ตอนที่ 179-2
เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว เขาเป็นของข้า!
“เหตุใดจึงไม่ขึ้นเขา?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเจียงหลีที่อยู่ข้างกาย
ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ของนางผู้นี้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินนี้มากกว่านางมาก
“ตีนเขามีม่านอาคม หากบุกเข้าไปโดยพลการก็จะกลายเป็นผุยผง” ในที่สุดเจียงหลีก็เอ่ยตอบ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เข้าใจแล้ว
นางมองไปรอบด้าน ทุกที่เต็มไปด้วยผู้คนคุกเข่าอยู่บนพื้นดินแห่งนี้ในสายตาของพวกเขาดูเหมือนจะมีเพียงแค่มหาปราชญ์ แม้แต่จักรพรรดิหยวนปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาขยับเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่จักรพรรดิหยวน…
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นจักรพรรดิหยวนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด แม้กระทั้งฮ่องเต้ของแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินหลินชวนเมื่อยืนอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ดูต่างไปจากเหล่าผู้ศรัทธา
นางเก็บสายตากลับ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “มหาปราชญ์ทำอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้คนจำนวนมากถือเขาเป็นเทพได้?”
“ความแข็งแกร่งเดิมก็มาจากความสามารถ ทำให้คนยอมรับ ทำให้คนนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาปราชญ์ คงอยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว ผ่านประสบการณ์มาตั้งมาก มายพร้อมกับความแข็งแกร่งอันลึกลับ ยังจะมีใครสามารถละเลยการคงอยู่ของเขาได้? การคงอยู่ของมหาปราชญ์ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรแต่ก็เป็นการควบ คุมความสมดุลชนิดหนึ่ง ไม่มีใครกล้าทำลายรูปแบบในปัจจุบันทำให้แผ่นดินหลินชวนเกิดความวุ่นวาย ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงสงครามและการล้มตายมากมายได้ ” เจียงหลีค่อยๆ เอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอเริ่มเข้าใจขึ้นมา
ที่แท้แล้วซือมั่วไม่ได้ทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเพียงแค่การคงอยู่ของเขาก็มีค่ามากมายแล้ว
“หวงฝู่เฮ่าเทียนนำตัวแทนของแคว้นต่างๆ พร้อมทั้งตระกูลใหญ่ในเทียนตู รวมทั้งเหล่าองค์ชายมาขอพบมหาปราชญ์ขอองค์มหาปราชญ์โปรดอนุญาติ!” เสียงของหวงฝู่เฮ่าเทียน สะท้อนในภูเขาลอยผ่านไปสู่ตำหนักบนยอดเขา
ที่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวที่ดูยากจะคาดเดา ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างขึ้นบนเชิงเขาและก็ดูเหมือนว่าจะลอยอยู่ในอากาศ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวในใจของผู้คนนับล้านในแผ่นดินหลินชวน เหล่าประชาชนรอบด้านที่ไม่รู้ว่าคุกเข่ามานานแค่ไหน ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้น เงยหน้าขึ้นไปมองตำหนักหลังนั้น
เสียงของหวงฝู่เฮ่าเทียนถูกลมนำไปจนถึงยอดเขา เข้าไปสู่หูของเงาร่างสีดำสองสายที่อยู่บนขอบหน้าผา
“คุณชายมาแล้ว” กู่หยามองไปที่ตีนภูเขา หมอกขาวที่บดบังสายตา ในสายตาของเขานั้นดูเหมือนไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย เขาสามารถมองเห็นคนที่อยู่ใต้ภูเขา ได้อย่างชัดเจน
“จะถอนม่านอาคมตอนนี้เลยไหม?” กู่เย่มองไปที่เขาแล้วเอ่ยถาม
กู่หยาพยักหน้า “เปิดเถอะ”
สายตาของกู่เย่ถอนออกจากร่างของกู่หยาไปตกอยู่ใต้ภูเขา ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะอย่างดูแคลนเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “กลุ่มคนเหล่านี้ เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าเพราะมี คุณชายอยู่ วันนี้ถึงสามารถขึ้นมาบนภูเขาได้”
ภายในสายตาอันเย็นเยียบของกู่หยาฉายแวววาววาบ เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านประมุขคาดหวังให้นายน้อยมา เสียดายที่…”
“ข้าไปถอนม่านอาคมล่ะ” กู่เย่ตัดบทพูดของเขา
เงาร่างวาบกระจายหายไปจากที่เดิม
จากนั้นเสียงของกู่เย่ก็ดังขึ้นดุจดังฟ้าคำราม ดังก้องไปในอากาศ
“คนที่จะเข้ามาในตำหนักหลีกง มองวุ่นวายฆ่า! เดินวุ่นวายฆ่า! พูดวุ่นวายฆ่า! พวกเจ้ามีเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม เข้ามา!”
