข้าทำไม?” เมื่อรู้สึกถึงการพิจารณาของเจียงหลี มู่ชิงเกอก็หันมามองนาง
เจียงหลีขบริมฝีปากเอ่ยว่า “รู้สึกว่าคำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้ดูแปลกๆ”
“แปลก?” มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย ขมวดคิ้วแล้วถามออกไป “แปลกอย่างไร?”
เจียงหลีคิดอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นนัยน์ตาก็วาววาบ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นํ้าเสียงที่เจ้าใช้พูดเมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะมีอารมณ์เหมือนกับหญิงสาวที่กำลังหึงหวงที่ข้าเคยเห็นอยู่ในแคว้นกู่วู่”
ใบหน้าของมู่ชิงเกอครึ้มลง “หึงหวงอะไรกัน ใช้คำอธิบายดีๆ ได้หรือไม่?”
เจียงหลีส่ายหน้าและถอนหายใจ “ข้าก็คิดว่าดูจะเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ สักหน่อยและก็ไม่ได้ชอบหลานเฟยเยว่จะเป็นเพราะว่านางได้รับความโปรดปรานจากมหาปราชญ์แล้วหึงหวงได้อย่างไร?”
มู่ชิงเกอขบริมฝีปากเงียบๆ คำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจนี้ของเจียงหลี ทำให้ในใจของนางเกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง
“ไปเถอะ อย่าได้คิดเรื่องไร้สาระอีกเลย” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเล็กน้อย
ดีที่เจียงหลีไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในนํ้าเสียงของนาง พยักหน้าแล้วก็เดินตามนางไป เข้าใกล้ตำหนักหลีกงเข้าไปเรื่อยๆ ระยะทางร้อยลี้สำหรับพวกเขาเหล่านี้แล้วไม่ถือว่าเป็นอะไร ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินไปถึงตีนภูเขาของตำหนักหลีกง
จักรพรรดิหยวนหวงฝู่เฮ่าเทียนที่เดินนำหน้าหยุดเท้าลง คนที่ตามมาด้านหลังก็หยุดตาม
ในขณะนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดังด้วยกลัวจะทำให้เสียเรื่องอย่างไม่ได้ตั้งใจ
มู่ชิงเกอหยุดตามขบวน เงยหน้าขึ้นมองไปบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยเมฆ ที่เชิงเขาดูเหมือนจะมีตำหนักดุจแก้วผลึกปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ
‘ภาพนี้ดูแล้วคุ้นๆ…’ มองไปที่ตำหนักนั้นแล้ว นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววครุ่นคิด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นัยน์ตาของนางก็ฉายแววตกตะลึง จำได้แล้วว่าเคยเห็นตำหนักแห่งนี้ที่ไหน
เป็นตอนที่นางอยู่แม่นํ้าไร้พรมแดนใช้กระจกส่องเทพ ภายใต้ความไม่ตั้งใจก็มาถึงตำหนักแห่งนี้ มองเห็นซือมั่ว
ในตอนนั้นจิตใต้สำนึกภายในของนางตื่นตระหนกและ ก็เป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้าความสนใจของตัวเองที่มีต่อซือมั่ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เมื่อเวลาผ่านไปนางจะมาจนถึงที่แห่งนี้จริงๆ
ส่วนเขา…จะอยู่ในตำหนักแห่งนี้รอนางหรือไม่?
“เสี่ยวเกอเอ่อร์ ข้ารอเจ้า”
ในขณะที่กำลังข้ามผ่านทะเลแห่งความจริง ก็เหมือนได้ยินเสียงพูดของซือมั่วที่ดังขึ้นอีกครั้งข้างหูของมู่ชิงเกอ คล้ายกับว่าชายผู้นั้นมากระซิบอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างๆ หูของนาง
แก้มเพิ่มอุณหภูมิขึ้นมา ทำให้มู่ชิงเกอตื่นขึ้นจากความทรงจำ
นางกะพริบตา ควบคุมอารมณ์ของนางจนอุณหภูมิที่แก้มลดลงไปที่จุดเดิม