“ขอบพระทัยองค์มหาปราชญ์! ขอบคุณใต้เท้าทมิฬ!” หลังจากที่หวงฝู่เฮ่าเทียนคำนับขอบคุณอย่างซาบซึ้ง แล้วก็รีบก้าวเท้า เข้าไปในเขตต้องห้าม
ภายในสายตาของทุกคน เขาเพียงแต่ก้าวไปข้างหน้า หนึ่งก้าวก็เหมือนก้าวขึ้นไปบนบันไดขึ้นภูเขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาก้าวขึ้นไปบนบันได ร่างของเขาก็หายตัวไปต่อหน้าทุกคน
มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง กะพริบตา
ตอนนี้ หวงฝู่ฮ่วนก็ได้ตามรอยเท้าของพระบิดาของเขา เดินเข้าไป แล้วก็หายไปเช่นเดียวกันกับจักรพรรดิหยวน
คนที่เหลือ ก็ค่อยๆ ทยอยกันเข้าไปในเขตหวงห้ามแล้วก็หายไปต่อหน้าต่อตาคนภายนอก
เหล่าคนที่เดิมรออยู่ตีนเขามาไม่รู้กี่วันแล้ว มองเห็นบรรดาคนชั้นสูงที่มีสถานะไม่ธรรมดาเหล่านี้ค่อยๆ ทยอยหายไปทีละคน นัยน์ตาก็ฉายแววอิจฉาออกมา
ไม่นาน ก็ถึงตาของพวกมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรู้สึกสนใจในเขตต้องห้ามนี้นิดหน่อย สิ่งที่คนข้างหน้าผ่านไปน่าจะมีความสามารถในการเคลื่อนย้าย
นางนำพาความสงสัยเดินเข้าไปพร้อมกันกับเจียงหลี ก้าวเข้าไปบนบันไดขึ้นภูเขา
เช่นเดียวกัน พวกนางก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาคนภายนอกดุจดั่งกลายเป็นหมอกควัน ส่วนมู่ชิงเกอกลับรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองทะลุผ่านชั้น
โปร่งแสงเข้ามา เป็นม่านที่ยืดหยุ่น ก้าวเข้าไปในเขตหวงห้าม นางก็มองไปด้านหลัง
แต่ว่า นอกจากหมอกสีขาวแล้ว ก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย
ดูเหมือนว่า คนด้านนอกที่คุกเข่าบนพื้นอยู่เต็มไปหมดจะหายไป
ความสงบเงียบเช่นนี้ดูเหมือนกับว่านางมาอีกโลกหนึ่ง
มู่ชิงเกอถอนสายตากลับและมองไปด้านหน้า
ด้านหน้าของนางมีบันไดหยกสายหนึ่งทอดยาวขึ้นไปบนภูเขา ดุจดังมังกรที่แอบซ่อนตัวอยู่ระหว่างทิวเขา คนที่เข้ามาก่อนหน้านาง ล้วนแต่อยู่บนบันได เดินขึ้นไปเงียบๆ
แม้แต่หอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรที่แค้นนางจนอยากจะฆ่าให้ตายก็เปลี่ยนเป็นท่าทางไม่รู้จักนางในทันที ไม่มีความวุ่นวาย
เป็นเพราะว่าเกรงกลัวในซือมั่วหรือว่าเพราะมีแผนการอื่น ตอนนี้มู่ชิงเกอยังไม่มั่นใจ
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปบนยอดเขาอีกครั้ง ตำหนักแก้วผลึกที่งดงามแห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นแต่ก็ยังคงดูลี้ลับเช่นเดิม
“เมื่อก่อนข้าเคยรู้สึกว่าหนึ่งชั่วยามก็ถือว่าไม่สั้นแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว เป็นข้าโง่เขลาเกินไป จากที่นี่ขึ้นไปจนถึงยอดเขาก็เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว เวลาไปกลับในครั้งนี้ พวกเราสามารถพบมหาปราชญ์ในพระตำหนักเพียงแค่ชั่วจิบชาเท่านั้น” เจียงหลีถอนหายใจส่ายหน้า นัยน์ตาสีทองเต็มไปด้วยความผิดหวัง
มู่ชิงเกอหันมองนาง
คำพูดเมื่อครู่ไม่ได้ออกมาจากปากของเจียงหลีแต่กลับ ส่งเสียงผ่านเข้ามาในหัวของนางโดยตรง ภายในสายตาของคนภายนอก เมื่อครู่เจียงหลีก็ไม่ได้พูดอะไร มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มเบาๆ นางก็รู้ดีว่าฮ่องเต้หญิงผู้นี้จะต้องไม่รักษากฎสักเท่าไหร่ พูดวุ่นวายฆ่า!
และก็หมายถึงภายในนี้ต้องรักษาความสงบ ผู้หญิงคนนี้จะทนได้อย่างไร? ดังนั้นจึงใช้วิธีส่งเสียงผ่านจิตเพื่อพูดคุยกับนาง เพียงแต่ นางแน่ใจหรือว่าตัวเองทำเช่นนี้จะไม่ถูกพวกกู่หยา กู่เย่สัมผัสได้? คนที่พูดเมื่อครู่ คนที่จักรพรรดิหยวนเรียกว่าใต้เท้าทมิฬ นางกลับฟังออกว่านี่เป็นเสียงของกู่เย่คนที่มักจะอยู่ข้างกายของซือมั่ว
ถึงแม้ว่านางกับกู่เย่จะไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากและจะคุ้นเคยกับกู่หยามากกว่าก็ตาม
แต่ว่า นางยังคงคุ้นเคยกับเสียงของกู่เย่อยู่ดี
‘กู่เย่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นเขาก็คงจะต้องอยู่อย่างแน่นอน’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ
มีอารมณ์ความรู้สึกต่างจากของคนอื่นๆ ทุกครั้งที่นางก้าวขึ้นบันไดหนึ่งชั้นในใจก็จะเกิดความกระวนกระวาย ใจขึ้นหนึ่งส่วน ทั้งต้องการที่จะรีบผ่านเส้นทางนี้ไป และก็ไม่ต้องการเดินไปให้ถึงสุดทาง
ทำให้นางพบว่าหากเวลาที่นางพบเจอกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับซือมั่วแล้วก็จะเกิดจิตใจที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ขึ้น
คนเยอะขนาดนี้ เดินขึ้นไปบนบันได กลับไม่เกิดเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย
รอบด้านเงียบเชียบดั่งไม่มีสิ่งมีชีวิต
ตรงกลางของขบวน โหลวเสวียนเถี่ยกับเฮยมู่เดินหน้าหลังตามกันไป บางครั้งพวกเขาก็จะสบสายตากันดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่
ไท่สื่อเกาก็อยู่ในนั้น เพียงแต่สีหน้าของเขาดำทะมึนอย่างไม่น่าดู ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่คนไม่อยากเข้าใกล้ออกมา
ตาเฒ่าของโรงโอสถเดินไปด้านหลังของโหลวเสวียนเถี่ยกับเฮยมู่ มองสายตาของคนทั้งสองที่แลกเปลี่ยนกันไปมา นัยน์ตาเกิดรอยยิ้มเย็น ดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยคนทั้งสองที่ขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง
ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ก็เดินตามหลังจักรพรรดิหยวนไป ส่วนคนที่เดินตามหลังหวงฝู่ฮ่วนก็คือหลานเฟยเยว่จากตระกูลหลาน ตามธรรมเนียมแล้ว สถานะของนางไม่มีสิทธิ์ได้เดินอยู่ด้านหลังของหวงฝู่ฮ่วน
ถึงกระนั้นนางก็เดินอย่างนี้แล้ว แน่นอนว่า ทุกคนก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับพฤติกรรมเช่นนี้ของนางแล้ว หรือไม่ก็จำต้องยอม ไม่มีใครก้าวออกมาเสนอข้อโต้แย้งใด